ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
ตอนที่ ๑๑๓๙
สนทนาธรรม ที่ สำนักงานเขตสะพานสูง
วันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ คำพูดแต่ละคำฟังดูเหมือนง่าย ไม่จริง ปล่อยวางง่ายจัง ไหนล่ะอะไรก็ไม่รู้ ไม่จริง ทางสายกลาง ทางซ้ายก็มี ทางขวาก็มี ทางสายกลางอยู่ไหน คืออะไร ไม่ใช่พูดเฉยๆ
อ.คำปั่น การที่ได้ศึกษาจากข้อความในพระไตรปิฎก แสดงถึงว่าผู้ที่จะปล่อยวางหรือละวาง ได้ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ แสดงถึงพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด ก็คือความเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้ากล่าวถึงทางสายกลาง ก็คือหนทางที่ไม่เป็นไปทางฝ่ายสะสมกิเลส ไม่ไปทางฝ่ายของการหมกมุ่นอยู่ในความติดข้อง ยินดีพอใจ ไม่ไปไหนฝักฝ่ายของความเห็นผิดต่างๆ เพราะฉะนั้นก็เป็นทางตรงที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็เป็นทางสายกลางหรือทางที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา เป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วก็ทรงแสดงเกื้อกูลแก่พุทธบริษัท
ท่านอาจารย์ รู้หรือยังว่าปล่อยวางอะไร เพราะฉะนั้นการฟังต้องไตร่ตรอง ต้องละเอียด ต้องมีคำถาม และก็ต้องมีคำตอบ พูดเรื่องปล่อยวาง วิธีต่างๆ แต่ปล่อยวางอะไร เห็นนี่แหละเป็นเราใช่ไหม เดี๋ยวนี้ใช่ไหม เราเห็น ทุกคนเห็น ปล่อยวาง การเข้าใจว่าเห็นเป็นเรา ได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะไม่ใช่เราจะปล่อยวาง แต่ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เปิดสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ จนกระทั่งสามารถเห็นความจริง ปล่อยวางการที่เข้าใจว่าเห็นเป็นเรา
ผู้ฟัง ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เชื่อว่าทุกคนก็อยากได้กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา กับไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะว่าเราจะได้ทราบว่าเราทำแล้ว มีปัญญา แต่ก็ยังเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ก็มี ๒ คำใช่ไหม ควรรู้ทั้ง ๒ คำไหม
ผู้ฟัง ควร
ท่านอาจารย์ กุศลรู้หรือยัง ปัญญารู้หรือยัง
ผู้ฟัง ยังไม่รู้
ท่านอาจารย์ ก็ต้องฟังจนกว่าจะรู้ อาจจะฟังคำ ความหมายหรือคำแปล กุ-ศะ-ละ เป็นภาษาบาลี คนไทยก็รวมพูดเป็นกุศล เชิญคุณคำปั่น
อ.คำปั่น ความหมายของ กุ-ศะ-ละ กุศล ในความหมายของอรรถกถา พระอภิธรรมก็แสดงไว้ชัดเจนว่าเป็นธรรมที่ตัดซึ่งบาปธรรมเพราะว่าขณะที่ธรรมที่ดีงามเกิดขึ้น ก็ดับบาปธรรม ก็คืออกุศลทั้งหลายเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วก็เป็นธรรมที่นำมาซึ่งผลที่เป็นสุข นี่คือความหมายของกุศล กุ-ศะ-ละ โดยความหมายก็คือเป็นธรรมที่ดีงามนั่นเอง ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่
ท่านอาจารย์ กุศลเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร
ผู้ฟัง เป็นธรรมฝ่ายดี
ท่านอาจารย์ อีกคำหนึ่งก็ได้ปรมัตถธรรม จะได้รู้ว่าคำถามหมายความถึงอะไร ธรรมมีจริง ปะระมะคนไทยใช้คำว่าบรม ใหญ่ไหม
ผู้ฟัง ใหญ่
