ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๑๓๑

    สนทนาธรรม ที่ ราชกรีฑาสโมสร

    วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ รูปเป็นรูปใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นวัตถุที่เตือนให้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่นึกแค่ชื่อ แต่เตือนให้ระลึกถึงพระคุณ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปใด ที่ดูงามเหลือเกินงามมาก ก็ยังไม่เท่าความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงงามเลิศ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของผลของบุญ ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณพระมหากรุณาคุณ แต่คุณนั้นยังทำให้รูปของพระองค์เหนือกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น เมื่อเสด็จไปนครมคธ ก็มีผู้ที่เห็น คิดกันไปต่างๆ นาๆ ว่านี่ใครเทพบุตรหรืออะไรต่างๆ สารพัดที่จะคิด เพราะไม่เคยเห็นใครที่งามสง่า แล้วก็ลองคิดดู นี่แค่กายแล้วใจล่ะ ที่ไม่มีกิเลสดับหมด เป็นพระอรหันต์แล้ว ยิ่งเหนือกว่าพระอรหันต์อีกคือเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่พระอรหันต์ที่เป็นสาวก

    เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะไปเทียบพระพุทธรูปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ว่าการตรัสรู้ของพระองค์ไม่ใช่เพื่อให้เรากราบไหว้ขอพระพุทธรูป แต่ว่าให้เราเข้าใจคำ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ซึ่งยากแสนยากไม่มีใครสามารถจะใช้คำหนึ่งคำใด ที่จะเปิดเผยความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้เป็นจิต เจตสิก รูป ให้เข้าใจถูกต้อง จนกระทั่งสิ่งนั้นปรากฏตรงตามคำที่ได้ตรัสไว้เท่านั้น

    ผู้ฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ ผมเพิ่งมาฟังครั้งนี้ครั้งแรก ผมไม่เคยฟังที่ไหน เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ เรายอมรับในข้อนี้

    ท่านอาจารย์ ใครก็ตามที่เริ่มได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้ว่าไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้ คำเหล่านี้จะไม่มีเลย ด้วยเหตุนี้ใครพูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าเขาเป็นใคร ทุกคำนั้นเป็นคำของพระองค์ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว แต่ถ้าใครพูดคำอื่นๆ ที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ได้กล่าวถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยคืออะไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระพุทธรัตน ไม่มีรัตนได้เทียบได้เลย เพราะได้ทรงแสดงธรรมรัตน หนทางธรรม เจตสิกที่จะสามารถทำให้ขจัดกิเลสความไม่รู้ออกไป ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถที่จะดับกิเลสที่เกิดเพราะความไม่รู้ได้ เพราะฉะนั้นธรรมนั้นเป็นรัตนเหนือสิ่งอื่นใด เริ่มจากความเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจคำแรกตั้งแต่ต้น คำต่อๆ ไปก็ไม่เข้าใจใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจทุกคำทีละคำ ตามที่ได้ฟังไม่ประมาทเลย ในความลึกซึ้งของแต่ละคำ เมื่อใดเป็นสาวกคือผู้ฟัง ที่ไตร่ตรองเกิดปัญญา สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ๔ เมื่อใดบุคคลนั้นไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต จะเป็นภิกษุเป็นสามเณรหรือเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็เป็นพระอริยสงฆ์เป็นสังฆรัตน

    ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์ด้วยความเคารพ ที่บอกว่าปล่อยวางความไม่รู้ด้วยความรู้ ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ คือว่าเราเริ่มต้นการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าธรรมากทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา แล้วก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ถ้าเรามีแค่ประโยคนี้อยู่ในใจตลอดเวลา จะเตือนสติว่าเป็นเช่นนี้ จะทำให้เราคลายความหลง แล้วก็อยู่บนเส้นทางของการเป็น พุทธมามกะที่ดีไหม

    ท่านอาจารย์ ความยึดมั่นถือมั่นไม่จริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า หรือเป็นธรรม

    ผู้ฟัง คือเมื่อก่อน ก่อนศึกษาธรรมคิดว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ แล้วพอศึกษา

