พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 699


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๙๙

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    อ.วิชัย กราบเรียนท่านอาจารย์ เมื่อตอนเช้าก็มีผู้มาถามเกี่ยวกับเรื่องของชาติของจิต ก็ทราบว่าจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ แต่เมื่อมีจิตล้วชาติของจิตนี้คืออะไร

    ท่านอาจารย์ โดยมากเราติดคำแล้วก็คิดเรื่องคำแต่ว่าไม่ได้คิดเรื่องธรรม พอได้ยินคำว่า “ธรรม” ก็คิดถึงคำ พอได้ยินเรื่องชาติของจิตก็ยังสงสัยเพราะเหตุว่าคนเกิดมาก็มีชาติต่างๆ แล้วจิตจะมีชาติอะไร แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่าจิตเกิดขึ้นต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด ถูกต้องไหม คนไทยเกิดขึ้นเป็นคนไทย แต่ว่าจิตเกิดขึ้นจะเป็นไทย หรือไม่ ก็ไม่ใช่ ใช่ไหม

    แต่ว่าชาติของจิต จิตเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งต่างกันเป็น ๔ คือ จิตเกิดขึ้นเป็นกุศลที่ดีงามประเภทหนึ่ง จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศลไม่ดีงามอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเกิดขึ้นเป็นกุศลซึ่งเป็นเหตุ อกุศลก็เป็นเหตุทำให้เกิดผล เพราะเมื่อเหตุมีแล้วผลก็ต้องมี จะมีเหตุแล้วไม่มีผลแล้วจะมีเหตุได้อย่างไร จะเรียกสิ่งนั้นว่าเหตุได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น สิ่งซึ่งจะทำให้เกิดผลเราก็เรียกสิ่งที่จะทำให้เกิดผลว่าเป็นเหตุ ด้วยเหตุนี้กุศลจิต และอกุศลจิตเกิดแล้วเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดจิตต่อไปข้างหน้า ซึ่งความจริงจิตแต่ละขณะนี้เป็นสภาพธรรมซึ่งอยากจะกล่าวว่าเหลือเชื่อ น่าอัศจรรย์ มองไม่เห็น แต่เกิดแล้วก็ทำกิจการงานเฉพาะอย่าง เฉพาะอย่างของจิตนั้น เช่น เกิดขึ้นมีเจตสิกซึ่งเป็นโสภณธรรมเกิดร่วมด้วยจิตนั้นจึงเป็นกุศลได้ ไม่ใช่โดยที่ว่าอยากให้กุศลจิตเกิดก็เกิด หรือว่าเรียกจิตอย่างว่าเป็นกุศลก็เรียกไปแต่ไม่ใช่สภาพของจิตนั้นจริงๆ เกิดขึ้นเพราะอะไรเพราะมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้น จิตนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นจิตที่เมื่อประกอบด้วยนามธรรมอีกประเภทหนึ่งซึ่งดีงามก็ทำให้จิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นลักษณะของจิตที่ดีงามเพราะประกอบด้วยเจตสิกนั้นๆ ซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผล เพราะฉะนั้นแม้ว่าจิตนั้นเกิดแล้วดับ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดแล้วก็ดับไป แต่ว่าจิตทุกประเภทเว้นจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้นเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดเรียกว่า แต่ว่าไม่ต้องเรียกก็ได้ “อนันตรปัจจัย” หมายความว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้สภาพของจิตซึ่งเกิดต่อไม่มีระหว่างขั้นเลยต้องเกิดต่อทันที

    ด้วยเหตุนี้ จึงมีอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งเวลาที่ไปงานสวดศพก็จะได้ยินปัจจัยนี้คือนัตถิปัจจัย จิตเป็นนัตถิปัจจัยเพราะเหตุว่าถ้าไม่เป็นนัตถิปัจจัยจิตต่อไปเกิดไม่ได้ เพราะว่าเราได้ยินแต่คำว่า “อนันตรปัจจัย” แต่ว่าตามความเป็นจริงถ้ายังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิงจิตอื่นเกิดไม่ได้ และก็ต้องเกิดตามลำดับไม่สับสนด้วย เช่นปฏิสนธิจิตเกิด ดับแล้วเป็นอนันตรปัจจัย และนัตถิปัจจัย สมันตรปัจจัยให้จิตขณะต่อไปยังไม่ใช่จิตเห็นยังไม่ใช่จิตคิดนึกแต่เป็นจิตที่ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลตามที่ปฏิสนธิทำให้จิตประเภทนั้นเกิดขึ้น ก็เป็นวิบาก ชาติวิบากมาแล้วใช่ไหมเพราะว่าเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล

    เพราะฉะนั้น เมื่อกรรมเป็นเหตุที่ได้กระทำแล้วก็ทำให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นจะเกิดเมื่อไร เลือกไม่ได้ ทุกคนทำกรรมมามากชาตินี้ ชาติหน้ากรรมไหนจะให้ผลไม่มีทางรู้ได้ หรือว่าไม่ใช่แต่เฉพาะกรรมที่ได้กระทำในชาตินี้เท่านั้น ในชาติก่อนๆ ซึ่งเป็นกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผล หรือว่าให้ผลยังไม่หมดก็ยังสามารถจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ ไกลข้ามภพข้ามชาติ แต่ก็ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นเป็นผลของกรรมนั้น โดยที่ไม่มีใครเลือก หรือไม่มีใครสามารถที่จะบังให้เป็นอย่างนั้นได้ ไม่สงสัยใช่ไหม เรื่องชาติ

    อ.วิชัย ก็มีนิดหน่อย ท่านอาจารย์กล่าวถึงจิต ชาติที่เป็นเหตุก็คือกุศลจิต หรืออกุศลจิต และท่านอาจารย์กล่าวว่ากุศลจิตคือมีโสภณเจตสิกเกิด คำว่า “โสภณเจตสิก” คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ โสภณคือดีงาม เป็นนามธรรมซึ่งมีลักษณะที่ไม่ใช่จิตเพราะเหตุว่าไม่ได้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ แต่ว่าเมื่อจิตเกิดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นปัจจัย เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน สหชาต ไม่พร้อมไม่ได้แล้วก็เป็นสัมปยุตตปัจจัยเพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้ เข้ากันสนิทเลย จิต และเจตสิกจะเปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีจิตก็ต้องมีเจตสิก แต่ว่าเจตสิกไม่ได้มีแต่เฉพาะเจตสิกที่เป็นฝ่ายดีเท่านั้น เจตสิกที่เป็นอกุศลก็มี เจตสิกซึ่งดีงามเป็นโสภณก็มี แล้วก็ยังมีเจตสิกซึ่งเกิดได้ทั้งกับเจตสิกที่ไม่ดี หรือเจตสิกที่ดี แล้วก็ยังมีเจตสิกซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกประเภท นี่คือความหลากหลายของธรรมเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ทุกขณะเป็นธรรมซึ่งถ้ารู้ความละเอียดก็จะเห็นความไม่ใช่ตัวตนจนกว่าจะมีความมั่นคงว่าเป็นธรรม

    อ.วิชัย หมายถึงว่าขณะจิตเกิดทีละขณะก็มีจิตเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ใช่ไหม แต่แล้วแต่ว่าจะเป็นจิตประเภทอะไรก็มีเจตสิกประกอบต่างกันออกไป ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญคือฟังเพลินลืมรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นขณะนี้ทุกขณะ จิตก็หลากหลาย เห็นได้ยิน ไม่ใช่จิตขณะเดียวกัน คิดนึกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พูดเรื่องเจตสิก ขณะนี้เจตสิกกำลังเกิดดับทำกิจการงานพร้อมจิตไม่มีใครสักคน เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจเรื่องธรรมจริงๆ เมื่อไร ขณะไหนเป็นจิต และเจตสิก ทั้งหมด

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ ปกติขณะนี้ก็ไม่ได้โกรธอะไรแต่ว่าพอมีเหตุปัจจัยความโกรธนี้มาได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ สิ่งนี้น่าคิด คงไม่ต้องย้อนไปถึงอดีต เดี๋ยวนี้เอง เบื่อไหม ธรรมซ้ำ หรือเปล่า ใช่ไหม หรือว่ากำลังคิดเรื่องอื่นไม่ค่อยสบายใจใช่ไหม เกิดแล้วดับแล้วไปไหน ในเมื่อเกิดกับจิตแล้วก็จิตนั้นดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น ซี่งจิตขณะต่อไปมาจากไหน ถ้าไม่ใช่มาจากจิตซึ่งดับแล้ว

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่สะสมอยู่ในจิตขณะก่อนไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ไปทำให้ออกไปจากจิตในขณะนั้นได้ แต่เพราะเหตุว่าจิตเมื่อดับแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที เพราะฉะนั้นก็มีทุกอย่างของจิตก่อนซึ่งเกิดแล้วสะสม ความขุ่นใจเล็กๆ น้อยๆ เมื่อสักครู่นี้เกิดกับจิตดับพร้อมจิต หายไปไหน ออกไปไหนออกไปนอกจิตได้ไหม ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นนี่ก็คือการสะสมซึ่งแล้วแต่ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศลสืบต่อเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ก้าวก่ายกัน ว่าจิตนี้สืบต่อจากจิตไหนก็ต้องเป็นจิตนั้นจะไปสืบต่อจากจิตอื่นซึ่งกล่าวได้ว่า คนอื่นก็ไม่ได้

