ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
ตอนที่ ๑๑๔๐
สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนสอนดนตรีสุรนา
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นต้องมีเหตุปัจจัย ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ละเอียดมาก แค่ฟังแค่นี้ยาก แต่พอไปถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดจะยิ่งยาก ไหมว่าหนึ่งที่เกิดขึ้นมีกี่ปัจจัย ธรรมอะไรที่อาศัยซึ่งกัน และกันปรุงแต่ง ทำให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาว่าใครจะไปทำ แต่ตัวธรรมนั่นเอง สภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างอาศัยกัน และกันปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้น เป็นเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าอะไรก็คือเป็นเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ก็ต้องมีปัจจัย ไม่มีตาก็ไม่เห็นไม่มีหูก็ไม่ได้ยิน ไม่มีกายก็เข้ามาตรงนี้ก็ไม่ได้ ใช่ไหม ก็เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะฉะนั้นธรรมคือธรรมดา ซึ่งมาจากคำว่าตา ธรรมตา ความเป็นไปของธรรม สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้ แล้วเราก็พูดบ่อยเป็นธรรมดาเป็นธรรมดา แต่ความเข้าใจของเราแค่ไหน ถ้าเราสามารถเข้าใจลึกซึ้งได้ เขาโกรธเป็นธรรมดาหรือเปล่า เป็นธรรมดา ที่เป็นอย่างนั้นจะให้เป็นอย่างอื่นได้อย่างไร เมื่อเป็นแล้วก็ต้องเป็นธรรมดาจะให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่เรามีโอกาสได้ฟังธรม ก็คือว่าได้เริ่มรู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครบอกได้เลย เกิดแล้วก็ตายไป โดยที่ว่าถ้าไม่มีการได้ฟัง ได้คิด ได้ไตร่ตรอง รู้ว่านี่เป็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใช่ไหม เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐที่สุด เพราะจากการที่ไม่เคยรู้เลย ก็ได้รู้ความจริงว่าอยู่ในโลกนี้ไม่นาน มีใครบ้างที่จะอยู่นาน จะอยู่นานสักเท่าไหร่ ค้ำฟ้าเลยไม่มีทางเป็นไปได้เลยใช่ไหม แต่ละชีวิตจะต้องจากโลกนี้ไป แต่จะจากไปแบบไหน ด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ไม่รู้อีก เกิดอีกก็ไม่รู้อีก หรือว่าได้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงคืออะไร ทำไมเราต้องไปโรงเรียน เพราะต้องรู้ใช่ไหม สิ่งที่เราไม่รู้ แล้วนี่เป็นโลก โรงเรียนนี้ใหญ่ไหม
ผู้ฟัง ใหญ่มาก
ท่านอาจารย์ ตรงไหนก็เป็นโลกหมด ใช่ไหม ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ ไม่แคล้วจากโลกสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี สิ่งนั้นก็เป็นโลก เพราะฉะนั้นเราศึกษาให้รู้ความจริง ซึ่งจะทำให้เห็นประโยชน์สูงสุดว่าความไม่รู้นำมาซึ่งอะไรบ้าง นำมาซึ่งความติดข้องแน่ๆ เลย ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมีใครบ้างที่เห็นดอกไม้ แล้วไม่ชอบ เห็นโน่นแล้วไม่ชอบ เห็นนี้แล้วไม่ชอบ อยากไปดูกันด้วยซ้ำไป เห็นตัวอยากไหม เดี๋ยวนี้ก็มีแต่ยังไม่พอ ยังอยากอีก ที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น ใช่ไหม พอไหม ไม่พอไม่มีทางพอเลย เพราะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้เราจะเห็นได้ว่าแต่ละชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นไป มีความไม่รู้ จึงเต็มไปด้วยความอยาก แล้วก็ถ้าไม่ได้สิ่งที่เราอยากล่ะ เดือดร้อนไหม
ผู้ฟัง เดือดร้อน
