ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
ตอนที่ ๑๑๓๒
สนทนาธรรม ที่ บ้านสวนอุษาศรี จ.กาญจนบุรี
วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ สัพเพธัมมาอนัตตา สัพเพแปลว่าทั้งหมดเลย ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว ไม่ใช่เรา ค่อยๆ คิด ได้ยินดับแล้ว ไม่ใช่เรา คิดดับแล้วไม่ใช่เรา สัพเพธัมมาอนัตตา ทุกอย่างไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย เพราะอะไร ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วดับไปไม่เหลือ แล้วจะมีอะไรให้เราเป็นของเราได้ ทุกคำกว่าจะถึงการเข้าใจอย่างมั่นคง ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากไหม
ผู้ฟัง ยาก
ท่านอาจารย์ นั่นคือกำลังสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่ไม่กี่คำ แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา นับคำไม่ถ้วน ด้วยพระมหากรุณาให้เราค่อยๆ เห็นถูกต้องขึ้น ไม่มีแน่ๆ เรานี่แหละไม่มี มีแต่ธรรมจนกว่าทุกอย่างเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่ทรงแสดงโดยละเอียด ให้เราเพิ่มความเข้าใจที่ถูกต้องค่อยๆ ละคลายความจำสิ่งที่มี ด้วยความไม่รู้ ว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นอัตตาหมายความถึงสิ่งซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นคุณธิดารัตน์เห็นไหม เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว คือเป็นคุณธิดารัตน์ ดอกไม้ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด รวมกันแล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตาซึ่งไม่มี แต่หลงเข้าใจว่าสิ่งที่มี เป็นอัตตา แต่ความจริงเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ใครไม่ได้พูดเรื่องนี้หรือพูดผิด เราก็รู้ว่าเขาผิด เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาหลอก ด้วยความไม่รู้ ลวงให้หลงไปประพฤติปฏิบัติ เช่นไปสำนักวิปัสสนาปฏิบัติธรรม ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะเป็นปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เคยไปไหม
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ เคยหรือ แล้วรู้อะไรบ้าง
ผู้ฟัง ก็มีเพียงแต่คิดว่า ให้เราคิดดีพูดดีทำดีอะไรประมาณอย่างนั้นก็
ท่านอาจารย์ ก็เป็นคำธรรมดา
ผู้ฟัง ก็เป็นคำธรรมดา
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้ฟังคำจริงที่ค่อยๆ เป็นปัญญาของเราเอง ด้วยพระมหากรุณา ไม่ใช่ว่าใครจะได้โดยง่าย ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังเลย จะไม่มีโอกาสเข้าใจ ได้ยินได้ฟังแล้วผ่านหูไปเฉยๆ ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใจ แต่ต้องไตร่ตรอง และเป็นคนตรงถ้าไม่ตรงไม่ได้สาระ เพราะธรรมตรง เดี๋ยวนี้เป็นธรรมคิดดูกว่าจะเป็นธรรมหมด ไม่ใช่เรา แต่ละหนึ่งคน แต่ละอย่าง แต่ละอย่างด้วย ทั้งโต๊ะ ทั้งเก้าอี้ ทั้งอะไร มาประชุมรวมกันแต่ละหนึ่ง อย่างดอกไม้ดอกหนึ่ง สีชมพู มีเหลืองบ้าง อะไรบ้างในดอกเดียวกัน ลองเอาไปสลายแล้วทำให้ละเอียดยิบ ความเป็นดอกไม้ก็ไม่เหลือ ตัวเราทั้งตัวแยกออกได้ ละเอียดยิบเหมือนกัน ทุกอย่างมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียด แยกออกได้ แตกละเอียดได้ แล้วจะเป็นของเราได้อย่างไร ตาป็นของเราหรือ หูเป็นของเราหรือ ไม่ใช่เลยสักอย่างเดียว ไม่มีข้อสงสัยเลยใช่ไหม เพราะว่าประโยชน์อย่างยิ่งคือได้เข้าใจถูกต้อง พอเข้าใจแล้ว ความสงสัยก็ค่อยๆ หมดไป