    อ.วิชัย ก็มีข้อที่น่าคิดที่ว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าธรรมเป็นอนัตตา แต่ก็ทรงแสดงว่าให้หมั่นเจริญกุศลบ่อยๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วใครทำตามบ้าง นับถือ กราบไหว้ ทำตาม หรือไม่ บ่อยๆ

    อ.วิชัย เข้าใจแล้วก็ควรจริงๆ ที่จะทำตาม

    ท่านอาจารย์ แสดงความเป็นอนัตตา ชัดเจนทุกขณะ บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีใครบอกให้ใครทำอะไรได้ทั้งสิ้น แต่สามารถที่จะแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ให้คนที่กำลังมีสิ่งนั้นในขณะนั้นได้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น เช่นทุกคนกำลังเห็น จะไม่พูดเรื่องเห็นแล้วจะเข้าใจเห็นได้อย่างไรว่าเห็นนี่คืออะไร ไม่ได้เห็นตลอดเวลาเลย เดี๋ยวก็คิดนึก เดี๋ยวก็ได้ยิน เพราะฉะนั้นก็เป็นชั่วขณะหนึ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แล้วถ้าเห็นอีกครั้งก็ไม่ใช่เห็นก่อนกลับมาได้เลย แต่ละขณะก็คือธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นทุกคนมีกิเลสมากไหม หมดได้ไหม น้อยลงได้ หรือเปล่า

    อ.วิชัย กุศลที่อบรมเจริญ

    ท่านอาจารย์ ต้องมีปัจจัย ไม่ใช่อยากหมดกิเลสแล้วกิเลสก็หมด นี่คือความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วคือธรรมเดี๋ยวนี้ที่จะทำให้ปัญญาสามารถเห็นความเป็นอนัตตาไม่สามารถบังคับบัญชาอะไรได้เลยทั้งสิ้น เห็นเกิดแล้วเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คิดเกิดแล้วเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรมก็เพื่อให้เข้าใจว่าธรรมเป็นธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เป็นอิสระไหม ธรรมเป็นอนัตตา เป็นอนัตตาจริงแต่ไม่อิสระเพราะว่าต้องเป็นไปตามปัจจัย นี่คือการที่เราจะเข้าใจว่าไม่มีเรา มาที่นี่ฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นการที่จะสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ขณะที่ต่างกัน กุศลจิตไม่ใช่อกุศลจิต และไม่ใช่การที่จะไปบังคับ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจขึ้น ความเข้าใจนั้นก็จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดมากกว่าแต่ก่อนได้

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่กล่าวถึงเรื่องความเป็นอนัตตา และก็ทรงแสดงให้เจริญกุศล ถ้าไม่เข้าใจธรรมขณะนี้จริงๆ ก็จะไม่ทราบว่าอนัตตาคืออย่างไร อาจมีการคิดพิจารณาได้แต่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมเป็นอนัตตาอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจขณะนี้

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงแล้วก็ทรงแสดงความจริง เมื่อใช้คำว่า “อนัตตา” ต้องเป็นไปตามปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงตลอดเวลาที่ยังไม่ปรินิพพาน เพราะเมื่อรู้ความจริงแล้วเปลี่ยนความจริงนั้นไม่ได้ การที่รู้ความจริงก็คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราที่จะบังคับ ถ้าใครยังคิดจะบังคับขณะนั้นก็คือยังไม่ได้ได้เข้าใจธรรมจริงๆ

    อ.วิชัย เพราะเหตุว่าแม้ความคิด หรือจิตที่เป็นไปในขณะนี้ก็บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้จิตเจตสิกทั้งนั้น ทำหน้าที่ทั้งหมดไม่ว่าจะเอ่ยถึงเจตสิกใด หรือจิตใด จะกล่าวถึงผัสสเจตสิก สภาพนามธรรมที่กระทบอารมณ์ เมื่อจิตเป็นธาตุรู้ เจตสิกซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดด้วยกันก็ต้องรู้สิ่งซึ่งผัสสเจตสิก ไม่ใช่ใครแล้วแต่ว่าผัสสเจตสิกนั้นจะกระทบอารมณ์อะไรเลือกไม่ได้ แล้วก็กำลังกระทบอยู่ทุกขณะที่จิต และเจตสิกเกิด

    อ.คำปั่น ขออนุญาตคือมีผู้สงสัยที่บอกว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา” แล้วเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม ก็ฟังมาตั้งแต่ต้นก็ลืม อุตส่าห์พูดว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ใช่ของใครแล้วจะเป็นอะไร ก็ต้องเป็นธรรม

