พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 681


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๘๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ จะเห็นความจริงว่าธรรม ให้เราเข้าใจสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้ไม่เห็นมด ใช่ไหม เพราะมารู้ภายหลังว่ามดตาย เพราะฉะนั้นในขณะนั้นไม่มีเจตนาที่จะฆ่า

    อ.กุลวิไล พอเราศึกษาพระอภิธรรมเราจะรู้ว่าเจตนาก็คือ สภาพธรรมที่เป็นเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง เพราะฉะนั้นการที่เราใช้ภาษาที่พูดว่า “ไม่มีเจตนา” แต่จริงๆ แล้วเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง แล้วเจตนาเจตสิกก็มีถึง ๔ ชาติคือเป็นกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ เป็นวิบากที่เป็นผลของกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม และกิริยาที่ไม่ใช่ทั้งผล และเหตุที่จะให้เกิดผล เพราะฉะนั้นการที่จะกล่าวว่าไม่มีเจตนา แต่โดยสภาพธรรมแล้วเจตนาก็เกิดกับจิตทุกประเภท

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเจตนาที่พอจะเข้าใจได้คือกุศลเจตนา หรืออกุศลเจตนา เรายังไม่ได้ศึกษาธรรมจึงไม่รู้ว่าความจริงความละเอียดของธรรมที่ทรงแสดงตามความเป็นจริงหลากหลายมาก แต่ว่า ก่อนศึกษามีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าการกระทำ หรือวาจาประการใดดี หรือไม่ดี ก็พอจะรู้ ใช่ไหม อย่างคนนี้ก็เดือดร้อนแล้วมดตาย ก็แสดงให้เห็นว่าการที่ทำให้มดตายต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นก็พอจะรู้เท่าที่สามารถจะคิดได้ว่าการกระทำอย่างนั้นดี หรือไม่ดี จะรู้ไปถึงเจตนาที่เป็นวิบาก กิริยาเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ศึกษาแล้วก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ พอจะรู้ได้เมื่อเป็นกุศลเจตนา หรืออกุศลเจตนา อย่างเจตนาที่จะให้คนที่มาฟังธรรมได้รับประทานอาหาร ขณะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศลก็พอจะรู้ได้ แต่เจตนาที่เป็นอื่นนอกจากกุศล และอกุศลไม่สามารถที่จะรู้ได้แต่เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็สามารถทำให้มีความรู้กว้างขวาง และรู้พระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดที่จะประมาณได้ ไม่มีสาวกแม้แต่รูปเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นท่านพระสารีบุตรผู้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางปัญญาที่สามารถที่จะรู้ถึงพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทั่วถึง ทั้งนี้เพราะสาวกบกพร่องในปัญญา ไม่สามารถจะรู้ในคุณ หรือปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะรู้กำลังปัญญาของเราว่าสามารถที่จะเข้าใจอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีการฟังธรรม ก็ไม่มีใครรู้จักธรรม คิดแต่ชื่อธรรม พูดแต่เรื่องธรรม โดยความคิดโดยความคาดคะเนของตนเองซึ่งเป็นใคร และพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมโดยละเอียดจริงๆ จะทำให้มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงที่จะเข้าใจว่า ธรรมมีจริงๆ แต่ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่ใครด้วย บังคับบัญชาก็ไม่ได้ เพียงแค่นี้ไตร่ตรองได้แล้วในชีวิตประจำวัน

    ไม่ได้ตั้งใจจะเหยียบมดตาย เห็นไหม แต่บางคนก็เหยียบ ตายแล้วก็ตายเลยโดยไม่รู้ว่าเหยียบมดตายไปแล้ว แต่คนนี้ยังเหยียบมดตายแล้วมารู้ภายหลังว่าได้เหยียบมดตาย จิตขณะนั้นเป็นอะไร เศร้าหมอง หรือผ่องใส ขณะใดก็ตามที่เกิดความโทมนัส ความไม่สบายใจ ไม่ใช่สิ่งที่ดี เป็นอกุศล อย่าคิดว่าต้องร้องไห้ ต้องโศกเศร้า ต้องเสียใจ ต้องหวั่นไหว นั่นคือไม่ได้เข้าใจความจริงว่าไม่มีประโยชน์