ท่านอาจารย์ ใหญ่จนกระทั่งใครก็ทำอะไรไม่ได้ ใช่ไหม ธรรมนั้นต้องเป็นธรรมนั้น เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นปรมัตถธรรม มี ๓ คำรวมกัน ปรม-อรรถ-ธรรม เวลาที่พูดถึงสิ่งที่มีจริง ไม่เลื่อนลอย สิ่งที่มีจริงมีต้องมีลักษณะ ภาวะความเป็นสิ่งนั้นปรากฏให้รู้ว่ามี ใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นใหญ่ ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้ เป็นปรมัตถธรรม จากคำเดียวคือธรรม ขยายๆ ออกไปอีกมากเลย จนกระทั่งเรามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่ว่าผ่านๆ ไป เพราะฉะนั้นธรรมมีจริง อรรถคือลักษณะ ที่เรากล่าวถึงต้องมีลักษณะ ที่เป็นภาวะของสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งนั้น ลักษณะของสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยน แล้วก็เป็นใหญ่ใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม ธรรมเป็นปรมัตถธรรมรึเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็น คือพอเราได้ยินคำว่าธรรม ไม่ได้แยกจากปรมัตถธรรม แต่อธิบายขยายธรรม ให้รู้ว่าใครเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้ ลึกซึ้งไหม
ผู้ฟัง ลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์ เป็นอภิธรรม ได้ยินบ่อยใช่ไหม สวดพระอภิธรรม สวดว่าอย่างไร กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา ได้ยินทุกงานศพ แต่ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นก็คือว่าได้ยิน และพูดคำที่ไม่รู้จัก จะมีประโยชน์ไหม ต้องเป็นผู้ตรงอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นแทนที่จะพูดคำที่ไม่รู้จัก ฟังคำที่ไม่รู้จัก ก็เข้าใจคำนั้นเพื่อที่จะได้รู้ว่าแต่ละคำ หมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นมีธรรม และมีกุสลาธัมมา ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล กุศลคือดีงาม ยังไม่ไปพูดอีกคำว่าบาป เอาแค่ดีงามในภาษาไทย กุศลก็เป็นธรรมที่ดีงาม มีหลายอย่างไหม หรืออย่างเดียว
ผู้ฟัง มีหลายอย่าง
ท่านอาจารย์ หลายอย่าง ลองยกตัวอย่างสักหน่อย
ผู้ฟัง กุศล
ท่านอาจารย์ นี่คือการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ แล้วเป็นอย่างนี้ คือว่าไม่ใช่ เพราะเราอยากจะไปรู้คำเยอะๆ แต่แต่ละคำเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แล้วเข้าใจลึกลงไปอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งว่า เห็นเกิดดับไม่ใช่เรา จะไม่มีการปฏิเสธคำนี้เลยเมื่อประจักษ์แจ้ง แต่กว่าจะถึงวันนั้นปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ดีงามไหม
ผู้ฟัง ดีงาม
ท่านอาจารย์ ปัญญาก็เป็นกุศล แต่กุศลมีเยอะ เพราะฉะนั้นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา หมายความว่ากุศลนั้นมีความเห็นถูกร่วมด้วยอย่างเวลาเราให้ทาน ไม่ใช่ซื้อ ไม่ใช่ว่าให้เท่านี้แล้วเราจะได้รับเท่านั้น แต่ให้คือให้ สละสิ่งนั้นเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลยทั้งสิ้น ท่านกล่าวว่าแม้แต่เพียงการจะคบเป็นเพื่อน ก็ไม่ได้หวังว่าเพื่อเขาจะได้เป็นเพื่อนเราไปอย่างนั้น ไม่ใช่ ให้คือให้นั่นคือกุศล สละความเห็นแก่ตัวเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น ดีไหม
ผู้ฟัง ดี
ท่านอาจารย์ อโลภะ ไม่ติดข้อง โลภะคือสภาพธรรมที่ติดข้อง อยากได้ต้องการไม่มีวันจบ ตั้งแต่เช้ามาอยู่กับโลภะตลอดวัน ไม่รู้ตัวเลย ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ใช่ไหม เพราะฉะนั้นโลภะไม่ดี แต่เจตสิกอีกหนึ่งตรงกันข้ามเลย อโลภะ ให้สิ่งที่ไม่ติดข้อง ใช่ไหม ถ้าติดข้องให้หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ให้
ท่านอาจารย์ ไม่ให้ เพราะฉะนั้นเวลาที่อโลภเจตสิกเกิด ไม่ใช่เราสามารถที่จะสละสิ่งนั้น ให้คนอื่นเพื่อประโยชน์ของเขาดีไหม