    ผู้ฟัง ก็รู้สึกว่ามันเป็นแว๊บมาแล้วแว๊บไปอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความรู้ขั้นฟัง ไม่ใช่ความรู้ถึงขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งอย่างยิ่งตามลำดับ คือแค่ฟังนี้ก็ลึกซึ้งมาก แต่ยังไม่ลึกซึ้งเท่าธรรมจริงๆ จิตเจตสิก รูป ซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ เพราะฉะนั้นนี่เป็นเหมือนแนะนำเบื้องต้นใช่ไหม ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร ไม่พอแค่ได้ยินได้ฟัง แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ไปไตร่ตรองแล้วเอามาสอน แต่ว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรมากหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ซึ่งขณะนี้ทุกอย่างที่ปรากฏเป็นธรรมมากมายหลากหลาย ยังไม่ปรากฏว่าเป็นแต่ละหนึ่ง แล้วจะดับไปได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพคือด้วยการรู้ว่าลึกซึ้ง แล้วก็แค่นี้ไม่พอที่จะไปปล่อยวาง จะไปละวาง เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าเราทำอะไรได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีเรา มีแต่ธรรมฝ่ายดี และฝ่ายชั่วอวิชชาไม่รู้ แต่ปัญญาเข้าใจแล้วค่อยๆ รู้จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราที่จะเป็นละเราที่จะไปปล่อยวาง เราที่จะไปรู้แจ้ง แต่จากการฟังธรรมาที่เข้าใจรอบรู้ในคำที่เข้าใจ หมายความว่าพอได้ยินก็เข้าใจเลย อย่างวันนี้ได้ยินเรื่องขันธ์ ๕ พอได้ยินที่อื่นก็รู้ใช่ไหมว่าขันธ์ ๕ คืออะไร แต่ยังไม่รอบรู้ เพราะฉะนั้นกว่าจะรอบรู้ได้ จนกระทั่งสามารถที่จะถึงลักษณะที่กำลังเป็นจริงๆ เดี๋ยวนี้ เปิดเผยสิ่งที่กำลังถูกปกปิด นั่นคือปัญญาอีกระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นขั้นต้นเป็นปริยัติ หมายความว่าฟัง และรอบรู้ในพระพุทธพจน์ พอได้ยินคำว่าธรรมรู้เลย พอได้ยินคำว่าอนัตตารู้ พอได้ยินคำว่าขันธ์รู้ ยังมีธาตุ มีอายตนะ มีอีกมากใน ๔๕ พรรษา ซึ่งก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แต่ลึก แล้วก็ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้นฟังยิ่งเข้าใจ ยิ่งรู้ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าต้องไตร่ตรอง จริงไหม จนกระทั่งสามารถที่จะพบความจริงนั้นด้วยตัวเอง ไม่เร็วหรอก


    สนทนาธรรม ที่ บ้านสวนอุษาศรี จังหวัดกาญจนบุรี

    วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ ๒๕๖๐


    ผู้ฟัง กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ประเด็นที่เป็นประโยชน์กับผู้ใหม่อย่างยิ่ง ก็คือธรรมคืออะไร

    ท่านอาจารย์ จริงๆ ก็คือว่า เราได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนาใช่ไหมแล้วเราก็นับถือพระพุทธศาสนา ศาสนาคือคำสอน เพราะฉะนั้นพุทธก็คือผู้ที่ไม่มีบุคคลใดจะเปรียบได้เลย ได้ยินแค่นี้ก็ปราบปลื้มใจ แต่ว่ายังไม่รู้เลยว่าพระองค์ทรงตรัสรู้อะไร จึงเป็นบุคคลที่เลิศที่สุดในสากลจักรวาล เทวดา พรหมยังต้องมาเฝ้า เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เป็นเครื่องทดสอบว่า ได้นับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน ถ้ายังไม่รู้เลยว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร ก็แค่ได้ยินชื่อ แต่ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวนี้เองเป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครรู้มาเลยในสังสารวัฎ เคยคิดบ้างไหมอยู่ในห้องนี้ ในบ้านนี้ ที่นี่ แต่ไม่เคยรู้มาเลยในสังสารวัฎว่าอยู่ในความมืดตลอดเวลา เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีจริงถูกปิดบัง ไม่ได้เปิดเผยขึ้นมาเลย