    เพราะฉะนั้นกุศลต่างหากที่มีประโยชน์ อกุศลไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นมดตายแล้วขณะนั้นที่รู้ก็หมดไปแล้ว แล้วขณะต่อไปเป็นอะไร นี่คือประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจธรรม แล้วก็เป็นประโยชน์ที่จะทำให้เข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นในเรื่องของกุศล และอกุศล

    อ.กุลวิไล ก็เป็นคำตอบ ท่านผู้ถามที่กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้อง เพราะฉะนั้นก็คือต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั่นเอง เพราะว่าจิตขณะนั้นเป็นอย่างไร เศร้าหมอง หรือผ่องใส

    ท่านอาจารย์ คำถามนี้ ผู้ถามรู้จักธรรม หรือไม่ เพราะถามว่า “ควรจะปฏิบัติอย่างไร” จะทำแต่ว่าไม่ได้พูดถึงความเข้าใจธรรมว่าไม่มีใครทำอะไรได้ เป็นธรรมทั้งหมด แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจก็จะทำเพราะมีความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นคำถามก็ส่องไปถึงความเข้าใจว่า เมื่อฟังธรรมแล้วเข้าใจแค่ไหน เริ่มเข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่าเป็นธรรมทั้งหมดไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม แม้แต่คิดขณะนั้นก็เป็นธรรม แต่ว่าเป็นธรรมที่ไม่ถูกต้องเพราะคิดว่าจะทำ ไม่ใช่เข้าใจตามความเป็นจริง

    อ.กุลวิไล มาถึงคำถามเรื่องของอกุศลเจตนา เพราะเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวแล้วว่า โดยความเป็นอกุศลเจตนาก็มี กุศลเจตนาก็มี เพราะฉะนั้นอกุศลเจตนาที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดการฆ่าแล้วให้ผลในอบายภูมิ หรือว่าให้ผลจากหลังปฏิสนธิแล้วจะเป็นอย่างไร ขอเชิญคุณธิดารัตน์

    อ.ธิดารัตน์ การฆ่าก็มีองค์คือว่าจะต้องรู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต มีเจตนาฆ่า มีความพยายาม และสัตว์นั้นตายด้วยความพยายามนั้น เรียกว่าสำเร็จเป็นกรรมสามารถที่จะให้ผลได้ในอนาคต แต่ที่ใช้คำว่าไม่มีเจตนา หมายถึงว่าขณะที่เดินไปเราก็ไม่ได้เห็นมด ไม่ได้รู้ว่าจะมีสัตว์มีชีวิต และก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเหยียบให้ตาย หรืออะไรอย่างนี้ ก็คือจิตทุกขณะมีเจตนาแน่นอน แต่ไม่มีเจตนาที่จะเกี่ยวกับที่จะฆ่ามด ตรงนี้ก็เป็นเจตนาที่เกิดกับจิตประเภทอื่นไป

    เพราะฉะนั้นเวลาที่ท่านแสดงองค์ หรือว่าจะเป็นกรรมที่ท่านมุ่งหมายเจตนาก็คือเจตนาที่ต้องการจะเป็นไปในการฆ่าสัตว์ หรือว่าเจตนาลักทรัพย์ หรือว่าเจตนาที่เป็นไปในอกุศลเจตนาอะไรประเภทต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เกิดมาคนเดียว ลืม หรือยัง เวลานี้มีเพื่อนมาก มีคนโน้นคนนี้ที่เรารู้จักไหม แต่ลืมสัจจะความจริง เราคืออะไร จิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สืบต่อทีละ ๑ ขณะ สั้นแสนสั้น เพราะฉะนั้นในขณะที่เห็นเป็น ๑ ขณะ ยังไม่มีความคิดร้าย หรือดีใดๆ ทั้งสิ้น แล้วก็เมื่อจิตเห็นนี้ดับไป ใครจะยับยั้งไม่ให้จิตขณะต่อไปเกิด เป็นไปไม่ได้

