พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 689


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๘๙

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ ก่อนเสียงปรากฏมีเสียง หรือไม่ ไม่มี เพราะฉะนั้น เสียงปรากฏเพราะอะไร เสียงไม่เกิดขึ้นเป็นเสียงจะปรากฏว่าเป็นเสียงไม่เป็นอย่างอื่นได้ไหม แม้แต่เสียงก็เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งในบรรดาสิ่งที่มีจริงในชีวิตจริงๆ ทั้งวันตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าสิ่งที่มีจริงปรากฏเพียงชั่วคราวแล้วก็ดับไป ยังไม่ทันจะรู้ความจริงของสิ่งนั้นสักอย่าง

    คืนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงกาลที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลี่ยนกาลนั้นให้เป็นเวลาอื่นได้ไหม ไม่ได้ ต้องถึงพร้อมในกาลนั้น หลังจากปฐมยามซึ่งระลีกพระชาติในอดีตมากมายแต่ก็ไม่ได้รู้ขณะนั้นซึ่งกำลังเป็นความจริง แล้วเมื่อเห็นว่าแม้จะระลึกสักเท่าไร สังสารวัฏฏ์นี้ยาวนานมากระลึกไปก็เป็นแต่เพียงเรื่องในอดีต

    เพราะฉะนั้นคิดถึงสภาพธรรมที่กำลังมีซึ่งเป็นการเกิดดับ เพราะเหตุว่าดับแล้วก็ต้องเกิด เพราะว่าเวลานี้ทุกคนไม่รู้ขณะที่เกิดเพราะว่าหมดไปแล้ว ใช่ไหม แต่ว่าขณะที่จะตายรู้ไหม ต้องจากโลกนี้ไปต้องมีแน่ เพราะฉะนั้นเมี่อมีการเกิด ที่จะไม่ตายเป็นไปได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วตายแล้วจะไม่เกิดอีกเป็นไปได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นจะระลึกถึงสัตว์ที่กำลังจุติ ปฏิสนธิ ในขณะนั้นก็มากมาย แต่ว่าพระปัญญาคุณที่ได้ทรงสะสมพระบารมีมาแล้วในอดีต ถึงกาลที่จะเห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนั้น ลองคิดดูว่าใครจะเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญบารมี อย่างผู้ที่ได้ฟังธรรมวันนี้ก็มีศรัทธาที่จะรู้ความจริง จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ว่าสะสมมาที่จะเป็นผู้ที่ตรงต่อการที่จะเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วยการฟังแล้วก็เข้าใจ แล้วก็มีความมั่นคงว่าการรู้ความจริงก็คือเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขณะอื่นซึ่งยังไม่เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นพระบารมีทั้งหมดที่ได้ทรงบำเพ็ญมาทำให้ขณะนั้นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกเกิดขึ้นพร้อมวิตักกะคือการที่จะรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งไม่ใช่ขณะอื่น นี่คือก่อนที่จะได้ทรงตรัสรู้ก็จะต้องมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่เมื่อไม่มีใครบอก ไม่เหมือนกับผู้ที่เป็นสาวกที่ได้ฟัง แต่พระบารมีที่ได้สะสมมาแล้วทำให้ขณะนั้นมีการระลึกรู้ว่าความจริงก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏ พร้อมทั้งสัมมาสังกัปปะซึ่งเราใช้คำนี้เวลากล่าวถึงเรื่องการอบรมเจริญปัญญาความเห็นถูกจะขาดสัมมาสังกัปปะไม่ได้

    ซึ่งความจริงสัมมาสังกัปะก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงคือวิตกเจตสิก ขณะนี้ไม่มีใครรู้จักวิตกเจตสิกจริงๆ เพียงแต่ได้ยินชื่อเจตสิก ๕๒ ประเภทแล้วก็ในเจตสิก ๕๒ นั้นก็มีวิตกเจตสิกด้วย เห็นความสำคัญไหม ขณะที่เห็นขณะนี้เป็นธรรมซึ่งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเห็น ไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่มีใครไปบังคับว่าจะให้มีเจตสิกนั้น เจตสิกนี้เกิดกับจิตนั้นจิตนี้ แต่สภาพธรรมทั้งหลายต้องเป็นไปตามปัจจัย