ผู้ฟัง ดี
ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่เมื่อไหร่ที่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมที่สามารถที่จะให้คนอื่นได้ ขณะนั้นรู้ว่าไม่ใช่เราก็คือปัญญา เพราะฉะนั้นกุสล มีกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา และกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ฟังธรรมเป็นกุศลหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ประกอบด้วยปัญญาหรือเปล่า
ผู้ฟัง ประกอบ
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่
ผู้ฟัง เมื่อเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เมื่อเข้าใจ ตอนที่ไม่เข้าใจประกอบด้วยปัญญาไหม
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดา คือทุกขณะเปิดเผย เริ่มเปิดเผยชีวิตของเราซึ่งไม่เคยปรากฏเลยว่าคืออะไร ออกมาเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับจริงๆ
สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนสอนดนตรีสุรนา
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้ฟัง ขออนุญาตเริ่มสนทนาด้วย ที่ว่าเคยได้สนทนากันแล้วก็คิดกับตัวเองอยู่ว่า เพราะไม่รู้ ไม่รู้อะไร ในความรู้สึกก็คุยกับคนทั่วไปแล้วก็คุยกับตัวเองอยู่เหมือนกันว่า เราก็รู้ แต่ว่าถ้าเรารู้คืออะไร แล้วไม่รู้อะไร กราบเรียนท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่อยู่ตรงนี้ หมายความว่าได้เคยสะสมการเห็นประโยชน์ ของการที่จะได้เข้าใจพระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากแสนยาก และนับวันก็จะยิ่งยาก เพราะเหตุว่าความลึกซึ้งของพระธรรมประมาณไม่ได้ ไม่ว่าจะฟังกี่ปีก็ตามแต่ ศึกษาแล้ว ๖๐ ปีหรือเท่าไหร่ก็ตามแต่ ก็ยังคงจะต้องรู้ว่ากว่าจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อปัญญาค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้เลยไม่กี่คำไม่มีทางที่จะเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะเหตุว่าทรงตรัสรู้สิ่งซึ่งมีแต่คนอื่นไม่รู้ มีตลอดเวลาด้วย เพราะฉะนั้นอย่างที่คุณทรงเกียรติว่ารู้น่ะรู้อะไร แล้วทำไมถึงจะกลายเป็นไม่รู้ไปได้ ในเมื่อก็รู้อยู่ใครๆ ก็รู้ แต่บอกว่าเพราะไม่รู้ ก็เป็นการสนทนา คุณสมเกียรติรู้อะไร
ผู้ฟัง รู้ว่าตัวเองก็ทำงานสอนดนตรีให้กับเด็กๆ
ท่านอาจารย์ รู้ว่าตัวเองทำงานแล้วก็สอนดนตรี ตัวเองคืออะไรคือทุกคำที่พูดตั้งแต่เกิดจนตายไม่ได้รู้อะไรเลยทั้งสิ้น อยู่ในความมืดสักคำก็ไม่รู้ รู้ว่าตัวเอง ตัวเองอยู่ไหน ถ้าตอบก็บอกนั่งอยู่ตรงนี้ใช่ไหม แต่ตรงนี้ไหนเป็นตัว
ผู้ฟัง ถ้าก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังธรรมก็ตอบตรงๆ ว่านั่งอย่างนี้ ตัวเองอยู่ตรงนี้
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ตอบได้ใช่ไหมว่ามีตัวหรือเปล่า
ผู้ฟัง ถ้าถึงตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าไม่มีตัวเอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพราะไม่รู้กับเพราะรู้ก็ต่างกันมาก ถ้าเพราะไม่รู้ก็คือว่า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย เกิดมาก็เป็นตัวแล้ว สุขทุกข์ จนตายหมดเลย ตัวอยู่ไหนก็ไม่รู้ทุกชาติ เท่ากับเกิดมาแล้วก็หมดไป แต่ก่อนจะหมดก็สุขไปทุกข์ไป สำคัญว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น สำคัญมาก ความจริงแล้วก็หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกด้วย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้คิดอย่างนี้ เพราะว่าเราเกิดมามีความยึดมั่นในความเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็ทุกอย่างเพื่อเรา ทำทุกอย่าง เพราะฉะนั้นทุกข์เพราะมีเรา และก็สุขก็เพราะมีเรา ทุกอย่างก็เป็นเราหมด แล้วอยู่ไหน ก่อนเกิดเราอยู่ไหน แล้วจากโลกนี้ไปแล้วเราอยู่ไหน เพราะฉะนั้นระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ละวันอย่างบางคนก็คิดว่า ถ้าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วก็จะต้องมีความสุข อุตส่าห์เดินทางไกลแสนไกลไปโน่น มานี่ดูนี่ดูนั่น คิดว่ามีความสุข แล้วลืมมีประโยชน์ไหม ลืมจริงๆ ถ้าไม่คิดไม่มีทางเลย ไม่เหลือด้วยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เห็นอะไรก็ตาม เพียงแค่ไม่คิดก็ไม่มีแล้ว คิดเมื่อไหร่จึงมี
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าที่เป็นเราเพราะไม่รู้ แท้ที่จริงแล้วก็ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เลย บังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างที่ต้องการก็ไม่ได้ นั่นแหละหรือเป็นเรา ใช่ไหม อย่างคุณทรงเกียรติเลือกที่เกิดหรือเปล่า เราทุกคนเกิดมาแล้วใครเลือกมาเกิด ไม่มีเลยใช่ไหม เกิดกับพ่อแม่ท่านนี้ วงศาคณาญาตินี้ ก็เปล่า เลือกไม่ได้เลย เกิดแล้วใช่ไหม และอะไรล่ะที่เกิดยังไม่ใช่เราน่ะ ตอนเกิดมาใหม่ๆ จะเป็นเราได้อย่างไร เพียงแค่เกิดมา เพียงแค่รู้ตัวว่าเกิดมาเท่านั้นเอง พฤติกรรมอะไรต่างๆ ยังไม่เป็นเรา อย่างเด็กเล็กๆ เขาจะรู้ไหม ลืมตาขึ้นมาในโลกเขาคิดหรือเปล่าว่านี่เป็นเราเขาก็ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เห็นก็ไม่รู้ ได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้ แต่ค่อยๆ รู้โดยการที่เพราะสิ่งนั้นปรากฏบ่อยๆ จนกระทั่งคุ้นชิน จนกระทั่งสามารถที่จะจำได้ ก็มีความรู้ว่าเป็นใคร ในขณะเดียวกันที่กำลังรู้อยู่นั้น ก็เป็นเรามาตั้งแต่เกิด ที่ค่อยๆ เห็น ค่อยๆ ชิน ค่อยๆ จำ ค่อยๆ ฟัง ความเป็นเรา จนกระทั่งตลอดมา ไม่ว่าจะโตสอบได้สอบตก เรียนเก่งเรียนไม่เก่ง เป็นไข้ร้ายแรงหรือว่าออกจากโรงพยาบาลก็เราไปหมดเลย แต่ความจริง ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว ที่เป็นใคร ที่จะทำอะไรได้ นอกจากเกิดเป็นธรรมมีจริงๆ สิ่งที่มีจริง เกิดจริงๆ มีจริงๆ นั่นแหละมีจริงชั่วขณะที่เกิดแล้วหมด ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเราค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา เพราะว่าการที่เราจะรู้จริงๆ ยาก เยอะแยะไปหมด แล้วจะรู้จริงๆ ได้อย่างไร ใช่ไหม แต่ละวันก็ต้องรู้ทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความมั่นคงว่า คำที่เราได้ฟังถูกต้อง แต่เรายังไม่สามารถที่จะละทิ้งความเป็นตัวตน และความเป็นเราได้โดยเพียงขั้นการฟัง แต่ขั้นการฟังถูกต้องเลย เห็นไม่ใช่ได้ยิน ขณะที่เห็นเกิด เห็นมีปัจจัยทำให้เห็นเกิดขึ้น ใครไปทำเห็นให้เกิดก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีตา จะมีสิ่งที่กระทบตาได้ไหม จะมีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏได้ไหม ก็ไม่ได้ ถ้าเสียงไม่เกิดกระทบหู จะได้ยินเสียงนั้นไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นทั้งวันก็คือเห็น บังคับบัญชาไม่ได้ ได้ยินก็บังคับบัญชาไม่ได้ ได้กลิ่นล่ะ เราอยากได้กลิ่นเดี๋ยวนี่สิ ไม่มีทางจนกว่าไม่อยาก แต่ว่ากลิ่นกระทบจมูก ปรากฏได้ว่ามีกลิ่น
