ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089


    ตอนที่ ๑๐๘๙

    สนทนาธรรม ที่ วิลล่า วิลล่า พัทยา รีสอร์ท จ.ชลบุรี

    วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    อ.ณภัทร เด็กแรกเกิดมีเจตสิกมาได้อย่างไร เพราะว่าจิตเป็นเพียงสภาพรู้ เวลาจิตเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเจตสิกก็มีทั้งที่เป็นโสภณ แล้วก็เป็นอกุศลเจตสิก การที่เด็กเกิดมาแล้วยังไม่รู้อะไรเลย แต่ทำไมมีเจตสิกพวกนี้ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ คือการฟังธรรม ไม่มีเด็กแรกเกิด แต่ว่าเป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป ซึ่งเวลานี้มีจิตแน่นอนแต่ลักษณะของจิตไม่เปิดเผย กำลังเห็น กำลังคิด ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราต้องทราบก่อน คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าธรรมทั้งหลาย ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมที่มีจริงเรายังไม่รู้เลยเพราะว่าเราเกิดมาก็ถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงว่าธรรมที่มีจริงมี ๔ คือจิตหนึ่ง เจตสิกหนึ่ง รูปหนึ่ง และนิพพานหนึ่ง นิพพานยังไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มี แต่เดี๋ยวนี้มีรูป รูปหมายความถึงสิ่งที่มี แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ อย่างแข็ง ใครจะไปทุบตี ไปฟัน ไปเลื่อยแข็ง แข็งก็ไม่มีความรู้สึกเลย

    เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีเราต้องยอมรับว่ามี เกิดมาก็มีสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ถึงมองไม่เห็นก็เป็นรูปธรรมเพราะไม่รู้ เช่น เสียง เสียงก็ไม่รู้อะไรแต่เสียงมี เดี๋ยวนี้เสียงเกิดแล้ว ถ้าสมมติว่าไม่มีอะไรเลยในโลก ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น โลกมีไหม ไม่มี นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเป็นมรดกล้ำค่าที่เราได้รับจากผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาที่จะรู้ความจริงแล้วมีความกรุณาให้เราได้รู้ด้วย เพราะไม่มีทางที่ใครจะรู้ได้เลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรมหลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้ว

    เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระพุทธเจ้าเป็นคำที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน และเป็นคำซึ่งให้ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้องของคนที่ฟัง ประโยชน์มหาศาลอยู่ตรงนี้ เราต้องยอมรับว่าถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราจะไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เพราะได้ยินแต่ละคำเราเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใครกว่าจะรู้ความจริงแต่ละคำซึ่งตรัสให้เราได้เข้าใจก็ต้องห่างกันมาก เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องเข้าใจ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้เราก็งงแล้ว อะไรมีจริง ทั้งๆ ที่มีธรรมตลอดวันตลอดเวลา ทุกหนทุกแห่งเป็นธรรมหมด เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏว่ามีจริงนั่นเป็นธรรม เราต้องศึกษาธรรมทีละคำ เป็นขั้นๆ