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ก็จะเปิดเผยให้รู้ว่าเราไม่รู้อะไรมานานแสนนาน และไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ด้วยเหตุนี้ การที่เรามีโอกาสได้เข้าใจพระธรรม เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่สุด แล้วเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่ว่าเราทุกคนจะเสมอกัน แล้วแต่ว่าใครฟังไตร่ตรอง สะสมมาพิจารณาเข้าใจ แต่ละคำ แต่ละคำ ด้วยมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าพระองค์ทรงเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำของพระองค์จะเหมือนคนอื่นได้อย่างไร ถ้าเหมือนคนอื่นก็ไม่ต้องเป็นถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นี่เพราะแต่ละคำไม่ใช่คำของคนอื่น แต่เป็นคำของพระองค์ที่เกิดจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ แค่ได้ยินคำว่าตรัสรู้ ก็ไม่รู้ว่าตรัสรู้อะไร ใช่ไหม ไม่รู้ไปหมด แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร แต่สิ่งที่เราคิดไม่ถึงก็คือว่าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องไตร่ตรอง ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ หมายความว่ามีสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ คนอื่นไม่รู้ใช่ไหม ต้องยอมรับความจริงว่า เดี๋ยวนี้เรารู้อะไร สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เราคิดว่าเรารู้เยอะมากวิชาการต่างๆ แต่ก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเปิดเผยให้รู้ว่าสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานมาก แล้วรู้ความจริงของเดี๋ยวนี้คืออะไร ถ้าไม่ไตร่ตรอง ฟังไปเฉยๆ ปัญญาก็ไม่เกิด แต่ถ้าไตร่ตรองว่าเดี๋ยวนี้มีจริง แล้วพระองค์จะตรัสรู้อะไร เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรอง ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรที่เราเคยเข้าใจว่ากำลังมี พระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งนั้น ซึ่งเราไม่เคยรู้เลยว่าความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้คืออะไร สักอย่างหนึ่งก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นมีใครจะเพิ่มเติมไหม สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีไหม ทำให้เราได้มีโอกาสทำกุศลใหญ่ คือการที่สามารถที่จะทำให้คนที่ได้ฟังแต่ละคำ ได้เข้าใจ ได้รู้จักพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีจริงๆ ไหม

    ผู้ฟัง มีจริง แต่ธรรมคืออะไร พยายามนั่งนึก ธรรมยังไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ พูดคำที่ไม่รู้จัก เคยพูดมาแล้วด้วย แต่ไม่รู้จัก

    ผู้ฟัง ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดคำที่ไม่รู้จักทุกคำ งงไหม พูดตั้งแต่เกิด แล้วก็ไม่รู้จักสักคำ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ทุกชาติที่ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นคำแต่ละคำประมาทไม่ได้ เรากำลังนั่งอยู่ตรงนี้ คุณของพระองค์มากมายมหาศาลเปรียบไม่ได้เลย ฟ้ากับดิน สุดไกลก็คือพระปัญญาคุณ แต่เราก็สามารถจะมีโอกาสได้ฟัง แต่ต้องฟังด้วยความไม่ประมาท ถ้าฟังด้วยความประมาท เราจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    บางคนบอกว่าพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ยาก ได้อย่างไร พูดได้อย่างนี้ ถ้าไม่ยากก็ไม่ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กว่าจะตรัสรู้ บำเพ็ญพระบารมียิ่งกว่าใคร แสดงว่าสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เข้าใจแล้ว ยิ่งเห็นความยาก ยิ่งเห็นความลึกซึ้งของสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่เคยได้ฟัง จึงไม่รู้เลยว่าความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้คืออะไร แล้วการสนทนาธรรม เป็นมงคล เพราะทำให้เกิดความรู้ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นก็ต้องไตร่ตรองก่อน แล้วการเข้าใจที่เกิดจากการไตร่ตรอง ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา เพราะฉะนั้นเราเริ่มรู้ว่าปัญญาจริงๆ คือการที่สามารถที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง ถ้าตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง ก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นเรามีสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าอะไรบ้าง ละเอียดยิบ มีสิ่งที่มีจริงเยอะแยะตลอดชีวิต แต่เดี๋ยวนี้อะไรเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าบอกไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้คิดเองไม่ได้ เพราะว่ามีจริงๆ เดี๋ยวนี้เรากำลังอยู่ตรงนี้จริงๆ ใช่ไหม ทุกอย่างในห้องนี้ก็มีจริงๆ แต่ที่ละหนึ่งอย่าง ลองบอกอะไรมีจริง

    ผู้ฟัง ขณะที่มีจริงตอนนี้ ก็คือกำลังสนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีได้ยินใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีได้ยิน

    ท่านอาจารย์ รู้จักได้ยินหรือยัง

    ผู้ฟัง ก็คือได้ยินที่ท่านอาจารย์กำลังพูดกำลังคุยอยู่ในขณะนี้ มีได้ยิน

    ท่านอาจารย์ นั่นเป็นเรื่องที่เกิดจากเสียงที่ได้ยิน แต่ว่าสภาพธรรมที่ได้ยินมีแน่ๆ แล้วได้ยินอะไร