    เมื่อถีงกาลที่มีสิ่งที่จะต้องเห็นเพราะกรรมเป็นปัจจัย เลือกเห็นได้ไหม นอนหลับอยู่อยากจะเห็นสิ่งที่สามารถจะปรากฏกับผู้ไม่หลับ แต่ขณะที่คนนอนหลับสามารถที่จะเห็นสิ่งนั้นได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ถ้าถึงวาระคือมีกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยว่าต้องเห็นสิ่งนี้ เลือกได้ไหมที่จะตื่นแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏนั้นกระทบจักขุประสาทเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็น

    สภาพธรรมที่เกิดจะต้องมีปัจจัยอื่นๆ อาศัยกัน และกันเกิด เพราะฉะนั้นขณะที่จิตเห็นเกิดก็มีนามธรรมคือเจตสิกเกิดร่วมด้วยแต่ไม่มีวิตกเจตสิก แสดงให้เห็นความหลากหลายของจิตแต่ละ ๑ ขณะอย่างละเอียดมาก แต่ทันทีที่จักขุวิญญาณดับวิตกเจตสิกเกิด นี้เป็นความสำคัญซึ่งชีวิตในวันหนึ่งๆ ก็มีเห็นบ้าง มีได้ยินบ้าง มีได้กลิ่นบ้าง มีลิ้มรสบ้าง มีรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสปรากฏบ้างเท่านั้น

    ถ้าไม่มีวิตกเจตสิกเกิดขึ้นตรึกถึงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ไม่สามารถที่จะมีการนึกถึง และรู้ความจริงในขณะที่ปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ด้วยเหตุนี้ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ฟังเพื่อเข้าใจความจริงแล้วก็สะสมความเข้าใจนี้ไปเรื่อยๆ ทุกภพชาติ และความเข้าใจนั้นก็จะทำให้มีความเข้าใจขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะเห็นว่าเป็นธรรมจริงๆ ก็ค่อยๆ ละคลายการที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    นี่คือธรรมใช่ไหม ละเอียดไหม ใครเปลี่ยนแปลงได้ไหม ไม่ได้ จริงที่สุดจึงเป็นปรมัตถ และก็เพราะละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง สิ่งที่มีจริงที่สุดซึ่งเป็นปรมัตถก็เป็นอภิธรรม เพราะเหตุว่าลึกซึ้ง ขณะจิตเดี๋ยวนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยดับไปแล้ว จิตอะไรเกิดต้องมีเจตสิกซึ่งไม่ได้เกิดกับจิตที่เห็นแต่ว่าเกิดกับจิตต่อไปซึ่งต่อไปก็จะมีการที่จะเข้าใจได้ว่าเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพียงเท่านี้จะไม่มีเรื่องไม่มีราวอะไรทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุมีเจตสิกซึ่งเกิดสืบต่อ เพิ่มขึ้นๆ เป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง ประกอบด้วยปัญญาบ้าง ไม่ประกอบด้วยปัญญาบ้าง เพราะฉะนั้นโลกแต่ละขณะนี้ก็หลากหลายไปตามความลึกซึ้งของธรรม

    อ.คำปั่น เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงเกิดมาแล้วจะไม่ให้ตายก็ไม่ได้ ก็สืบเนื่องจากพระสูตรเมื่อวานที่แสดงถึงความจริงของชีวิต ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครที่จะรอดพ้นจากความตายไปได้ ก็อยากกราบเรียนท่านอาจารย์ได้อธิบายเพิ่มเติมสำหรับธรรมเตือนใจ ๒ บทก็คือเกิดมาแล้วจะทำอะไรกับชีวิตที่น้อยๆ นี้ และไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว การเป็นคนดี และฟังพระธรรมให้เข้าใจจะไม่ดีกว่า หรือ

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดต้องมาจากความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะเหตุว่าจะไปหาความจริงไหนที่จะเข้าใจถ้าไม่ใช่ความจริงที่กำลังปรากฏ สิ่งที่ไม่ปรากฏขณะนี้คือดับไปแล้ว ซึ่งเมื่อก่อนนี้ปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วสิ่งที่ยังไม่เกิดเดี๋ยวนี้ก็กำลังปรากฏเพราะว่าขณะเมื่อก่อนนี้ก็ดับไปอีก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยังไม่เกิดอนาคตก็เป็นปัจจุบัน

    โลกก็มีเท่านี้คือมีแต่ธาตุ หรือธรรม ถ้าใช้คำว่า “ธรรม” ก็ไม่ใช่เพียงแต่เราจำคำนี้ไว้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ต้องรู้ว่าขณะนี้อะไรจริง และสิ่งที่จริงเป็นธรรมโดยที่เราเพียงจำชื่อว่าสิ่งนี้เป็นธรรม หรือว่าเข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมของสิ่งนี้จริงๆ จนกระทั่งทั้งหมดเป็นธรรม ไม่มีเรา หรือว่าไม่มีความสงสัยในธรรม

    ด้วยเหตุนี้ต้องอดทนไหมที่จะฟังจนกว่าจะเข้าใจ และก็เป็นผู้ตรงที่มั่นคงต่อความจริงด้วย ในเมื่อมีโอกาสจะได้ยินได้ฟังความจริง จะฟังไหม หรือจะไม่ฟัง ฟังแล้วเป็นประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ การที่เข้าใจความจริงไม่เสียประโยชน์เพราะเหตุว่าสามารถที่จะรู้ไม่ว่าในยามคับขันอย่างไร วิกฤตอย่างไรซึ่งแต่ละคนอาจเป็นห่วง ก่อนจะตายจะทำอย่างไรดี ก็เดี๋ยวนี้จะตายก็ได้แล้วจะทำอย่างไรตอนนี้ นอกจากฟังแล้วก็เข้าใจเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดคือผู้ที่ได้สั่งสมบุญมาแล้วแต่อดีต มีศรัทธาที่จะฟังสิ่งซึ่งมีจริงๆ ให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งไม่ง่าย เพราะว่าบางคนมีศรัทธาในเรื่องการให้ทาน ในเรื่องการวิรัตทุจริตแต่ไม่สนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็ไม่ฟัง

    เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่แต่ละคนซึ่งเป็นอนัตตาจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ ใครที่เห็นประโยชน์ว่าจะตายเมื่อไร รู้ไหม และถ้าขณะนี้ตายจะไปไหน รู้ไหม แต่ว่ามีทางที่ทุกคนจะไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าจะไปไหน นั่งกันอยู่ที่นี่หลายคน ต่างคนต่างไป

    เพราะฉะนั้นจะรู้จักกันก็อีกไม่นาน เพียงเท่าขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นไปถ้าจะไปพบสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะรู้ไหมว่านี่เคยเป็นคนที่เรารู้จักมาก่อน ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะเหตุบางคนบอกว่าพูดถึงความตายแล้วไม่สบายใจ เป็นความจริง ต้องตาย แล้วจะตายโดยไม่สบายใจกับตายเพราะรู้ว่ายังไรก็ตาย แล้วจริงๆ ตายนี้ไม่น่ากลัวเลย ตอนเกิดน่ากลัวไหม

    ปฏิสนธิจิต จิตเกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนนั่นคือเกิด ชาติก่อนคืออดีต จิตที่เกิดสืบต่อจากอดีตชาติคือปัจจุบันชาติ ความเกิดของจิตที่ทำกิจสืบต่อจากชาติก่อนเป็นบุคคลนี้ น่ากลัวไหม ถ้าจะพูดถึงกลัวตาย เกิดนี้น่ากลัวไหม คิดก็ไม่ออกใช่ไหมว่าจะกลัวดี หรือไม่กลัวดี แต่ก็คือไม่รู้ ก็ไม่รู้แล้วจะไปกลัวอะไร ใช่ไหม

    เมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้วจะไม่ให้จิตอื่นเกิดสืบต่อได้ไหม ทั้งๆ ที่จิตก็เกิดดับสืบต่อตลอดก็ไม่รู้ว่าเป็นนิยาม เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไป เมื่อนามธาตุเกิดแล้วดับไปปราดไปโดยไม่เหลือ โดยสิ้นเชิง เป็นปัจจัยให้จิต และเจตสิกเกิดสืบต่อทันที่ไม่มีระหว่างคั่น แต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมมีกิจหน้าที่การงานเฉพาะแต่ละอย่าง ไม่ใช่เกิดมาเป็นกระดาษ เกิดมาเป็นต้นไม้ หรือเกิดมาเป็นอย่างอื่น แต่ว่าเกิดเป็นธาตุรู้

    เพราะฉะนั้นธาตุรู้แต่ละขณะก็ทำกิจรู้แต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตเกิดเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นทำกิจสืบต่อจากจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ไม่มีใครเดือดร้อนใช่ไหม จิตนั้นดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อจนกระทั่งถึงขณะนี้ แต่ว่าจากปฏิสนธิจิต เมื่อปฏิสนธิจิตดับกรรมที่ทำให้เป็นบุคคลนี้ ตอนนั้นยังไม่รู้ใช่ไหมจะเป็นใครรูปร่างหน้าตาอย่างไร พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูงมิตรสหาย ลาภ ยศ สักการะ เสื่อมลาภ เสื่อมยศที่จะเกิดขึ้นในชาตินั้นไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่ต้องเกิดเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    แต่ขณะแรกที่ปฏิสนธิเกิดแล้วดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ไม่ได้ทำกิจสืบต่อจากชาติก่อน เพราะฉะนั้นไม่ได้ทำปฏิสนธิจิตแต่ทำภวังคกิจดำรงภพชาติ เปลี่ยนไม่ได้เกิดมาอย่างนี้เพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว “อายูหนา” คือประมวลมาซึ่งกรรมที่จะให้ผลในชาตินี้ซึ่งจะต้องเป็นไปเมื่อถึงเวลาของแต่ละอย่าง แต่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าจะถึงเวลาของเห็น ถึงเวลาของได้ยิน ถึงเวลาของโรคภัยไข้เจ็บ หรือว่าถึงเวลาของอะไร

    แต่ปฏิสนธิจิตก็ประมวลมา ซึ่งดับไปแล้วก็จริงแต่เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปดำรงภพชาติเป็นบุคคลนั้นทำภวังคกิจ น่ากลัวไหม คำถามนี้มาอีกแล้วเพราะว่าเวลาพูดถึงความตายกลัว แต่เวลาพูดถึงเกิดน่ากลัว หรือไม่ แล้วกลัวไหม ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่กลัวเพราะไม่รู้อะไร แล้วก็ปฏิสนธิจิตเกิดจากกรรมใด ภวังคจิตก็เกิดจากกรรมนั้นที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด

    เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำแล้วไม่ได้ให้ผลเพียงขณะเดียว แต่ให้ผลทุกขณะที่ดำรงภพชาติ เพราะกรรมนั้นยังไม่ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น จนถึงกาลที่จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ใครก็ช่วยไม่ได้ ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลทำให้จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้เกิดแล้วดับ พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ซึ่งจะไม่เป็นบุคคลนี้อีกในสังสารวัฏฏ์ แล้วกลัวจุติจิตไหมในเมื่อขณะนั้นก็เหมือนปฏิสนธิจิตคือไม่รู้ โลกนี้ไม่ปรากฏ

    ภวังค์จิตก็คือหลับสนิท ที่พอจะรู้ได้ แต่แม้ขณะนี้ก็มีภวังค์แต่ว่าไม่ปรากฏเหมือนขณะที่กำลังหลับสนิท เพราะฉะนั้นกำลังหลับสนิทก็ไม่เห็นรู้อะไร จะกลัวอะไร ก็ไม่กลัว เพราะฉะนั้นจุติจิตเกิดเป็นวิบากจิตเป็นผลของกรรมที่ทำให้จิตนี้ต้องเกิดขึ้นซึ่งทำให้สิ้นสุดความเป็นสภาพของบุคคลนี้ กลัวอะไร ไม่น่ากลัว ธรรมดาเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้จิตก็เกิดแล้วก็ดับไปแล้วขณะต่อไปก็เกิดสืบต่อแล้วก็ดับไป เพียงแต่ว่าจิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เฉพาะแต่ละอย่างเท่านั้นเอง