    การที่จะรู้เรื่องกรรม และผลของกรรม ก็คือต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ เพียงเห็นเป็นคนนั้นคนนี้ หรือไม่ แค่เห็นมีสิ่งที่ปรากฏ แต่หลังเห็นแล้วใครยับยั้งความคิดได้ เมื่อคิดว่ามีสัตว์บุคคล ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง เริ่มเจตนาแล้วใช่ไหม จะเบียดเบียน หรือว่าจะอุปการะ หรือจะช่วยเหลือกัน นี่ก็เพราะ ๑ ขณะจิตที่เกิดขึ้นตามการสะสมสืบต่อปรุงแต่งให้ความคิดของแต่ละคนหลากหลายมาก เป็นคนที่รักบ้าง เป็นคนที่ชังบ้าง เป็นการคิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง คนอื่นมีไหมขณะนั้น

    จิตเกิดขึ้นคิดเรื่องต่างๆ คนอื่นมีไหมในขณะที่จิต ๑ ขณะเกิดขึ้นคิด คิดนี่ได้หลายเรื่อง คิดถึงคนหนึ่งก็ได้ สองคนก็ได้ ร้อยคนก็ได้ ทั้งประเทศก็ได้ แต่นั่นคือคิด รู้ หรือไม่ว่าทั้งประเทศก็เพียงชั่วขณะที่จิตคิดแล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจความจริงอย่างนี้เมื่อมีการคิดประทุษร้าย หรือเบียดเบียนใคร มีใครจริงๆ ให้เบียดเบียน หรือว่าขณะนั้นเป็นอกุศลจิต จิตที่คิดจะทำร้ายเพราะมีความคิดที่จะทำให้คนที่เราเข้าใจว่า เป็นคนที่เราไม่ชอบ ทำไม่ดี จะต้องประทุษร้ายเขาใช่ไหม แต่ความจริงคนก็ไม่มี ถ้าไม่มีจิตเห็นจะมีคนนั้นได้อย่างไร และเมื่อจิตเห็นดับแล้วถ้าไม่คิดก็จะมีคนนั้นคนนี้ได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของความคิดของตัวเองตลอด ตั้งแต่เกิดจนตาย ต้องเห็น วิญญาณจริยา คือเกิดมาแล้วที่จะไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นความประพฤติเป็นไปของจิต จริยาความประพฤติเป็นไปของวิญญาณคือของจิต เมื่อเกิดมาแล้วต้องเห็น คิดถึงสิ่งที่เห็น เกิดมาแล้วต้องได้ยิน ก็คิดถึงสิ่งที่ได้ยิน ได้กลิ่นลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ปรุงแต่งจนกระทั่งเป็นความหลากหลายเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคนต่างๆ ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ เพราะความวิจิตรของแต่ละหนึ่งจิตซึ่งเกิดมาแล้วก็คิดปรุงแต่งไปต่างๆ

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ จิต ๑ ขณะ สร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ ให้เป็นอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่มีความคิดความเข้าใจว่ามีคนอื่นเพราะเห็น หรือเพราะได้ยิน หรือเพราะจำ แต่ใคร ขณะที่เห็น จิตเห็นเกิดแล้วดับ และจิตคิดก็เกิดสืบต่อ ไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยเหตุนี้เกิดความคิดประทุษร้ายคนอื่นในความคิดนี้เมื่อไร ขณะนั้นสภาพธรรมที่ไม่ดีเป็นอกุศลเบียดเบียนชีวิตของคนอื่น เกิดแล้วดับไปแล้ว ที่ใช้คำว่า “กรรม” เพราะเหตุว่าเป็นอกุศลจิตที่เกิดแล้วดับไปก็จริง แต่สืบต่อจนกระทั่งสามารถกระทำกรรม คือการเบียดเบียน หรือการประทุษร้ายคนอื่นได้สำเร็จ แต่เป็นจิต ในขณะนั้นที่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการเกิดดับสืบต่อของจิตตามเหตุ และผล กรรมที่ได้กระทำแล้ว ความจงใจที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นสำเร็จแล้วเป็นปัจจัยให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นเกิด คนอื่นทำให้ไม่ได้ นอกจากจิตซึ่งเกิดพร้อมเจตนาเจตสิกซึ่งประทุษร้ายคนอื่นเกิดขึ้นกระทำกรรมนั้นดับไปแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นผลของกรรมเกิด จากเจตนาซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว นานแสนนานเท่าไรแต่ก็ยังสามารถที่จะทำให้เกิดผล คิอจิตที่เป็นวิบากทีใช้คำว่าผลของกรรมเกิดขึ้น ปฏิสนธิเกิดเป็นอะไร ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมไม่เป็นมนุษย์ ไม่เป็นเทพ ไม่เป็นพรหม แต่เกิดเป็นสัตว์ในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ใครทำ จะเกิดมนุษย์ ใครทำให้ หรือ เกิดเป็นสัตว์นี้ ใครทำให้ หรือ เกิดมาแล้วต้องเห็น ต้องได้ยินทั้งนั้น เมื่อมีจิต จะไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินไม่ได้ แต่เห็นสิ่งที่ดีบ้างไม่ดีบ้างตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีความจงใจตั้งใจที่จะให้คนอื่นสิ้นชีวิต ผลก็คือตนเอง เป็นผู้ที่อายุสั้นบ้าง หรือว่าแล้วแต่ระหว่างนั้นที่เป็นผลของกรรมนั้น กรรมหนักกรรมเบาจะให้ผลทางไหน ถึงแม้ไม่ทำให้อายุสั้นเบียดเบียนร่างกายได้ไหม เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ร้ายแรงก็ได้ รักษาไม่หายก็ได้ ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของผลของเจตนาที่ต้องการจะเบียดเบียนที่เราคิดว่าเป็นคนอื่น ความจริงความคิดต่างหากที่ทำให้เข้าใจว่ามีคนอื่น เพราะฉะนั้นอกุศลเจตนาก็เป็นปัจจัยให้จิตที่เกิดเพราะผลของกรรมนั้นเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่น ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ตามผลของกรรม