ท่านอาจารย์ นั่นแหละรู้ตัวไหมว่าไม่มีใครทำให้เลย ไม่มีใครทำให้ใครเป็นทุกข์ได้เลยทั้งสิ้น แต่ธรรมที่เป็นเหตุ ทำให้เกิดธรรมที่เป็นผล เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดมาก็เป็นธรรมหมดเลย มากมายประมาณไม่ได้เลย แล้วไม่กลับมาอีกเลยสักหนึ่ง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดแล้วดับ คำว่าดับคือไม่กลับมาอีกเลย หาอีกไม่ได้เลย เมื่อวานนี้คือเมื่อวานนี้ ไม่ใช่วันนี้ เห็นเมื่อวานนี้ก็ต้องเป็นเห็นเมื่อวานนี้ เห็นเมื่อเช้านี้ก็ต้องเห็นเมื่อเช้านี้ ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กับเมื่อครู่นี้ก็ต่างกันเลย ถ้าสามารถที่จะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เที่ยงคือมั่นคงจีรังยั่งยืน แต่ไม่เที่ยงหมายความไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยซึ่งสามารถที่จะดำรงยั่งยืนอยู่ได้ พิสูจน์ได้เลยไม่ว่าอะไร ตอนเป็นเด็กชอบอาหารอย่างหนึ่งพอโตขึ้นเปลี่ยนแล้ว บางทีอาหารที่ชอบรับประทานบ่อยๆ ก็เบื่อแล้ว เป็นไปได้อย่างไร ก็ไหนว่าชอบ ยังเบื่อ
เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเลยที่ยั่งยืน ถ้าคิดอย่างนี้ ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แล้วจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปในสังสารวัฎ ถ้ารู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งซึ่งต้องเป็นอย่างนั้นเอง ธาตุรู้ต้องเกิดขึ้นรู้ ยับยั้งไม่ได้ ธาตุที่ไม่รู้ก็เกิดขึ้นตามสมฎฐาน เหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นยับยั้งไม่ได้ด้วย ก็เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่ละอย่างเสมอกันหมด นกเห็นไหม
ผู้ฟัง เห็น
ท่านอาจารย์ แล้วมนุษย์เห็นไหม คนเห็นไหม ผู้หญิงเห็นไหมผู้ชายเห็นไหม เด็กเห็นไหม ผู้ใหญ่เห็นไหม เห็นก็คือเห็น เกิดแล้วดับแล้ว แล้วอย่างไรล่ะ ก็เป็นธรรมสิ่งที่มีจริง แค่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะเป็นคนดีขึ้นไหม ทำชั่วทำไมกัน ถ้ารู้จริงๆ ว่าชั่วเป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์มากมาย เริ่มตั้งแต่ทันทีที่ชั่วเกิด ใจเป็นทุกข์ ยังไม่ทันออกไปภายนอกเลย แค่ใจเป็นทุกข์แล้ว นั่งเฉยๆ อย่างนี้ มีไหม คนที่เป็นทุกข์เพราะไม่รู้ใช่ไหม และก็อาจจะมีคนที่เป็นสุข ใช่ไหม แล้วก็คิดไปต่างๆ นาๆ ก็แค่คิด ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย ต้องเป็นอย่างที่จะต้องเป็น
เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งทำให้เรา สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ แม้ในชีวิตนี้ ที่จะไม่ทุกข์อย่างคนที่ไม่รู้มากๆ เขาเป็นทุกข์มากเลย แต่คนที่รู้ก็รู้ว่าเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีการเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะปรากฏว่ามีก็ต้องเกิด เกิดแล้วก็ต้องหมดไป จะยั่งยืนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็จะทำให้ความติดข้องค่อยๆ ละคลาย แต่ว่ากว่าจะหมด ไม่มีทางที่จะรวดเร็วอย่างที่เขาคิดกันว่าไปสำนักปฏิบัติ ปฏิบัติสัก ๑๐ วัน ๒๐ วัน แล้วก็หมดกิเลส รู้แจ้งสัจจธรรม พูดได้อย่างไร เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ปิดบัง แล้วก็นำไปในทางที่ผิดทุกอย่างที่ไม่ดี ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ แต่ธรรมที่เป็นความรู้คือปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกก็มี แต่เกิดเองไม่ได้ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ไม่ใช่ผู้ที่อบรมมาที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีทาง ก็ต้องเป็นสาวกต้องฟังแน่ๆ ไม่ฟังแล้วคิดเองก็ผิด