    อ.คำปั่น จริงๆ ชีวิตในภพนี้ชาตินี้ก็เริ่มจากปฏิสนธิจิตแล้วก็สืบต่อไปเรื่อยๆ และก็จะสิ้นสุดที่จิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้คือจุติจิต เป็นชีวิตในแต่ละภพแต่ละชาติ ซึ่งเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการได้ฟังพระธรรมว่าไม่มีความเสียหาย ไม่มีการเสียประโยชน์ เพราะการได้ฟังพระธรรมนั้นนำมาซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้อง

    จะเห็นได้ว่าพระอริยสาวกในอดีตล้วนเป็นผู้ได้ฟังพระธรรมได้ฟังความจริง และก็ได้รับประโยชน์จากพระธรรมมีมากมายนับไม่ถ้วน ในทางตรงข้ามผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมย่อมเสื่อมรอบ เสื่อมโดยรอบ เสื่อมทุกอย่าง เสื่อมจากกุศล เสื่อมจากการบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่ก็เป็นประโยชน์ในการฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ก็เป็นเครื่องเตือนที่ดีเพื่อประโยชน์ในการเพิ่มพูนขึ้นซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ตกลงไม่กลัวตายแล้ว

    อ.คำปั่น เพราะว่าเป็นจิตที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ แล้วก็กลัวความดีไหม

    อ.คำปั่น ความดีที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งซึ่งดี ไม่กลัวความดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กลัวอะไรที่ตรงกันข้ามกับความดี หรือไม่

    อ.คำปั่น ควรอย่างยิ่งที่จะกลัวซึ่งกิเลส หรือว่าอกุศลธรรมทั้งหลาย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นน่ากลัวความไม่ดี และก็ควรกลัวด้วย ความไม่ดีไม่ได้นำผลที่ดีใดๆ มาให้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อไม่กลัวความดีเพราะความดีไม่นำสิ่งที่เป็นโทษภัยมาให้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรกลัว ไม่ควรเข้าใกล้ ไม่ควรที่จะสะสมก็คือความชั่วทั้งหลาย อกุศลทั้งหลาย

    แล้วคิดอย่างนี้ หรือไม่ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ใครก็ช่วยไม่ได้ทำไม่ได้นอกจากปัจจัยคือการสะสมด้วยปัญญาที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเกิดแล้วต้องตายแล้วระหว่างที่ยังไม่ตายมี ๒ อย่างคือดีกับชั่ว ซึ่งก็จะนำมาซึ่งผล คือชั่วต้องนำผลที่ไม่ดีมาให้ ไม่มีทางที่ความชั่ว หรือทุจริต หรืออกุศลทั้งหลาย กิเลสทั้งหลายจะนำสิ่งที่ดีมาได้เลย

    ชีวิตประจำวันก็พิสูจน์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของใคร ขณะไหนทุกข์ยากลำบากทั้งหลายความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหมดมาจากอะไร ถ้าผลไม่ดีต้องมาจากเหตุที่ไม่ดี แต่ว่าเราเผินคือไม่รู้ว่าเวลาที่เหตุไม่ดีให้ผล ให้ผลเมื่อไร และอย่างไร แต่ถ้าเห็นตามความเป็นจริงก็สามารถที่จะทำให้เราเข้าใจในความเป็นธรรม ในความเป็นอนัตตา ในความเป็นธาตุซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้เพราะเหตุว่า ไม่มีใครนอกจากธรรม

    อ.คำปั่น ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ก็อาจตั้งเป็นคำถามก็ได้ว่าเคยกลัว เคยเกลียดอะไรมาสารพัด แล้วกลัวกิเลสกลัวอกุศลบ้าง หรือยัง

    ผู้ฟัง ชีวิตประจำวันก็คือทราบว่าจุติคือตายไม่น่ากลัวเพราะไม่รู้อะไร แต่จะกลัวอะไรที่พลัดพรากที่เป็นอยู่ขณะนี้เช่นขณะนี้ได้ฟังพระธรรม ชาติหน้าได้ฟังก็ดีแต่ถ้าไม่ได้ฟังก็คงจะแย่

    ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณกำลังกลัวความจริง มีใครพ้นจากการพลัดพราก มีใครพ้นจากความตาย มีใครพ้นจากความเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่อยากจะให้เปลี่ยน

    เพราะฉะนั้นนี่เป็นความจริง แต่ถ้ารู้ความจริง จริงๆ ก็จะไม่กลัว เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจความจริงยิ่งขึ้น จนกระทั่งรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าพูดถึงเรื่องความดีกับความไม่ดี จริงๆ ก็ทราบว่าในพุทธศาสนาบัณฑิต หรือผู้ซึ่งความรู้ก็ต้องคิดถึงโลกหน้าไม่ใช่คิดถึงโลกนี้ จริงๆ มานึกสำรวจก็ได้สะสมเสบียงไว้เท่าที่กำลังปัญญา และกำลังที่มีอยู่ก็คิดว่าได้สะสมมาพอสมควร แต่ขณะนี้เหมือนว่าจะคิดถึงความตายบ่อยว่าถ้าตายขณะนี้จะเห็นว่าอกุศลจิตจะเกิดบ่อย

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้เราพูดถึงความจริง คุณอรวรรณก็ฟังเรื่องความจริงแล้วอะไรพาไปให้ถึงความเป็นห่วง

    ผู้ฟัง ก็อกุศลความไม่ดี

    ท่านอาจารย์ พ้นไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง แม้แต่จะคิดแม้แต่จะถามก็รู้ว่าโลภะพาไปแล้ว เพราะขณะนี้เรากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงที่เป็นธรรม ขณะเห็นก็จริง ได้ยินก็จริง เห็นเป็นเรา หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เสียใจที่จะพลัดพราก หรือพลัดพรากแล้ว เป็นเรา หรือไม่

    ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่แต่คิดว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่กลัวความจริง เพราะว่าความจริงต้องเป็นความจริงซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้จึงเป็นปรมัตถธรรม เป็นปรมัตถสัจจะ ไม่ได้ให้โทษภัยกับคนที่รู้ตรงกันข้ามคนที่ไม่รู้ก็เสียใจด้วยความผูกพัน คิดว่าไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม แต่ความจริงต้องเป็นอย่างนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    เพราะว่าธรรมเป็นธรรม แม้ว่าขณะนี้จะไม่มีใครรู้ว่าธรรมเกิดแล้วดับแล้วไม่ใช่ของใคร ไม่มีเราเป็นเจ้าของธรรม และธรรมก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะบังคับบัญชาได้ ถ้าสามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ ว่าเป็นธรรมขณะนั้นจะไม่กลัว

    เพราะฉะนั้นกลัวเป็นคนดี กลัวทำความดี กลัวเข้าใจธรรมไหม อาจบอกว่าอย่างอื่นได้ไม่กลัวแต่พอถึงธรรมที่เป็นอย่างนี้จริงๆ กลัวไหมที่จะเข้าใจให้ยิ่งๆ ขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ต้องตายจากโลกนี้ สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏเพียงชั่วคราว หมดแล้วไม่กลับมาอีก ไม่มีเสียง แล้วก็มีเสียงปรากฏแล้วเสียงนั้นก็หมดไป คุณอรวรรณไปเอาเสียงนั้นกลับมาให้หน่อย เสียงที่ดับไปแล้ว

    ผู้ฟัง ไม่มีทางเป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่ใช่แต่เฉพาะเสียง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นสิ่งนั้นต้องดับไป

    ผู้ฟัง เมื่อฟังเข้าใจ ท่านอาจารย์ก็จะย้ำเสมอว่าไม่มีอะไรนอกจากสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดแล้วก็ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีก ซึ่งแม้ขั้นฟังเข้าใจนี้ก็จะพูดว่าถ้าสามารถรู้ได้อย่างนั้นจริงๆ ก็คงจะเบามาก

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ต้องอบรมเจริญปัญญา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง หนทางเดียว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    23 ธ.ค. 2566