    เพราะฉะนั้น ธรรมเกิดเองไม่ได้สักอย่างเดียว แต่เพราะไม่รู้ว่าอาศัยอะไรจึงเกิดขึ้น เราก็คิดว่าเป็นเรา อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีตา ไม่มีจักขุปสาทรูปจะเห็นได้ไหม รูปคือสิ่งที่ไม่รู้อะไร แต่รูปนี้สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่กระทบเสียง ไม่กระทบกลิ่น เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งที่ปรากฏที่เป็นรูปธรรมกระทบกับรูปธรรม เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้น ใครไปบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะธาตุนี้มี เหมือนเย็นมี ใครจะไปบอกว่าอย่าเย็นก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้มี ใครจะบอกว่าอย่าเกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้ว โดยฐานะที่เราไม่รู้เลยว่าธาตุรู้เกิดเพราะอะไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกคำเปลี่ยนไม่ได้เลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้นต้องอาศัยปัจจัย คือสิ่งที่เกื้อกูลอุปการะสนับสนุนทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น เรารู้แค่ธาตุรู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าแม้ธาตุรู้ก็เกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยสภาพธรรมที่ปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น รูปธรรมเป็นรูปธรรม แยกขาดจากกันเลยเพราะไม่ใช่สภาพรู้ แต่ไม่มีสภาพรู้โลกก็ไม่ปรากฏ เห็นขณะนี้ก็ไม่มี ได้ยินก็ไม่มี โลกใดใดก็ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นโลกปรากฏเมื่อมีสภาพรู้เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น อาศัยกันและกัน เพราะฉะนั้นธาตุรู้ซึ่งเป็นขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ต้องเกิดพร้อมกับสิ่งที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าขณะนี้ เห็นมี พอพูดถึงเห็นทุกคนไม่สงสัย เพราะธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ต้องอธิบายเลยสักคำ ธาตุรู้ รู้หมดใช่ไหม ทางหูก็ไม่ต้องอธิบายเวลาที่เสียงปรากฏ แต่ละหนึ่งเสียงหลากหลาย เพราะธาตุรู้แต่ละหนึ่งขณะเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น ซึ่งธาตุรู้ต้องมีสภาพนามธาตุที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นตำราส่วนใหญ่ หนังสือทุกเล่มจะไม่พูดถึงเจตสิก นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีธาตุรู้ที่อาศัยปรุงแต่งให้จิตเกิด แต่ว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในฐานะที่แม้ว่าเกิดร่วมกัน แล้วต่อไปเราก็จะรู้ว่าเจตสิกได้แก่อะไรบ้าง เช่นความรู้สึกดีใจ ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นเห็น หรือได้ยิน เราจะดีใจไหม

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มีเจตสิกที่ปรุงแต่งให้จิตนั้นเกิดขึ้น จิตก็อาศัยเจตสิก เจตสิกก็อาศัยจิต เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน เราไม่ต้องไปคิดว่าแล้วเจตสิกเข้ามาเมื่อไหร่ อย่างไร นั่นคือพอได้ยินคำหนึ่งเราก็เติม แล้วก็แต่ง แล้วก็ต่อ แต่ว่าผิด แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนำมาซึ่งความเข้าใจที่เข้าใจขึ้น แล้วค่อยๆ พิจารณาว่าจริงไหม เพราะเหตุว่าพอใช้คำว่าธาตุรู้ ต้องไม่มีรูปใดใดเจือปนเลยทั้งสิ้น ล้วนๆ เลย แยกออกจากกัน แยกขาดเลย ธาตุรู้จะมีรูปหนึ่งรูปใดไม่ได้ และรูปก็จะไปเป็นสภาพรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ก็มีรูปธรรม สภาพที่มีจริงเกิดขึ้น อาศัยเหตุปัจจัยทั้งนั้น ต้องไม่ลืมแต่ละคำ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ปรุงแต่งให้เกิด ฟังธรรมแล้วลืมคำแรกไม่ได้ เพราะว่าจะสอดคล้องกับคำต่อๆ ไปที่จะทำให้เราเข้าใจขึ้น ถ้าเราลืมก็คือว่าเราต้องกลับมาคิดตั้งต้นใหม่ ว่าที่เราเคยฟัง ฟังว่าอะไรบ้าง หนึ่ง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าอะไรๆ ไม่เกิดก็ไม่มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งแยกขาดเป็นสองอย่าง คือรูปธรรม