    ถ้าต้องการให้คนอื่นตาบอด จะเป็นนก จะเป็นปลา หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เจตนามีไม่ต้องการให้มีตา ผลก็คือว่ากรรมทำให้เมื่อผลเกิดขึ้นคือไม่มีตา ไม่ต้องมีใครมาทำร้าย อกุศลเจตนาที่ตั้งใจไว้ จงใจไว้ไม่ได้ให้ผลกับคนอื่น เพราะคนอื่นเป็นแต่เพียงความคิดว่าเป็นคนอื่น แต่อกุศลเจตนานั้นเกิดแล้ว ทำให้คนนั้นตาบอดตั้งแต่กำเนิดก็ได้ ตั้งแต่กำเนิดหมายความว่าเมื่อถึงวาระที่กรรมจะทำให้จักขุประสาทเกิด ไม่ได้ทำให้จักขุประสาทเกิด เพราะว่ากรรมมีกำลังที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยที่ใครก็คาดไม่ถึง

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ก็จะหมดความสงสัยในเรื่องของกรรม และผลของกรรม แต่จริงๆ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นกุศล และอกุศลในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทางเดียวจริงๆ คือสามารถจะเข้าใจสภาพของจิตเดี๋ยวนี้ ยังไม่มีใครต้องเข้าโรงพยาบาล ไอซียูใช่ไหม แล้วเดี๋ยวนี้จิตธรมดาๆ สามารถเข้าใจได้ไหม ถ้ายังไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ก็เป็นเรื่องเดา และคิดร้อยแปด ในเรื่องกุศล และอกุศลที่จะเกิด หรือที่ผ่านไปแล้ว แต่ก็คงเป็นแค่ความคิดไม่ใช่ความเข้าใจธรรมจริงๆ จนกว่าจะรู้ว่าบังคับบัญชาได้ไหม ความคิดอะไรจะเกิดขึ้นในขณะนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่ควรคำนึงถึง แล้วสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอะไรเพราะว่ายังไม่ได้เกิด ใช่ไหม แล้วยังจะเป็นผู้จัดการอะไรต่อไปอีก เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วสามารถที่จะรู้ความจริง และคำตอบในขณะที่ เดี๋ยวนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้เรายังไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นกุศล หรืออกุศล เมื่อไรเราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ นอกจากเดาไปคิดไปเทียบเคียงไปเรื่อยๆ และก็ยังคงไม่รู้

    เพราะฉะนั้นความไม่รู้ไม่ใช่ความรู้ แต่ความรู้ที่ค่อยๆ รู้ขึ้น สามารถที่จะรู้ตรงความจริงที่กำลังเป็นในขณะนั้นได้ ชัดเจนกว่าที่คนอื่นจะตอบด้วย เพราะโดยมากเราจะหาคำตอบจากคนอื่น ดับหมดแล้วโดยที่คนอื่นไม่สามารถที่จะตอบได้ ไปถามใครถ้าเขาตอบว่าเป็นอย่างนั้น เขารู้จริงๆ หรือไม่ หรือเพียงแต่เหตุกับผลที่เป็นอย่างนั้น แต่สภาพของจิตเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นเขาไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมจริงๆ ในขณะนั้นว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศล นอกจากสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นปัญญา