ตอนนี้ก็เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม พอพูดถึงธรรมก็ไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงนี่ต่างกัน เป็น ๒ อย่างใหญ่ๆ เลย ประเภทใหญ่ๆ สิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย อย่างเสียง อย่างแข็ง อย่างกลิ่น ขณะที่เสียงปรากฏ ตัวเสียงไม่รู้อะไร แต่ได้ยินกำลังรู้เสียง กำลังรู้เฉพาะเสียงนั้น ว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนี้ เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นมี แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็มี สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ที่เราใช้คำว่าเห็นคือรู้ รู้อะไร รู้ว่าเป็นอย่างนี้ กำลังปรากฏมีจริงๆ ให้เห็น เพราะฉะนั้นพอบอกว่าเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ คนก็ไปติดที่คำอีก ใช่ไหม แต่แค่เห็นอย่างนี้ มีเห็นแต่ไม่รู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา แต่เป็นอาการของธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็น คือรู้ว่ามีอะไรขณะที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ว่าเราจะใช้คำว่าเห็นที่ไหน ในสวน บนภูเขา ในบ้าน ทั้งหมด เห็นมีเมื่อไหร่ต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แยกกันเป็น ๒ อย่าง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่เห็นในขณะนั้นรู้ว่ากำลังมีสิ่งนี้กำลังปรากฏให้เห็น ค่อยๆ ยากขึ้น ยากขึ้น แต่ก็คือสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นสภาพรู้มี เห็น จำ ชอบ ไม่ชอบ พวกนี้รู้ทั้งนั้นเลย ใช่ไหม ชอบใคร ชอบอะไร ไม่ชอบใคร ไม่ชอบอะไร ลักษณะที่ชอบก็เป็นสภาพที่รู้ และไม่ชอบ รู้แต่ไม่ชอบ รู้แต่ชอบ เพราะฉะนั้นชอบก็เป็นลักษณะรู้อย่างหนึ่ง ไม่ชอบก็เป็นลักษณะรู้อีกอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ๒ อย่างนี้ อย่างหนึ่งเกิดมาไม่รู้เลย ภาษาธรรมใช้คำว่ารูปธรรม รูปกับธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีแต่ไม่รู้อะไร แต่อีกอย่างหนึ่งเป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีอาการรู้เกิดขึ้นเลยในโลก ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน สิ่งต่างๆ ก็ปรากฏไม่ได้เสียงก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ก็คือกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ กำลังคิดเดี๋ยวนี้ กำลังจำเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นแยกกัน รูปธรรม รู้อะไรไม่ได้เลย แต่ธาตุรู้ ใช้คำว่านามธรรม ได้ยินไหม นามธรรม รูปธรรมได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่ามีแล้วก็นามธรรมเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่รูปธรรม ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เกิดขึ้นเห็น เกิดขึ้นได้ยิน เกิดขึ้นจำ เกิดขึ้นคิด พวกนี้ ไม่ใช่เรา คือเอาสิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา มาเข้าใจให้ถูกต้องว่า แต่ละหนึ่ง เป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นสภาพรู้ใช้คำว่านามธรรม
เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ทั้งหมดเลย และธรรมก็ต่างกันเป็น ๒ อย่างคือ รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย แต่นามธรรมเกิดขึ้นรู้ จึงสามารถรู้ว่ารูปธรรม แต่ละอย่างมี เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย ได้ยินคำว่าอนิจจัง ใช่ไหม แล้วมีคำตอบไปไหม
ผู้ฟัง ทุกขัง
ท่านอาจารย์ แล้วมีคำต่อไปอีกไหม อนัตตา พูดได้เลยคำที่ไม่รู้จัก คือก่อนนี้ใช่ไหม แต่จริงๆ ก็คือ อนิจจังไม่เที่ยง คำว่าไม่เที่ยงคือเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่คงทนเกิดแล้วตั้งอยู่ไม่ได้ เกิดแล้วดับเป็นอนิจจัง ต่อเองว่า
ผู้ฟัง ทุกขัง