มีจริงแต่ไม่รู้อะไร เสียง กลิ่น รส เย็นร้อนอ่อนแข็ง พวกนี้เป็นรูปธรรม วันนี้เราก็พิสูจน์ได้ว่ารูปธรรมมีจริง ในขณะที่เห็นก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าหลับตาก็หายไปหมดเลย คนก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตา และต้องเป็นสิ่งเดี่ยวๆ ซึ่งไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เพราะเหตุว่าเมื่อหลับตาไม่มี เพราะฉะนั้นคนจะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ได้ แต่เป็นความจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ใครก็ไม่รู้ว่าเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้จนปรากฏเป็นแต่ละหนึ่ง ก็ต้องมีสิ่งทื่เป็นปัจจัยปรุงแต่ง ทุกอย่างทั้งหมดมีปัจจัยปรุงแต่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เวลาปรากฏก็มีธาตุรู้ซึ่งกำลังเห็น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ได้พร้อมกันเลย เพราะฉะนั้นเร็วแค่ไหนกว่าจะเป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ จึงประมาณปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย ทรงตรัสรู้สิ่งซึ่งใครก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เกิดขึ้นหนึ่ง มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท ความรู้สึกเป็นหนึ่ง ภาษาบาลีใช้คำว่าเวทนา (เว-ทะ-นา) คนไทยชอบพูดว่าเวทนา (เวด-ทะ-นา) ก็กลายเป็นสงสารเหลือเกิน น่าเวทนา แต่ความเข้าใจของเราไม่ได้เข้าใจตามคำในภาษาบาลี ภาษาบาลีเวทนาแปลว่าความรู้สึกเท่านั้น ดีใจก็ได้ เสียใจก็ได้ สุขทางกายก็ได้ ทุกข์ทางกายก็ได้ เฉยๆ ก็ได้ มีเราตรงไหน แยกออกมาแล้วทั้งหมดก็เป็นธรรม ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นสภาพที่อาศัยปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ การเกิดดับไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเห็นปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งอย่างนี้จะกล่าวคำเหล่านี้ได้อย่างไร ซึ่งคนฟังสามารถอบรมเจริญปัญญาจนรู้อย่างที่พระองค์ตรัสรู้ คืออริยสัจจธรรม ๔ ความจริงซึ่งทำให้บุคคลนั้นเป็นพระอริยะ ผู้อบรมปัญญาเจริญถึงขั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีได้ แต่หนทางนี้เป็นหนทางที่ยาวมาก ถ้าขาดการฟังก็ผิดหมด ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ซึ่งอาศัยนามธรรม ซึ่งทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท เกิดกับจิตแต่ละหนึ่งขณะ เเล้วเเต่ว่าจิตนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ จิตนั้นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ ทำให้สภาพรู้หลากหลายต่างกันไปเป็นประเภทถึง ๘๙ ประเภท ทั้งๆ ที่มีเจตสิก ๕๒ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราไปคิดว่าเจตสิกของเด็กเเรกเกิดมาแต่ไหน นั่นคือเราไม่ได้ฟังธรรมตามลำดับ เเต่ถ้าฟังตามลำดับคือเราไม่ได้พูดถึงคนเลย แต่พูดถึงธาตุรู้ซึ่งเพียงหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากน้อยต่างกัน และเกิดดับแล้ว ถ้าไม่มีธาตุรู้จะมีคน มีสัตว์ มีนก มีปู มีปลาไหม ไม่มีใช่ไหม และรูปธาตุที่เกิด เกิดจากกรรมก็มี เกิดจากจิตก็มี เกิดจากอุตุความเย็นความร้อน เช่น ต้นไม้ใบหญ้า ก็มี เกิดจากอาหารที่เรารับประทานเมื่อสักครู่ เราไม่รับประทานได้ไหม รูปที่เกิดจากกรรมเกิดทุกอนุขณะของจิต จิตหนึ่งขณะจะแยกออกเป็นขณะย่อย ลองคิดดูว่าจิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า แม้จิตหนึ่งขณะก็ต่างกัน เป็นขณะเกิดไม่ใช่ขณะดับ ขณะที่ยังไม่ดับ ขณะที่ตั้งอยู่ ก็ยังไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะดับ ด้วยเหตุนี้จิตหนึ่งขณะจึงมีอนุขณะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้แยก ไม่ได้แตก ไม่ได้เป็นรูปอะไรเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ แต่ละคำ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะมีภิกษุไหม จะมีได้อย่างไรแต่เพราะเหตุว่าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเห็นความลึกซึ้งของธรรม แล้วรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนไม่มีใครรู้ว่าจะสั้นแค่ไหนจะยาวแค่ไหน เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่สุดในชีวิตทั้งหมด ก็คือการได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่ใช่ว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นบ่อยๆ ตามโรงเรียนต่างๆ ให้เรารู้ว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย นานแสนนานกว่าคุณความดีที่มีอยู่ในจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้กุศลเกิดขึ้นพอที่อกุศลจะน้อยลง น้อยลง น้อยลง จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นคุณความดีประกอบด้วยปัญญาที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดที่จะใช้คำว่า พระรัตนตรัย ๓ รัตนะ รัตนะที่หนึ่งคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารัตนะอื่นมีไม่ได้ เพราะฉะนั้นบุคคลผู้นี้ ใครก็ประมาณไม่ได้ในปัญญาของพระองค์ จนกว่าจะได้ฟังคำ แต่ละคำ แต่ละคำ ทำให้เห็นเงาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใกล้เรื่อยๆ เห็นความลึกซึ้งเท่าไหร่ ขนาดคนที่ยังไม่เป็นอริยบุคคลแต่ว่าฟังธรรม ก็เริ่มรู้ว่าคำเหล่านี้ไม่มีใครสามารถที่จะแสดงได้นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่ายิ่งเข้าใจเท่าไหร่ ธรรมยิ่งลึกซึ้งเท่านั้น นั่นแหละได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำเราต้องฟังโดยความไม่ประมาทว่าเราเป็นใคร ปัญญาแค่ไหน ยังไม่รู้เลยว่าปัญญาคืออะไร ถ้าไม่ได้ฟังเข้าใจ ไม่ใช่ปัญญาเลย ใครจะไปเรียนจบมหาวิทยาลัย มีอะไรต่างๆ สารพัดอย่าง นั่นก็ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาต้องเป็นความเห็นที่ถูก ถูกอย่างไร เป็นปัญญาที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย จะไปคิดเอาเองว่านั่นเป็นปัญญา นี่เป็นปัญญา แล้วสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้คืออะไร ถ้ารู้ตรงตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงเมื่อไหร่ ขณะนั้นเป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นความเห็นที่ถูกต้อง ต้องเริ่มจากคำแรก ธรรม ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหมด ธรรมทั้งปวง สัพเพธัมมา ไม่เว้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลาย อะ ไม่ใช่อัตตาคือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งพิจารณาว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่เพราะความไม่รู้ที่ปิดกั้นทำให้คิดว่าสิ่งที่มีเป็นเราและก็เป็นของเรา ซึ่งความจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างหนึ่ง เสียง กลิ่น รส พวกนี้ไม่รู้อะไรเลย และสภาพรู้ มีธาตุที่รู้ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ อย่างโต๊ะไม่รู้หรอกว่าห้องนี้มีอะไรบ้าง แต่ธาตุรู้เห็น เห็นแจ้งด้วยไม่ใช่เพียงแต่คิดหรือเดา แต่เห็นจริงๆ คือสภาพของจิตที่เกิดขึ้นทำทัสสนกิจ จิตที่เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้มีการงานหน้าที่ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เราทำอะไรเลย แต่คือจิตทั้งหมดที่เกิดพร้อมกับเจตสิก เพราะจิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ และเจตสิกจะเกิดโดยไม่มีจิตก็ไม่ได้ เพราะว่าธรรมใดที่เกิดขึ้น ธรรมนั้นต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น ฟังแต่ละคำเพื่อจะค่อยๆ รู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งมีความมั่นคงนั่นคือเถระ อย่างท่านพระอานนท์เถระ ท่านพระกัสสปะเถระ ท่านพระอนุรุทธเถระ ท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นคำของท่านเป็นไปตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ไม่เปลี่ยน จึงจะชื่อว่าเถรวาทะที่เราบอกว่าเถรวาท พุทธศาสนาเป็นพุทธศาสนาคือพระพุทธพจน์ แต่เถรวาทคือคำของผู้ที่ได้ฟังแล้วไม่เปลี่ยนแปลง รู้จริงรู้ตรงตามคำนั้น เราต้องศึกษาเเต่ละคำให้เข้าใจชัดเจน เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจแล้วเราคิดเอง ผิดหมดเลย ต้องรู้ว่าเราไม่รู้ และแต่ละคำที่ได้ฟังก็ไม่ใช่ฟังเผินๆ ฟังแล้วพิจารณาว่าเดี๋ยวนี้มีจิต เรากำลังพูดถึงธาตุรู้ ซึ่งมี ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ธาตุรู้คือจิต และเจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้น รู้สิ่งเดียวกัน ดับพร้อมกัน แต่ละคำเป็นคำที่เราชินหูในภาษาไทย แต่ว่าเข้าใจผิด อย่างคำว่าอารมณ์ เราเคยเข้าใจว่าวันนี้อารมณ์ดี คนนั้นอารมณ์ดี แต่ในภาษาบาลีก็คือ เมื่อจิตเป็นสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ คืออารัมมณะในภาษาบาลี หรือบางครั้งก็ใช้คำว่า อาลัมพนะ แต่คนไทยนิยมที่จะใช้คำว่าอารัมมณะ หรืออารมณ์ เดี๋ยวนี้มีอารมณ์ไหม มี ไม่มีอารมณ์ได้ไหมเมื่อมีจิต ไม่ได้ กำกับกันอยู่แล้ว มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ก็ต้องมีอารมณ์ซึ่งจิตนั้นกำลังรู้ ไม่ใช่จิตอื่นด้วย ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทำไมธรรมทั้งหลายจึงเป็นอนัตตา ก็เห็นเกิดขึ้นใครทำได้ ถ้าไม่มีจักขุปสาทรูป ไม่มีสิ่งที่กระทบตา จิตเห็นไม่มี

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้มีตาแต่ไม่มีสิ่งกระทบตา จิตเห็นก็ไม่เกิด และจิตเห็นถ้าไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นปัจจัย จิตก็เกิดไม่ได้ ทั้งหมดนี้แสดงความเป็นอนัตตาทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตา เพราะคำว่าอัตตะหรืออัตตาไม่ได้หมายเฉพาะเรา แต่หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่รวมกัน อัตตา แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งที่รวมกันนั่นก็อัตตา คือรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่าสามารถที่จะแตกย่อยสลายละเอียดยิบเป็นฝุ่นเล็กๆ เช่นที่ตัว ไหนเรา แต่เพราะรวมกันอยู่ คือรูปหลายๆ รูปมารวมกันก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นอัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตาแตกย่อยละเอียดยิบตามความเป็นจริง คือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้นทุกอย่างไม่ว่า นามธรรมหรือรูปธรรม ฟังธรรมคือเผินไม่ได้ แล้วฟังเพื่อเข้าใจจากการที่เราไม่เคยฟัง แต่ฟังแล้วคำนั้นมีจริงๆ สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นฟังธรรมก็คือฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีอยู่รอบตัว ที่ตัว ที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น ทั้งหมดไม่เว้นเลย ตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยรู้