    ผู้ฟัง จากการที่แก้วไปอยู่ด้วยแก้วจะทราบเลยว่า ระหว่างที่ดูแลคุณย่ากับดูแลแม่ตัวเองไม่เหมือนกันแน่นอน ลักษณะของการที่เวลาดูแลคุณย่านี่เหมือนดูคนไข้ก็คือดูแลดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่ถ้าถามว่าเหมือนแม่ไหม ไม่เหมือนแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมขนาดนั้น เป็นกุศลแล้วก็ทำสิ่งที่เป็นกุศลด้วย ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ใช่กุศล เดี๋ยวนี้ที่เป็นมนุษย์เพราะอะไร เพราะจิต ถูกต้องไหม จิตหลากหลายมาก เวลาที่พูดถึงเหตุก็คือเหตุที่ดี ที่เป็นกุศลต่างๆ การละเว้นทุจริตต่างๆ การมีคุณธรรม เช่นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ ขณะนั้นเป็นเหตุ เพราะฉะนั้นผลที่ตาม หรือว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุนั้นต้องเป็นผลที่ดี

    เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่าไม่ใช่นรก ขณะนี้ไม่ใช่เปรต ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน เพราะว่ากำลังมีผลของกรรมดีที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นมนุษย์ต้องทั้งเหตุ และผล ไม่ใช่จะมีแต่ผลโดยไม่มีเหตุ หรือว่ามีแต่เหตุโดยไม่มีผล เพราะฉะนั้นในขณะนี้ผลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ ผลของกุศลกรรมทำให้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเมื่อผลของกุศลกรรมทำให้เกิดทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอย่างไร ก็เป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว เพราะว่าเห็นสิ่งที่ดี ในนรกมีสิ่งที่ดีให้เห็นไหม ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่ไม่ได้เบียดเบียนประทุษร้าย ไม่ทำให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน ขณะนั้นก็เป็นผลของกุศล ไม่ใช่นรกซึ่งเป็นผลของอกุศล แต่ว่าไม่ใช่มีแต่เฉพาะผลของชาตินี้ แต่ยังมีเหตุแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างตามกรรมที่ได้กระทำแล้วซึ่งเป็นกรรมที่ดี ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข แต่ว่าอกุศลที่ได้กระทำแล้วก็มี หรือแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้แล้วใจที่สะสมมาที่จะเป็นอกุศล แม้ว่ามีครบทุกอย่างมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีสุข แต่ใจเป็นอกุศลได้ไหม ได้

    เพราะฉะนั้นขณะที่ใจเป็นอกุศลนี้เป็นมนุษย์ หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็ต้องกล่าวทั้งที่เป็นเหตุ และที่เป็นผลด้วย ว่าขณะไหนเป็นผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วทำให้เกิดเป็นมนุษย์ และก็ได้สิ่งที่น่าพอใจ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แต่ขณะใดที่อกุศลจิตเกิดจะกล่าวว่าคนนั้นเป็นมนุษย์ไหม ถ้าสามารถที่จะเบียดเบียนประทุษร้ายคนอื่นได้ หรือว่าล่วงทุจริตกรรม

    เพราะฉะนั้นมนุษย์ต้องเว้นจากทุจริตกรรม แต่ถ้าเป็นทุจริตกรรมเมื่อไร ขณะนั้นเป็นมนุษย์ หรือไม่ ก็ไม่เป็นมนุษย์แล้ว เหมือนสัตว์เดรัจฉาน สามารถที่จะประทุษร้ายเบียดเบียนแม้สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างสัตว์ที่กินเนื้อสัตว์ก็จะมีการฆ่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ รู้จักสัตว์ที่ถูกฆ่ามาก่อน หรือไม่ แต่ตลอดเวลาเกิดเป็นสัตว์ที่จะต้องกินเนื้อก็จะมีการเบียดเบียนประทุษร้ายไม่ว่าจะเห็นสิ่งใด จะเป็นงู จะเป็นกบ จะเป็นนก ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นเพียงแต่ว่ารู้จัก หรือไม่รู้จักเป็นสัตว์ร่วมโลก หรือไม่ ก็ไม่มีความรู้ดีรู้ชั่วทั้งสิ้น ก็สามารถที่จะประทุษร้ายขณะนั้นได้ ก็ขณะนั้นเป็นมนุษย์ หรือไม่

    เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็คือกุศลจิตมีใจสูงสามารถที่จะรู้ดีรู้ชั่วเมื่อไร ก็เป็นมนุษย์เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นแม้มนุษย์เองที่เป็นมนุษย์นรก ก็มี ที่เป็นมนุษย์เปรต ก็มี ไม่อิ่ม ไม่พอ เท่าไรก็ไม่พอ หิวกระหายตลอดเวลา ขณะนั้นก็เป็นอกุศล จนกระทั่งสามารถที่จะเบียดเบียนคนอื่นได้ ด้วยเหตุนี้กุศลธรรมทำให้เป็นมนุษย์ ขณะใดที่กุศลธรรมเกิด กุศลจิตเกิดขณะนั้นก็เป็นมนุษย์ ผู้มีใจสูงสามารถที่จะรู้ดีรู้ชั่วได้ ขณะใดที่เป็นอกุศลจะกล่าวว่าเป็นมนุษย์ไหม กำลังเบียดเบียนคนอื่น มีการฆ่า มีการทำร้ายคนอื่น หรือว่าถือเอาสิ่งของที่คนอื่นไม่ได้ให้เป็นต้น อกุศลกรรมทั้งหลายเป็นมนุษย์ หรือไม่ที่สามารถจะกระทำอย่างนั้นได้

    เพราะฉะนั้นก็ต้องทั้งเหตุ และผล แล้วตอนนี้ก็รู้จักตัวเอง ใช่ไหม ไม่ต้องไปดูคนอื่น แล้วก็ไม่ต้องไปถามคนอื่น คนอื่นเขาจะบอกได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่รู้จักใจของแต่ละคน ซึ่งเกิดดับเร็วมากนอกจากตัวเอง

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์บอกว่ามนุษย์ที่มีจิตใจสูงนี่รู้ดี รู้ชั่ว หรือ

    ท่านอาจารย์ เป็นสภาพของจิตจึงเป็นจิตของมนุษย์ ไม่ใช่จิตของสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานฆ่าสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร รู้ดีรู้ชั่วอะไร หรือไม่

    ผู้ฟัง แต่เป็นความเข้าใจสภาวะนั้นได้ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ขอถามจากเมื่อวานนี้ อวิชชานี่เกิดขึ้นขณะไหน

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้รู้ไหมว่าเห็นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง จะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ทำไมคิดถึงก่อนหน้านี้ แล้วเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้กำลังมี แล้วไปคิดถึงก่อนหน้านี้

    ผู้ฟัง ขณะที่เกิดย่อมรู้ไม่ได้ เพราะอวิชชาก็เกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ ไม่รู้มีจริงๆ ไม่รู้นั้น ใช้คำว่า “อวิชชา” ในภาษาบาลี ภาษาไทยก็คือไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก


    Tag  เจตนา  กุศล  อกุศล  อภิธรรม  จิต  เจตสิก  วิบาก  กิริยา  ธรรม  พระปัญญาคุณ  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระสารีบุตร  เอตทัคคะ  ผู้เลิศในทางปัญญา  สาวก  เศร้าหมอง  ผ่องใส  โทมนัส  อกุศลเจตนา  กุศลเจตนา  อบายภูมิ  ปฏิสนธิ  กรรม  สัจจะ  ความจริง  เราคืออะไร  สัตว์  บุคคล  เบียดเบียน  อุปการะ  เห็น  ได้ยิน  ได้กลิ่น  ลิ้มรส  กระทบสัมผัส  วิญญาณจริยา  จักขุประสาท  ผลของกรรม  สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่ควรคำนึงถึง  สติสัมปชัญญะ  ปัญญา  เหตุที่ดี  ผลที่ดี  นรก  เปรต  สัตว์เดรัจฉาน  ผลของกุศลกรรม  มนุษย์  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  ทุจริตกรรม  สภาวะ  อวิชชา  
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    16 ม.ค. 2567