เพราะฉะนั้นทุกอย่างถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว ก็คือว่าเกิดแน่นอนจึงได้ปรากฏ ถ้าไม่เกิดไม่มี ไม่สามารถจะปรากฎได้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่กำลังปรากฏขณะนี้ต้องเกิด แต่ว่าไม่มีใครไปทำให้เกิด สักอย่างเดียว แต่มีปัจจัยเฉพาะที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งที่อยู่ตรงนี้ไม่เหมือนกันเลย ไม่มีทางที่จะเหมือนกันด้วยได้ยินเสียงเดียวกันด้วย คิดคนละอย่าง เข้าใจคนละอย่าง มากหรือน้อย แล้วแต่ว่ามีตั้งหลายอย่าง คนหนึ่งกำลังได้ยินเสียง อีกคนหนึ่งกำลังคิด อีกคนนึงกำลังเห็น เร็วมากเลยทุกอย่าง นี่คือโลก ที่เราใช้คำว่าโลก โล-กะ ถ้าไม่มีสิ่งใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีต้นไม้ ดอกไม้ ไม่มีแม่น้ำลำคลอง ไม่มีคน จะมีโลกไหม ก็ไม่มี แต่เราลืมว่าที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีจริงๆ แต่พอมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏ เมื่อนั้นแหละจึงเป็นโลก
แต่ทีนี้สิ่งที่ปรากฏ มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย ภูเขาต้นไม้ ทะเลท้องฟ้า ต้นข้าวต้นหญ้า โต๊ะเก้าอี้ ไปกระทบไปสัมผัส ไม่รู้ พูดด้วยก็ยังไม่รู้เลย ใช่ไหม ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย แต่ว่าถ้าไม่มีธรรม สิ่งที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งทันทีที่เกิดต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ บังคับให้ไม่รู้ก็ไม่ได้ สภาพรู้นั้นมีจริงๆ แล้วแต่ว่าขณะนั้นรู้อะไร ถ้าได้ยินเสียง รู้เสียงใช่ไหม บังคับไม่ให้รู้เสียงนั้นได้ไหม บังคับให้คิดถึงเสียงที่รู้ได้ไหม ก็ไม่ได้ ทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เกิดดับสืบต่อพร้อมกันมากมายหลายอย่าง จึงปรากฏเป็นโลก ซึ่งเต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม รู้อะไร และไม่รู้อะไร
ผู้ฟัง รู้สิ่งที่มีจริงคืออะไร แล้วก็ตอนนี้ตอบได้ว่าส่วนมากจะรู้ในสิ่งที่ไม่มีจริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงใครปฏิเสธไม่ได้ว่ามี แต่ว่าเพราะไม่รู้จึงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างดอกไม้หนึ่งดอก มีสี มีแข็งหรืออ่อน มีกลิ่น บางชนิดก็รับประทานได้ก็มีรสด้วย ใช่ไหม แค่หนึ่งดอกมีตั้งหลายอย่าง สีก็มี กลิ่นก็มี รสก็มี แล้วเรารวมด้วยกันว่าเป็นดอกไม้ แต่ถ้าแยกออกนะละเอียดยิบ ก็คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง พอมารวมกันขึ้นก็ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เหมือนเราไหมที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีเห็น ยึดมั่นว่าเป็นเราเห็น มีได้ยิน ชั่วขณะที่ได้ยินถ้าไม่มีอย่างอื่นเลยก็มีได้ยิน แค่ได้ยินจะเป็นเราหรือ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเวลากลิ่นปรากฏ สภาพที่กำลังรู้กลิ่นมี แต่ก่อนนี้เป็นเรา เราได้กลิ่น แต่พอรู้ว่าได้กลิ่นมี ใช่ไหม แล้วได้กลิ่นก็หมดไป แล้วใครก็ไปทำให้ได้กลิ่นเกิดไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับไป นี้หรือเรา ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ว่าแท้ที่จริงก็คือเป็นสิ่งที่มีจริง ใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น แค่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง นี่คือโลกทั้งหมด ไม่ว่าขณะไหนของโลก ถ้าเข้าใจก็คือขณะนั้นมีสิ่งที่เกิด แล้วก็ดับ โดยที่ว่าไม่ปรากฏการเกิดดับ แล้วก็รวมกัน ทำให้ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตามรูปร่างสัณฐานของสีสันวรรณะที่ปรากฏทางตา ถ้าเป็นเสียงก็มีเสียงสูงเสียงต่ำ ประเดี๋ยวก็มีเสียงเพลง ตอนบ่ายนี้ก็เพราะเลย เสียงเพลงเพราะๆ เดี๋ยวนี้มีไหม ยังไม่มี มีเมื่อไหร่