    ผู้ฟัง ได้ยินเสียงของท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ได้ยินเสียงแต่ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นได้ยินมี และเสียงมี เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ไม่ใช่ต้องไปเปิดตำรา แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งซึ่งอยู่ในตำรา แต่เราไม่ต้องไปเปิดตำรา เพราะได้ยินกำลังได้ยินจริงๆ และเสียงก็มีจริง แต่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าได้ยินต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดไม่มีได้ยิน และเสียงที่ได้ยินก็ต้องเกิดขึ้นด้วย ถ้าเสียงไม่เกิด จะถูกได้ยินไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงหนึ่ง ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่งละเอียดยิบ คือได้ยินเสียง เป็นของใคร

    ผู้ฟัง ก็เป็นเสียงของทั้งผู้พูด และผู้ฟัง

    ท่านอาจารย์ นั่นคือจำ แต่เสียงเป็นเสียง นี่คือความละเอียด เสียงเป็นเสียง เสียงเป็นภาษาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็นภาษา

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นภาษา เพราะเสียงต้องเป็นเสียง

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่ใครที่คุ้นเคยกับเสียงนี้ แล้วก็จำว่าเสียงอย่างนี้หมายความว่าอะไร ก็รู้ในเสียงนั้นในความหมายนั้น ถ้าเป็นชาวต่างประเทศนั่งอยู่ที่นี่ ได้ยินเสียงเหมือนกันเลยแต่เขาไม่คุ้นเคย ไม่เคยได้ยินได้ฟังไม่เคยเข้าใจเขาก็ไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินนี่หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นเสียงเป็นเสียง จะเป็นของใครไม่ได้ เสียงต้องเกิดขึ้น แล้วเสียงหายไปไหน

    ผู้ฟัง ก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ ก็ดับไป ใช้คำว่าดับไป หมายความว่าไม่กลับมาอีกเลย ใช่ไหม ในสังสารวัฎ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ได้ยินล่ะ เสียงหายไปแล้ว ได้ยินยังอยู่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง พอเสียงไปแล้วก็ไม่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ นี่คือเริ่มที่จะเข้าใจว่าได้ยินเสียง เสียงเป็นอย่างหนึ่งได้ยินเป็นอย่างหนึ่ง เสียงต้องเกิด ได้ยินต้องเกิด เพื่อได้ยินเสียงที่ปรากฏ แล้วทั้งสองอย่างก็หายไป กลับมาอีกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย นี่คือทุกขณะในชีวิต เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าไม่เคยมีใครบอกมาก่อนเลย ง่ายๆ ในชีวิตประจำวันนี่แหละ แต่แสดงความว่าไม่ใช่ของใคร เสียงเกิดขึ้น ได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทั้งสองอย่างจะเป็นของใครไม่ได้เลย แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ เสียงเมื่อครู่นี้ไปหาที่ไหนอีก ไม่มีทางเลย โลกไหนก็ไม่มีเสียงนั้น ได้ยินเมื่อครู่นี้ที่ดับไปแล้ว ก็ไม่มีทางจะไปเอากลับมาอีกได้เลย เพราะฉะนั้นเริ่มต้นชีวิต ตั้งแต่เกิดก็มีเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง คิดนึกบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกันหมด สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา นี่คือการตรัสรู้ สิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ แต่ปัญญายังไม่ถึงระดับนั้น เพียงแต่เริ่มฟังเริ่มเข้าใจว่า นี่คือผู้ที่ทรงตรัสรู้ว่าไม่มีอะไรเป็นของใครเลยทั้งสิ้น และไม่มีอีกตัวตนไม่มีใครด้วย เพียงแต่มีสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยด้วย บังคับไม่ได้ เสียงทุกเสียง เกิดแล้วดับแล้ว ได้ยินแล้วดับแล้ว ไม่เป็นของใคร และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ว่าไม่ให้ดับก็ไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เราหลงอยู่ในสังสารวัฎ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ไม่เคยเปิดเผยให้รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วที่ว่าเกิด ก็เป็นสภาพธรรมทั้งหมด สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ ไม่กลับมาอีกเลย ทุกคนเกิดเราต้องตาย แต่ไม่รู้ความจริง ก่อนตายก็ไม่รู้ ไม่เคยฟังพระธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปหลงทำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่คำที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ตอนนี้เรารู้แล้วใช่ไหม คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่ มีอะไรบ้างที่เกิดแล้วไม่ดับ มีไหม ไม่มีใช่ไหม ยืนยันด้วยตัวเองแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ปฏิเสธ ต่อไปนี้ระลึกได้เมื่อไหร่ ไม่มีสิ่งที่เกิดเมื่อครู่นี้หมดแล้ว ทั้งนั้นเลยทุกอย่าง ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี มีเมื่อเกิด สั้นแสนสั้น เกิดแล้วบังคับบัญชาไม่ได้ หมดแล้ว นี่คือ ๑ ขณะในชีวิต ซึ่งบอกว่าเป็นเราได้ยิน ความจริงไม่ใช่เรา ได้ยินเกิดแล้วได้ยินก็ดับไป ทั้งหมดที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ไม่มีใครไปล่อลวงหลอก ใช่ไหม กำลังปรากฏให้รู้ว่ามีจริงแต่ละอย่าง กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจให้ถูกต้อง คนที่ได้ฟังธรรมมานานแล้ว ลืมไหม เหมือนได้ยินจนชินเลย แต่ได้ยินจนชินแต่ก็ยังไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีเกิดขึ้น แล้วดับไป

    เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจแล้วไม่พอ ฟังแล้วฟังอีก เพราะขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้ จนกว่าวันหนึ่งสามารถประจักษ์แจ้ง อย่างที่ได้ฟัง มิเช่นนั้นแล้วจะมีประโยชน์อะไรจากการฟังคำของพระองค์รู้ว่าพระองค์ตรัสรู้ แต่เพราะคนอื่นเข้าใจได้ ค่อยๆ อบรมไป ค่อยๆ เข้าใจไป ค่อยๆ ละความไม่รู้ ในที่สุดสภาพธรรมก็เปิดเผยตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพูดที่ไหน เมื่อพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเสด็จไปนครสาวัตถี ฝั่งแม่น้ำคงคา ที่นครราชคฤห์ หรืออะไรก็ตามแต่ ทุกคำก็พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ก็คือ เห็นเป็นเห็น ไม่ว่าในกาลสมัยไหน ได้ยินก็เป็นได้ยิน คนสมัยก่อนเขาได้ยินไหม

    ผู้ฟัง เขาก็ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องได้ยินเหมือนกัน เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทรงไว้ซึ่งลักษณะนั้นๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เกิดมาแล้วก็มีแค่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ หรือเรื่องราวต่างๆ แค่นี้เอง ทุกวันตื่นขึ้นมาก็เป็นอย่างนี้ แล้วก็หลับไป เรื่องที่สำคัญตอนกลางวัน แล้วตอนกลางคืนตอนหลับสนิทหายไปไหน ไม่มีแม้แต่เราที่เคยเป็นเราก็ไม่มี เพราะฉะนั้นความจริง จริงๆ ก็คือไม่มีอยู่แล้วใช่ไหม แต่เพราะไม่รู้ความจริง ก็ยึดถือว่าเราหลับ แล้วเราก็ตื่น แล้วเราก็เห็น แล้วเราก็ได้ยิน คือยึดถือสิ่งที่มีทั้งหมดมาเป็นเราหมด เพราะฉะนั้นมีคำว่าอัตตา เรานะแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่พูดเปล่า แต่ไม่เข้าใจ ไม่ใช่พูดตาม แต่พูดคำที่รู้จักแล้วตอนนี้ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ อะไรไม่ใช่อนัตตาบ้าง เสียงมาว่าไม่มี แต่เราเข้าใจอย่างนั้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ มีอะไรบ้างไหม ที่ไม่ใช่อนัตตา

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี อะไรบ้างที่เป็นอัตตา

    ผู้ฟัง ขณะนี้ไม่มีอีกเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่มี แต่หลงเข้าใจว่าเป็นอัตตา เพราะฉะนั้นต้องแยกกันให้ชัดเจน เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงแล้ว ต้องมั่นคงจริงๆ ถ้าไม่มั่นคง คือยังไม่ใช่ปัญญา ยังเป็นแต่ฟังแล้วคิด แล้วไตร่ตรอง แล้วจำ ใช่ไหม แต่ถ้าเข้าใจแล้วไม่เปลี่ยนเลย อย่างถามว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ใช่อนัตตาตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี แล้วถามว่ามีอะไรบ้างที่เป็นอัตตา

    ผู้ฟัง ก็ไม่มีอีก

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี แต่มีธรรม

    ผู้ฟัง มีธรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา สัพเพธัมมาอนัตตาสัพเพแปลว่าทั้งหมดเลย ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ไม่ใช่เรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    25 ก.ย. 2567