ท่านอาจารย์ ทุกขัง ทุกขังหมายความถึงสภาพธรรมที่ไม่น่ายินดีเลย แค่เกิดขึ้นแล้วดับ เสียเวลาไหม ไปติดใจ ไปพอใจ ไปแสวงหาเพียงแค่มีให้ปรากฏ ว่ามีนิดเดียวแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยแต่ใครจะรู้ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ เราก็ไม่มีโอกาสจะได้ยินได้ฟัง ได้คิด ได้รู้อย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นเราพูดใช่ไหม อนิจจังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่น่าพอใจ ไม่น่ายินดี เมื่อไหร่เห็นการเกิดขึ้นแล้วดับไป เมื่อนั้นจะรู้เลย หลงติดข้องยินดีในสิ่งที่ไม่มี จริงไหมเพราะเข้าใจว่ามีอยู่ตลอดเวลา เพราะสภาพอื่นเกิดขึ้นสืบต่อไม่ขาดสาย เหมือนเดี๋ยวนี้เลย เมื่อครู่นี้อยู่นอกห้อง ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ตอนนี้อยู่ในห้อง
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ และกำลังนั่งอยู่ที่นี่ อีกไม่นานก็ไม่มีแล้วตรงนั้น ไม่มีตรงอื่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาคือไม่ใช่อัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นของเรา หรืออยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา สิ่งที่ดับแล้วหมดแล้วจะเป็นของใครได้ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกขณะ นี่คือเริ่มเข้าใจคำที่เราเคยพูด สามารถรู้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีผู้ที่ดับกิเลส เพราะความรู้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เป็นพระอรหันต์มากมาย เป็นพระอริยบุคคล เพราะรู้ความจริง
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจถูกต้อง ไม่มีใครไปสร้าง ไม่มีใครไปทำ แม้แต่เกิดก็เลือกเกิดไม่ได้ เกิดแล้วรูปร่างหน้าตาจะเป็นอย่างไร ก็เลือกไม่ได้ แล้ววันหนึ่งๆ จะเห็นอะไร จะคิดอะไร จะพบอะไร ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา คืนนี้จะฝันอะไร
ผู้ฟัง ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางรู้เลย ขณะต่อไปจะคิดอะไรก็ไม่มีทางรู้ จะได้ยินอะไรก็ไม่มีทางรู้ จะเห็นอะไรสงสัยไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ เพราะอาจจะตาบอดทันที ไม่เห็นอีกแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย ธรรมทั้งหลาย สิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรม มาจากคำว่าปรม คือภาษาไทยใช้คำว่าบรม อรรถคือแต่ละหนึ่ง ต้องมีลักษณะที่เราสามารถที่จะกล่าวถึงลักษณะนั้นได้ ให้เข้าใจกันได้ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งมีลักษณะของตน ซึ่งเป็นใหญ่ที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะเปลี่ยนแข็งให้เป็นหวานก็ไม่ได้ เกิดแล้วดับแล้ว หวานแล้วหรือเปล่า ไม่ใช่ แข็งเป็นแข็ง
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม ต่อไปนี้พอได้ยินคำว่าปรมัตถธรรมก็รู้เลยใช่ไหม ก็คือธรรมนั่นแหละ แต่ขยายความให้เห็นว่าไม่ใช่เรา กว่าจะรู้ได้ว่าไม่ใช่เราอีกนานเท่าไหร่ ไม่ต้องคิดถึงเลย รู้ได้จากความเข้าใจของตัวเอง ไม่ต้องไปคิดว่าอีกนานเท่าไหร่เลย เข้าใจแค่ไหนยังไม่เห็นการเกิดดับเลย เพียงแต่รู้ว่ากำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น สะสมไปเป็นสมบัติที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เพราะเงินทองซื้อไม่ได้ สิ่งที่มีค่า เงินซื้อได้ค่าของเขาก็เพิ่มขึ้น แต่นี่ล้ำค่าประมาณไม่ได้ เพราะว่าเงินซื้อไม่ได้ แต่ต้องเป็นการได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วรู้ว่านี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมี จนกว่าปัญญาจะรู้อย่างที่พระองค์ทรงแสดง อีกนานเท่าไหร่ ค่าอยู่ที่ขณะที่กำลังเห็นประโยชน์ และเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบไหว้แล้วไม่ฟังธรรม ค่าของพระธรรมจะอยู่ที่ไหน ค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ฟังก็คือไม่รู้ค่าของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำทำให้เกิดปัญญาซึ่งไม่เคยเกิดในสังสารวัฎ และปัญญาที่เกิดแล้วจะค่อยๆ เจริญขึ้นมั่นคงขึ้นตามความเข้าใจ