ผู้ฟัง สิ่งที่มีอยู่จริงก็คือการเห็น การได้ยิน การลิ้มรส กระทบสัมผัส เรารู้ว่านี่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่พอเราใช้ชีวิตประจำวัน ตอนนี้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์อยู่นี่ ก็จะเห็นท่านอาจารย์ จะเห็นเป็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่เห็นอย่างนี้ จริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ จริง ถ้าไม่เห็น จะมีไไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นแล้วคิด ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เห็นแล้วไม่คิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคิดเป็นเรา หรือเปล่า
ผู้ฟัง คิดไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ เห็นสิ่งนี้ไปคิดถึงสิ่งโน้นได้ไหม
ผู้ฟัง เห็นสิ่งนี้ไปคิดถึงสิ่งโน้น ตอนนี้ผมตอบว่าได้
ท่านอาจารย์ นี่คือไม่รู้ ความละเอียดคือทันทีที่เห็นดับไปแล้ว คิดถึงสิ่งที่เห็น ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่านี่ใคร นี่อะไร ทันทีที่เห็นก็รู้เลย เหมือนรู้เลยแสดงให้เห็นว่าจะไปคิดอย่างอื่นไม่ได้ ทันทีที่เห็นอะไรปรากฎ ห้ามคิดไม่ได้ ถ้าไม่มีคิดจะไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่ทุกคนเห็นแล้วรู้ว่าเป็นอะไร ก็หมายความว่าเห็นมีจริง พอเห็นดับก็คิดถึงสิ่งที่เห็น โดยเราไม่รู้เลย ไม่มีทางรู้เลย เพียงแค่คำถามอย่างนี้ปัญญาของเรามาแล้ว ที่จะรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่เราคิด เพราะว่าถามว่าเห็นสิ่งนี้แล้วคิดถึงสิ่งอื่นได้ไหม ถ้าตอบว่าได้นั่นคือไม่ใช่ความรู้
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เป็นความไม่รู้แล้ว เพราะเห็นวตุเห็นสิ่งใดคิดถึงสิ่งนั้นทันทีคิดถึงสิ่งอื่นไม่ได้เลย ธรรมดาของธรรม ความจริงที่ต้องเป็นอย่างนี้ ห้ามได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห้ามได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย ธรรมต้องเป็นธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ละเอียด กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราจริงๆ ต้องอาศัยการฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจความเป็นธรรมอย่างมั่นคง เพื่อละความไม่รู้ และเคยยึดถือว่าเป็นเรา ก่อนที่ปัญญาขั้นต่อไปจะเกิด เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนทะเลมหาสมุทร ลุ่มลึกตามลำดับ ถ้าไม่ได้ยิน ได้ฟังเลย มาบอกว่าเกิดดับอะไรล่ะอะไรเกิด อะไรดับ หรือแม้แต่คำถามที่ว่าเห็นสิ่งนี้แล้วคิดถึงสิ่งอื่นได้ไหม เหมือนได้ ใช่ไหม เพราะเราไม่รู้ไม่ได้ นั่นคือความไม่รู้ แต่ถ้าความรู้ ได้ยินเสียงคิดถึงอย่างอื่นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ต้องคิดถึงเสียง จำเลยทันที แล้วก็คิดถึงความหมายเลย เพราะเสียงแต่ละเสียง เป็นไปตามความหมาย พอบอกว่าดอกไม้ไปคิดถึงโต๊ะก็ไม่ใช่ ใช่ไหม แต่แม้แต่คำว่าดอกไม้ จิตกี่ขณะแล้ว ใช่ไหม แม้แต่คำว่าดอก แค่นี้ยังต้องมีการคิดถึงความหมายของดอกก่อน ไม้ เราพูดเร็วๆ ดอกไม้แต่หารู้ไม่ว่าจิตเกิดดับระหว่างนั้นเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นขณะนี้ สิ่งที่ปกปิดก็คือว่าเห็นเป็นคน เห็นเป็นโต๊ะ เห็นเป็นอะไรทุกอย่าง ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้เท่าไหร่ นับประมาณไม่ได้เลย โดยไม่มีใครรู้เลยว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ ถ้าไม่ใช่ธาตุรู้อะไรก็ไม่ปรากฏ ใช่ไหม โต๊ะ เก้าอี้ นี่ไม่รู้เลยว่าอะไรวางอยู่ข้างบน ใช่ไหม แต่เมื่อเป็นธาตุรู้แล้ว เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เพราะเป็นธาตุ ธรรมสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งซึ่งรู้ เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เมื่อเกิดขึ้นรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เป็นของธรรมดา ใช่ไหม จะรู้แล้วบอกไม่รู้อะไรไม่ได้ เมื่อมีสิ่งที่รู้ก็ต้องมีสิ่งถูกรู้ อย่างเสียงถูกจิตได้ยิน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุรู้ ขณะนั้นที่เสียงปรากฏหมายความว่าธาตุรู้กำลังได้ยินเสียง ไม่ใช่เราเลย
เพราะฉะนั้นถ้าจริงๆ เข้าใจจริงๆ ก็จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง เราซึ่งใหญ่เหลือเกิน สำคัญเหลือเกิน โลกทั้งโลกนั่นแหละคือเรา สุขทุกข์ทั้งหลายก็อยู่ตรงนี้แหละ จะทุจริต จะหวังอะไรมากมายก่ายกอง ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ ก็คือว่าเพื่อสิ่งซึ่งเกิดแล้วดับ แล้วไม่เหลือด้วย แล้วไม่กลับมาอีกด้วย เพราะฉะนั้นทรัพย์สมบัติไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ หรือสมบัติใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เหลือ ชาติก่อนนี้ใครเกิดที่ไหน สมบัติมหาศาล รูปสวยสักเท่าไหร่ก็ตามแต่ อยู่ไหนล่ะ ไม่เหลือเลย เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นชาติต่อไปต้องมีแน่ ถ้าเรารู้ว่าเดี๋ยวนี้มีเพราะว่ามีปัจจัยเกิดขึ้น ปัจจัยยังมีตราบใดก็ต้องเกิดดับ เพราะฉะนั้นเราคิดถึงการเกิด และการตายเป็นชาติหนึ่ง แต่การเกิดดับของจิตตั้งแต่แสนโกฎกัลป์มาถึงเดี๋ยวนี้ นับประมาณไม่ได้ แต่บอกได้ว่ากี่ชาติ เพราะเกิดเป็นคนหนึ่งแล้วก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น ก็กล่าวว่าตาย เกิดอีกเป็นอีกบุคคลหนึ่งสิ้นสุดลงไปก็กล่าวว่าตาย เพราะฉะนั้นก็เกิดตายมานับไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้นก็เป็นชาติที่มีโอกาสได้เข้าใจความจริง มากน้อยก็แล้วแต่ว่าจะเห็นประโยชน์ แล้วก็มีความสามารถที่จะรู้ว่าฟังแล้ว คำพูดที่ได้ฟังเป็นคำของคนอื่น แต่คำนั้นทำให้เกิดความเข้าใจของตนเองมากน้อยแค่ไหน อย่างคำของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสรู้ พระปัญญาเป็นของพระองค์ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ทรงแสดงธรรมตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ คนฟังจะรู้ตามได้แค่ไหนก็เป็นแต่ละหนึ่งคน
ผู้ฟัง กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพ เหตุปัจจัยผมสงสัยที่สุดเลย และผมก็ได้รับความกระจ่างอย่างยิ่งเมื่อมาฟังธรรมของท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นธรรมของพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เหตุปัจจัยที่ทำให้ได้พบคุณกฤตบุญ ก็ด้วยเสียงเพลงธรรมเป็นเพลงที่เป็นประโยชน์กับมูลนิธิด้วย เพราะเหตุว่าทำให้คนได้เข้าใจประโยชน์ของการที่เราได้มีโอกาสที่จะได้ฟังเพลงที่เป็นธรรม เพราะว่าส่วนใหญ่เราก็ได้ยินแต่เพลงเรื่องอื่น แต่นี่เป็นเพลงเรื่องของธรรมจริงๆ จนกระทั่งได้พบก็เป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นปัจจัยมีมากเลย แต่ให้ทราบว่าปัจจัยคืออะไร แต่คนไทยจะชินกับคำว่า เหตุ-ปัจจัย เพราะเราใช้ว่าเมื่อมีเหตุต้องมีผล ใช่ไหม ผลทั้งหลายย่อมมาจากเหตุ เพราะฉะนั้นปัจจัยกว้างขวางมาก หมายความว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มีสิ่งที่เป็นจริงมีจริงอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ถ้าไม่มีอาศัยไม่ได้ ถ้าไม่มีจริงๆ ก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่มีจริง