ผู้ฟัง มีเมื่อเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ใครทำให้มี ต้องละเอียด ใครทำให้มีหรือเปล่า ใครก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยให้เกิดเสียง มีเปียโนอยู่ตรงนี้ ไหนเสียงใครทำไม่มีสักเสียงใช่ไหม แต่แล้วก็มีเสียง เพราะมีการกระทบกัน แล้วมันกระทบกันเองได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นโลกทั้งหมดก็เกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาที่มีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ลืม มีใครไม่ลืม อยู่ตรงนี้ลืมอย่างอื่นหมดเลย ใช่ไหม ถ้าอยู่ตรงอื่นก็ลืมตรงนี้หมดเลย ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็แค่มีเพื่อลืม โดยเฉพาะทุกชาติ ชาติก่อนลืมหมดเลย ชาตินี้จำเดี๋ยวนี้ได้ เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง เยอะเลยใช่ไหม จำได้ก็มีจำไม่ได้ก็มี ก็แล้วแต่ แต่ไม่มีเหลือ เพียงแต่แค่จำเพราะสภาพจำ จำตลอดไม่เคยหยุด ใครจะคิดว่าไม่จำก็ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่มีจริง ถ้าขาดจำไปสักขณะเดียว ขณะต่อไปจะมีได้ไหม เพราะว่าสืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ แม้แต่ความจำ ด้วยเหตุนี้ต้องเข้าใจ ว่าสิ่งที่มีจริง มีจริงๆ แน่ๆ แต่ เพราะไม่รู้จึงเข้าใจผิด ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต หรือว่าเป็นสิ่งที่รู้
เพราะฉะนั้นก็ว่าที่กายของเรา ที่ว่าเป็นเราทั้งตัว ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น จะเป็นเราได้ไหม ก็ไม่ได้ ก็แค่ก้อนเนื้อ ใช่ไหม แต่เพราะว่ามีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้จะเป็นก้อนเนื้อไม่ได้ ใช่ไหม ตัวจมูกก็ไม่ได้กลิ่น ตัวหูก็ไม่ได้ยิน ตัวตาก็ไม่ได้เห็น แต่ว่ามีธาตุรู้เกิดขึ้น โดยเราไม่เคยคิดเลยว่าที่เกิดมาเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นจะว่ารู้จักหรือไม่รู้จักอะไรสักอย่าง เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธาตุแต่ละอย่างโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่ออะไร ให้รู้ความจริง เพราะว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด แล้วก็มีพระมหากรุณา สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะใช้คำว่าด้วยพระมหากรุณาตลอด เพราะว่าสัตว์โลกไม่รู้ มีใครที่จะรู้บ้างไหม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่เมื่อได้ฟังแล้วด้วยพระมหากรุณาที่ทรงแสดง ทุกคำให้ได้ฟัง ให้ได้ไตร่ตรอง ให้พิจารณา ค่อยๆ มีสัตว์โลกที่เข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งสามารถรู้ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคน จะไปบอกใครให้มาสนใจ ก็เสียเวลา ทำให้เขารำคาญด้วย แต่เป็นตัวอย่างได้ เพราะเหตุว่าถ้าเราฟังคนอื่นก็พลอยได้ยิน ใช่ไหม พลอยได้ยินบ่อยๆ เขาก็พลอยจำเรื่องราว ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจโดยไม่ต้องไปบอก โดยไม่ต้องไปไปเตือน ไม่ต้องไปขอร้อง เพราะไม่มีประโยชน์ถ้าเขาไม่ได้สะสมมา แต่ถ้าเขาสะสมมา ไม่รู้อยู่ที่ไหนเปิดวิทยุขึ้นมา ได้ยินทันทีเลยใครทำได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140