เพราะฉะนั้นพุทธ หมายความว่ารู้ รู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูก พุทธศาสนาคำสอนที่ทำให้เข้าใจถูก เห็นถูก รู้ถูก แต่ถ้าไม่เข้าใจ เห็นผิด รู้ผิดก็ไม่ใช่พุทธศาสนา ฟังอย่างนี้แล้วจะไปปฏิบัติที่สำนักปฎิบัติไหม
ผู้ฟัง ไม่ไป
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคนตรงอย่างยิ่ง เพราะขณะนี้การที่เราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ เป็นการบำรุงพระศาสนา เรารับใช้คนอื่น ญาติพี่น้องหรืออะไรก็ตาม แต่ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่ากับการรับใช้การทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพราะเป็นสิ่งที่เหนือค่ากว่าอย่างอื่นหมด ที่จะให้คนอื่นมีโอกาสที่จะได้เข้าใจสืบต่อกันไป มิเช่นนั้นก็หมด ถ้าไม่มีการศึกษาให้เข้าใจ และคำสอนคือคำที่ไม่จริงของใครก็ตามแต่ ทุกคำทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำไม่จริงทำลายคำจริง ไม่มีใครรู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะถูกคำไม่จริงปกปิดไว้ กำลังมีทรัพย์หรือเปล่า
ผู้ฟัง ขณะนี้ไม่มี
ท่านอาจารย์ เข้าใจเมื่อไร ปลื้มใจที่ได้ฟัง
ผู้ฟัง ปลื้มใจ
ท่านอาจารย์ ทรัพย์นำมาซึ่งความปลื้มใจ เพราะมีค่ายิ่งกว่าอย่างอื่น ทรัพย์ธรรมดานี่ก็ปลื้มใจอยู่แล้ว ใช่ไหม ใครมีทรัพย์มากก็ปลื้มใจมาก แต่ว่าทรัพย์เหล่านั้นไม่มีค่า เพราะเหตุว่าติดตามไปไม่ได้ มีแต่ทำให้เพิ่มพูนกิเลสความติดข้อง แต่อริยทรัพย์ที่ประเสริฐสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง จนกระทั่งรู้ความจริงซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความถูกต้อง ติดข้องในอะไรมากที่สุดตั้งแต่เกิดจนตาย ติดข้องในอะไรที่สุด ยังไม่รู้ถ้ายังไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมทำให้กระจ่าง ทำให้เข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีที่เคยไม่รู้ที่เคยหลง หาที่สุดเจอยัง ติดข้องในอะไรที่สุด
ผู้ฟัง ติดตัวเอง
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นก็เป็นความเข้าใจซึ่งไม่มีใครเปลี่ยนได้ ไม่มีอะไรจะเท่านี้เลย ทรัพย์สมบัติเงินทองก็ยังไม่เท่าความติดข้องในตัวเอง ติดข้องไปหมดทุกอย่างที่เข้าใจว่าเป็นเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ร่างกายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ทรัพย์สมบัติอะไรต่ออะไรทั้งหมด ก็เพราะเข้าใจว่ามีตัว แล้วก็มีของตัว แล้วมีตัว ใช่ไหม หารู้ไม่ ว่าเป็นแค่สิ่งที่เกิดปรากฏแล้วดับไปเลย หามีอะไรไม่ จากไม่มีก็เกิดมี เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ไม่มี ทั้งหมดในสังสารวัฎ ไม่กลับมาอีกเลย จนกว่าจะละความเป็นตัวตนได้เมื่อไหร่ ก็ต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมั่นคง ที่จะไม่เปลี่ยนแปลง เป็นพระอริยบุคคลได้ เป็นสังฆรัตน ใครเห็นด้วย หรือใครไม่เห็นด้วย ความจริงถึงที่สุด ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ไม่ติดเท่ากับความเป็นเรา ในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ อย่างเห็นอย่างนี้ เราเห็น ทั้งๆ ที่เห็นก็เกิด แล้วก็เห็นดับไป ก่อนเห็นไม่มีเห็น เห็นแล้วมีได้ยิน ตอนที่ได้ยินไม่ใช่เห็นแล้ว เห็นหมดแล้วจึงมีการได้ยินได้ แต่ละหนึ่งซ้อนกันอย่างเร็วมาก จนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรหายไปเลยสักอย่าง เหมือนกับว่าทั้งๆ ที่ได้ยินก็เห็นด้วย ความจริงต้องละเอียดมาก จนกระทั่งเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็ต้องรู้ความจริงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาใครตรัส และทุกอย่างต้องเปลี่ยนไม่ได้เลย ทุกอย่างไม่ใช่เรา ได้ยินเกิดแล้วดับแล้ว ไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เราได้ยิน คิดก็เกิดแล้วดับแล้ว ไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เราคิด จำก็ไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง ใช้คำว่าธรรมแต่ละหนึ่ง ใครก็สร้างให้เกิดขึ้นไม่ได้ ถูกต้องไหม ยึดมั่นที่สุด ถ้าสมมติว่ามีใครจะขู่เข็ญทำร้าย ต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองให้ไปได้เลยขอชีวิตไว้ แลกไม่ได้กับชีวิตเรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาเปลี่ยนได้ไหม นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคำของเราเป็นเราเป็นตัวตนใช่ไหม เพราะเราไม่รู้ แต่ว่าคำใดก็ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้วเปลี่ยนไม่ได้ และเราจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการฟังบ่อยๆ ฟังมากขึ้น
เพราะฉะนั้นบุญมีจริง ใช่ไหม ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม เพราะฉะนั้นบุญเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมเป็นหนึ่งในธรรมหลายๆ อย่าง ลองคิดถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมแต่ละหนึ่งเป็นหนึ่งจริงๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก จะเป็นซ้ำเก่าไม่ได้ ใช่ไหม หนึ่งเกิดขึ้น แล้วหนึ่งดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎ กี่หนึ่งแล้วตั้งแต่ลืมตาตอนนี้ ตอนเช้า นับถ้วนไหม กี่หนึ่งแล้ว
ผู้ฟัง มากกว่าหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ประมาณไม่ได้เลย แค่เห็นเดี๋ยวนี้ ก็หลายเห็นแล้ว ไม่ใช่แค่หนึ่งเห็น เดี๋ยวเห็นนี้ เดี๋ยวเห็นโน้น เดี๋ยวเห็นนั้น หลายเห็นแล้ว ใช่ไหม แค่เห็นอย่างเดียวยังหลายเห็น แล้วยังได้ยินอีก แล้วยังคิดอีก เพราะฉะนั้นเป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งถูกปกปิดไว้ไม่รู้เลย จนกว่าจะค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ จะละกิเลสด้วยความไม่รู้ เป็นไปไม่ได้ จะไปนั่งปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรม รู้อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครปฏิบัติ แต่ให้เข้าใจ เข้าใจนั่นคือปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่มีตัวตนเราไปปฏิบัติธรรม นั่นก็ผิดตั้งแต่ต้น
เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนที่ละเอียด ธรรมหลากหลายมาก แต่ก็สามารถที่จะแยกออก จำแนกตามประเภทตามความเป็นจริง เป็น ๒ อย่างซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง เคยได้ยินคำนี้แน่นอน รูปธรรม แต่เข้าใจผิด จนกว่าจะรู้ว่าอะไรก็ตามที่เกิดมีจริงๆ มีลักษณะที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรม รวมได้หมดเลย หมายความรวมประเภทธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เกิดมีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ แต่รู้อะไรไม่ได้ เป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มีธรรมากอีกประเภทหนึ่งคือสภาพธรรมที่รู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ใช่ไหม ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยินไม่มีการได้กลิ่น แล้วอะไรจะปรากฏ ก็ไม่มีอะไรปรากฏ ที่ปรากฏว่าในห้องนี้มีสีสันวรรณะ มีดอกไม้ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ เพราะมีสภาพรู้ที่เกิดขึ้นเห็น ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรม จากหนึ่งเป็นสองนามธรรมกับรูปธรรม ถ้าทุกคนออกไปจากห้องนี้หมดเลย จะมีใครรู้ไหมว่าในห้องนี้มีอะไร ไม่มี แต่ว่ามีธาตุรู้ พอเห็นเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นเห็นนี่แหละเป็นนามธรรม เป็นสภาพที่รู้ว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏ เป็นอย่างนี้ เป็นนามธรรม
เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตายก็คือ รูปธรรม และนามธรรมเท่านั้น ธาตุรู้ที่รู้ว่าแข็ง เพราะมีสภาพที่กำลังรู้แข็ง สภาพรู้นั้นไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่ถามว่าแข็งไหมบอกว่าแข็ง เพราะแข็งกำลังปรากฏกับธาตุรู้แข็ง ที่กำลังกระทบสัมผัสขณะนี้ เพราะฉะนั้นสภาพรู้ทั้งหมดเป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ นามธรรม
ผู้ฟัง ยาก
ท่านอาจารย์ นี่แหละคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่ไม่กี่คำ แล้ว ๔๕ พรรษา กี่คำเพื่อให้เราได้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา แต่ละคำทั้งหมดต้องเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จึงค่อยๆ เข้าไปใกล้ความจริงว่าไม่ใช่เรา หลงยึดถือว่าเป็นเรานานเท่าไร จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นตอนนี้ชัดเจนทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ธรรมที่เกิดแต่ไม่รู้อะไรเลย เสียง กลิ่น รส ทั้งหมดเป็นรูปธรรม แต่เห็น ได้ยิน พวกนี้มีจริงๆ ไม่ใช่เรา ก็เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไปเท่ากับธาตุที่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ธาตุที่เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ สิ่งที่มีจริงนั้นเกิดขึ้นรู้สิ่งที่แข็งแล้วก็ดับ เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมเท่านั้น สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ว่าโลกไหนที่ไหนเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นหมดเลย ไม่มีอะไรนอกจากธรรม สิ่งที่มีชีวิตไม่ได้มีแต่รูปธรรมมีนามธรรมด้วยทั้ง ๒ อย่าง แต่รูปธรรมจะเป็นนามธรรมไม่ได้ เกิดเป็นรูปก็เป็นรูปแล้วก็ดับ นามธรรมก็เกิดเป็นนามธรรมเป็นรูปธรรมไม่ได้ เกิดเป็นนามธรรมแล้วก็ดับ ค่อยๆ รู้ว่ามีเราไหม ไม่มี แล้วมีอะไร
ผู้ฟัง รูปธรรม
ท่านอาจารย์ อย่างเดียวหรือ
ผู้ฟัง นามธรรมด้วย
ท่านอาจารย์ ทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรานี่แค่พูด ประจักษ์แจ้งจริงๆ เมื่อไหร่ไม่ใช่เราเมื่อนั้น กว่าจะละความยึดถือว่าเป็นเรา ในสังสารวัฎยาวนาน ต้องประจักษ์แจ้ง ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้ง ก็จำไว้ จำไว้ แต่พอลืมก็เรา เพราะยังไม่ประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรม ซึ่งปรากฏกับปัญญาที่อบรมแล้ว เพราะละคลายความไม่รู้ไป ความไม่รู้มีจริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ รู้หรือว่ามีจริง
ผู้ฟัง ก็จริง
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่ล่ะ เมื่อรู้ เมื่อเกิดขึ้นรู้ ก็เป็นนามธรรม ต้องอย่างหนึ่งอย่างใด นี่คือฟังธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจถึงการตรัสรู้ว่าหมายความว่าอะไร ไม่ใช่แค่ทำดีทำชั่ว ทำบุญทำบาปหรืออะไรอย่างนั้น แต่เข้าใจเลย แล้วบาปมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง คือแสดงให้เห็นความเป็นธรรมทั้งหมด ที่ไม่ใช่เรา ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่รีบร้อนไปละกิเลส ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะไม่รู้มาแสนนานในสังสารวัฎ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140