    อ.ณภัทร เท่าที่ได้ฟังท่านอาจารย์ ธรรมของพระพุทธเจ้ายิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าทุกอย่างสอดคล้องกัน เช่น สัญญาที่เป็นวิปลาสคือมีความจำคลาดเคลื่อนที่ผิดไปจากความเป็นจริง เช่น เห็นทุกอย่างว่าเป็นอัตตา เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นว่าเป็นตัวตน ก็เป็นอกุศลสัญญาที่เกิดขึ้นที่ผิดไปจากความเป็นจริง เพราะฉะนั้นถ้าค่อยๆ เข้าใจในแต่ละคำของพระพุทธเจ้าว่า ทุกอย่างก็เป็นแต่ละหนึ่งเป็นแต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็จะค่อยๆ เป็นเครื่องที่จะระลึกให้เห็นได้ว่า ทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นเพียงสี ไม่ว่าจะเป็นเพียงกลิ่น หรือรส ตามกำลังความเข้าใจของแต่ละบุคคล

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าธรรมเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้เลย ได้ยินคำไหนต้องรู้ว่าคืออะไร ถ้ายังไม่รู้ว่าคืออะไร เราก็หลงคิดเองต่อเติมไปหมด ต้องตามลำดับทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ แต่ละคำต้องรู้ ตอนนี้เราพูดเรื่องจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน กำลังมีเสียงปรากฏ ขณะที่กำลังมีเสียงปรากฏใครคิดบ้างว่าเพราะจิตเกิดขึ้นได้ยิน ลืมเลย กำลังเห็น ใครรู้บ้างเพราะจิตเกิดขึ้นรู้ คือเห็น เราลืมจิตซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้งใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราก็ค่อยๆ ฟังว่า จิตมี เจตสิกมี รูปมี เป็นธรรมซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ จึงใช้คำว่าปรมัตถธรรม ปรมะคือใหญ่ ใหญ่กว่าใครหมดเลย ไม่มีใครจะใหญ่เท่าปรมัตถธรรม ใครก็เปลี่ยนลักษณะของธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมไม่ได้ รู้หรือไม่รู้ ธรรมนั้นก็ต้องเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ธรรมที่มีจริงทั้งหมดมีลักษณะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ให้รู้ว่ามีจริงๆ เราไม่ได้พูดอย่างเลื่อนลอยว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงต้องมีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งว่ามีจริงๆ เพราะปรากฏจริงๆ ให้รู้ได้ อย่างเสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เพราะมีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ ไม่ต้องเรียกเสียงก็ได้ แต่ถ้าไม่เรียกใครจะรู้ว่าพูดถึงอะไร ด้วยเหตุนี้ ขณะที่พระสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้ไม่มีคำพูด แต่สภาพธรรมทั้งหมดทรงประจักษ์แจ้งด้วยพระญาณที่เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น นอกจากจะรู้ความจริงซึ่งเป็นสัจจธรรมซึ่งเกิดดับ พระองค์ยังประกอบด้วยพระทศพลญาณ เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ๑๐ ญาณไม่ต้องพูด เพียงแค่หนึ่งเดี๋ยวนี้เราก็แย่แล้วเพราะไม่รู้ว่าอะไร แต่ ๑๐ นั่นก็คือว่าไม่มีใครสามารถที่จะสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ถึงพระคุณนั้น ด้วยเหตุนี้เราศึกษาธรรมทีละคำแต่ตามลำดับ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรมก็ต้องมี ๔ คือมีจิต แล้วจิตก็ต้องเกิดพร้อมเจตสิกใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น มีจิตหนึ่ง เจตสิกทั้งหมด ๕๒ ประเภท และรูป ซึ่งคนที่ศึกษาแล้วก็บอกได้ว่าเท่าไหร่ แต่ไม่จำเป็น เราค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจไป แล้วก็นิพพาน ความจริงไม่ว่าอะไรทั้งหมดต้องมารวมว่าถ้ารู้จริงๆ ต้องรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร อย่างบอกว่าแว่นตา ความจริงคือแข็งเมื่อกระทบสัมผัส และสีสันวัณณะ รูปร่างสัณฐานเมื่อเห็น และที่กระทบสัมผัส บางทีแข็ง บางทีอ่อน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    31 มี.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