เกิดร่วมกันอาศัยกัน และกัน ปรุงแต่งกันเป็นธรรมดา หมายความว่าใครจะมาห้ามไม่ให้สิ่งนี้เป็นปัจจัย ให้สิ่งนั้นเกิดพร้อมกันก็ไม่ได้ ร่วมกันก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นธรรมดาที่สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุลมใช่ไหม ธาตุดินก็คือ เราเรียกดิน แต่ไม่ใช้ดินที่เราปลูกต้นไม้ ดินคือไม่ว่าอะไรก็ตามที่แข็งหรืออ่อน เป็นที่รองรับ เป็นที่ตั้งของธาตุอื่น นั่นคือธาตุดิน ที่นิ้วเรานี่ ดินหรือเปล่า รองรับธาตุอื่น และก็เป็นลักษณะที่แข็งหรืออ่อน เป็นธาตุดินเมื่อเป็นธาตุดินมีธาตุไฟเกิดร่วมกัน อาศัยกัน และกัน แยกกันไม่ออกเลย เย็นหรือร้อนเป็นความอบอุ่น พอดีพอเหมาะที่จะทำให้สิ่งนั้น สามารถดำรงอยู่ได้ ธาตุไฟแล้วก็ธาตุน้ำ เป็นสภาพธรรมที่เกาะกุมธาตุที่อยู่รวมกัน ธาตุลมก็สามารถที่จะเคลื่อนไหวไปได้ มิเช่นนั้นถ้าไม่มีธาตุลม อยู่นิ่งๆ เลย ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่เพราะว่าธาตุลมต้องอยู่ที่ธาตุดิน เพราะฉะนั้นไปด้วยกันหมดทั้ง ๔ ธาตุแยกไม่ออกเลย
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ถ้าเป็นคนที่ละเอียด เราก็ยิ่งค่อยๆ เห็นความไม่ใช่เรา เพราะไม่ใช่เราจริงๆ แต่หลงเข้าใจว่าเป็นเรามาแสนโกฎกัลป์ในสังสารวัฎ ไม่มีทางที่จะเอาความเป็นเราออกไปได้เลย ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วก็พร้อมกันด้วย เพราะฉะนั้นก็มีคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพระมหากรุณา ใช้คำนี้เลย พระมหากรุณา เพราะว่าตามธรรมดา เรามีเมตตา มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อน กับคนอื่น พร้อมที่จะเกื้อกูลใช่ไหม แต่พระองค์เป็นใคร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจากพระปัญญาคุณที่ได้ทรงตรัสรู้ แล้วเห็นว่าสัตว์โลกรู้ไม่ได้แน่ เพราะว่า ถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่รู้มานานแสนนาน เมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียร เพื่อที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระมหากรุณายิ่งกว่าใครทั้งหมด เราจึงมีโอกาสได้ฟังคำด้วยพระมหากรุณา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเมตตาอย่างเรา เมตตากันเป็นเพื่อนกัน เมตตามาจากคำว่ามิตรไมตรี เราเป็นมิตรกันได้ แล้วเราก็กรุณาคนที่เขาลำบากได้ เขากำลังทุกข์ยาก กรุณาหมายความถึงความเข้าใจในความเป็นทุกข์ แล้วก็พร้อมที่จะเกื้อกูลด้วย เพราะว่าเห็นคนเดือดร้อน บางคนผ่านไปเลย แต่คนที่เข้าใจความทุกข์ของเขานี่คือกรุณา เห็นใจเข้าใจ แล้วก็ช่วยใช่ไหม ตามกำลังความสามารถที่จะเป็นไปได้ แต่บางคนกรุณาแต่ช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมีกรุณาคือเห็นใจ เข้าใจว่าเขากำลังลำบากอย่างนี้เขากำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมตตาสำหรับคนเสมอกันก็ได้แล้วก็มีความเป็นมิตรพร้อมที่จะเกื้อกูล แต่กรุณาเวลาที่คนมีทุกข์
เพราะฉะนั้นใครจะมีสมบัติมากมายมหาศาลก็ต้องตาย และด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระมหากรุณากับสัตว์โลกทั้งหมดซึ่งไม่รู้ เมตตา กรุณา มุทิตา เวลาที่ใครรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เช่นท่านพระโกณฑัญญะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุทาน โกณฑัญญะรู้แล้ว เป็นประจักษ์พยานว่าที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีทรงแสดงธรรม มีผู้ที่ได้รู้ตามได้จริงๆ อุเบกขา สูงสุด สัตว์โลกก็เป็นไปตามกรรม เราก็หวังดีกับทุกคน แต่อย่างไรล่ะ เขาก็มีปัจจัยที่จะต้องเป็นไปตามปัจจัยนั้นๆ เพราะฉะนั้นก็มีแต่ความหวังดี อย่างการที่คนทำลายพระวินัยเพราะไม่รู้ ด้วยความหวังดี ผู้ที่รู้ที่เข้าใจก็กล่าวเพื่อเขาจะไม่ต้องรับโทษอย่างหนัก ที่เขาได้ทำผิดในการที่ ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยถ้าเป็นภิกษุ ถึงเป็นคฤหัสถ์ก็ควรจะได้เข้าใจด้วย ว่าเราจะได้พ้นโทษจากการไปส่งเสริมให้คนกระทำผิดซึ่งเป็นโทษกับเขา เท่ากับเราช่วยผลักเขาไปลงนรกบ้าง ทำสิ่งที่ผิดบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่าเหตุกับผล แต่ทั้งหมดปัจจัยกว้างขวาง เพราะเหตุทุกอย่างเป็นปัจจัย แต่สภาพธรรมที่เป็นเหตุปัจจัย สภาพตัวเหตุแท้ๆ มีอยู่ ๖ โลภะ โทสะ โมหะ มีไหม นั่นแหละตัวเหตุ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าตัวเหตุนี้ยังอยู่ อโลภะตรงกันข้ามเลย เป็นฝ่ายดีไม่ติดข้อง สามารถที่จะสละได้เพื่อคนอื่น เพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่น เวลาที่เราช่วยใคร ให้ใคร ต้องการให้เขาพ้นจากทุกข์ใช่ไหม เพื่อประโยชน์เพื่อสุขกับเขา แต่ความจริงถ้ามีปัญญาจะรู้ได้เลย ขณะนั้นช่วยตัวเองให้พ้นจากทุกข์ของกิเลส เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งอาศัยพระธรรม ที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัด เข้าใจถูกต้อง อโลภะ อโทสะไม่โกรธ ดีกว่าโกรธไหม แค่คำเดียว จากโกรธเป็นเรื่องใหญ่ได้ ภาพเว้นไม่กล่าวคำนั้นเพียงคำเดียว เรื่องใหญ่นั้นไม่มี โทษมหาศาลนั้นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ พระมหากรุณาจริงๆ ที่ทำให้ชีวิตทั้งหมดเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ถูกต้อง ละกิเลส จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ด้วยปัญญา อโมหะ ไม่หลง มัวเมา มืดมน ที่ไม่รู้อะไรเลยตั้งแต่เกิดจนตายเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะนำไปสู่ที่สุดของการดับกิเลส คือดับทุกข์ ไม่มีอีกเลย เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ว่าด้วยเรา แต่เหตุปัจจัย
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ คำที่บอกว่าเราทำดีกับทำไม่ดี จริงๆ คือ สิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ สิ่งที่เกิดแล้วดับ มีอย่างเดียวหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ มีกี่อย่าง เยอะแยะนับประมาณไม่ได้เลย ที่ดีมีไหม การช่วยเหลือคนอื่น ความเป็นเพื่อนหวังดีมีไหม ชีวิตจริงๆ ทำไมต้องไปเลือกหาที่ไหนเลย ชีวิตประจำวันจริงๆ มีไหม เคยช่วยใครไหม
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ ช่วยมีใช่ไหม แสดงว่าเราเห็นว่าเขาเป็นทุกข์ใช่ไหม ถ้าเขาไม่เป็นทุกข์เราจะช่วยหรือ เขาอาจจะลำบากเราเลยช่วย ช่วยเขาหิ้วของยกของก็ได้ การช่วยเขาล้างจาน ช่วยบอกทางเขาก็ได้ไปทางไหน ใช่ไหม เขาไปไม่ถูกเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เคยช่วยไหม
ผู้ฟัง เคย
ท่านอาจารย์ ดีไหม
ผู้ฟัง ดี
ท่านอาจารย์ ฆ่าสัตว์ เจ็บไหม สัตว์เจ็บไหม เจ็บนะ ตีแมวอย่างนี้ แมวเจ็บไหม ดีไหม
ผู้ฟัง ถ้าเจ็บก็ไม่ดี
ท่านอาจารย์ ทำให้เขาเจ็บดีไหม
ผู้ฟัง อย่างนั้นก็ไม่ดี
ท่านอาจารย์ ทำให้คนอื่นเดือดร้อนดีไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่ดี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ดีมีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่เราไปเรียกว่าไม่ดี แต่ความคิดไม่ดี โกงเขาดีไหม
ผู้ฟัง ไม่ดี
ท่านอาจารย์ แต่ดีมี ชั่วมี ต่างกันไหม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140