    อ.คำปั่น ก็คือเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง ซึ่งเมื่อจำแนกโดยละเอียดที่ได้ฟังก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นจิต เป็นเจตสิก หรือว่าเป็นรูปก็แสดงถึงความเป็นจริงที่เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ จริงๆ หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลในสภาพธรรมเหล่านั้นไม่ได้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ แค่เป็นธรรม ไม่พอใช่ไหม ถ้าจะกล่าวว่าอะไรๆ ก็เป็นธรรมง่ายมาก เห็นขณะนี้เป็นธรรม หรือไม่ ค่อยๆ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างเพื่อที่จะได้ยืนยันว่ามีความเข้าใจธรรมแค่ไหน ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นธรรมแล้วก็จบใช่ไหม แต่ว่าที่ว่าทุกอย่างเป็นธรรมนี่ เห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม หรือไม่ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นเป็นธรรม หรือไม่ เสียงเป็นธรรม หรือไม่ ได้ยินเป็นธรรม หรือไม่ คิดนึกเป็นธรรม หรือไม่ ต้องละเอียดมาก สุข เสียใจ ดีใจเป็นธรรม หรือไม่ โกรธเป็นธรรม หรือไม่ ถ้าถามตอบได้ใช่ไหมว่าโดยชื่อเป็นธรรม

    แล้วบางคนที่ฟังเผินก็ยังบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร จะต้องทำอะไรในเมื่อเป็นธรรม แต่ขณะที่พูดเป็นธรรมประเภทไหนที่กล่าวอย่างนี้ ก็แสดงว่าต้องเป็นธรรมด้วยแล้วเป็นธรรมที่มีความเข้าใจจริงๆ หรือไม่ที่กล่าวว่า”ไม่ต้องทำอะไร” ก็คือยังมีความเป็นตัวตนที่คิดว่าไม่ต้องทำอะไร ที่กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร”

    มีคนพูดที่คิดอย่างนี้ กำลังพูดอย่างนี้โดยการที่ยังเป็นตัวตนที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าเวลาที่กล่าวว่า “ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใคร” นั้นต้องขณะที่ธรรมนั้นปรากฏเช่นเห็นเดี๋ยวนี้มีเห็นจริงๆ ฟังเข้าใจว่าไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย เห็นเกิดแล้ว ทำให้คิดเกิดได้ไหม ไม่มีทางเพราะว่าคิดเกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่คิดว่าจะทำคือสิ่งที่เกิดแล้วแต่ไม่รู้ว่าเกิดแล้วจึงคิดว่าจะไปทำ

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมต้องละเอียดจริงๆ เพื่อที่จะได้รู้ความจริงว่าขณะนี้การที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีหลังจากที่ได้ฟังคำพยากรณ์แล้วไม่ใช่ก่อนนั้น มีความมั่นคงจนได้รับคำพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง แสดงว่าต้องตรัสรู้แน่นอนเพราะได้รับคำพยากรณ์แล้ว คำใดที่เป็นคำพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคำนั้นเปลี่ยนไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ทรงได้รับคำพยากรณ์แล้ว ทรงบำเพ็ญพระบารมีสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อรู้ความจริงของเห็นซึ่งกำลังเห็น แต่ไม่มีใครสามารถรู้ความจริงนั้นได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม รู้ความจริงของได้ยิน รู้ความจริงของทุกอย่างซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่จากการที่ทรงตรัสรู้ก็รู้ว่ายากที่คนจะเข้าถึงความจริงของสภาพธรรม แต่ทรงพระมหากรุณาที่จะรู้อัธยาศัยของคนซึ่งสะสมมาต่างๆ กัน ทรงเทศนาตามโวหารเทศนาที่จะทำให้แต่ละคนสามารถเข้าใจธรรมที่มีจริงในขณะนั้นได้

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกคนก็มีโอกาสได้ฟังความจริงจากการที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรม ควรรู้สิ่งที่กำลังปรากฏไหม ถ้าไม่รู้ก็คือว่ามีความเคารพในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือไม่ ถ้าเข้าใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรู้ความจริงของเห็นของได้ยินของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    อ.กุลวิไล สืบเนื่องจากที่เราสนทนากันเมื่อวานเรื่องของสุตมยญาณ ท่านกล่าวถึงปัญญาเครื่องรู้ชัดธรรมที่สดับมาแล้ว กราบท่านอาจารย์ได้เข้าใจความละเอียดเพราะท่านอาจารย์ให้เราเข้าใจถึงธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ขั้นฟังของแต่ละบุคคลก็ต้องแตกต่างกัน ฟังเรื่องราวของธรรมที่ได้สดับมาแล้วจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้รู้ชัดในธรรมที่ปรากฏในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ พูดเรื่องเห็นอีกแล้ว เพราะเหตุว่ากำลังเห็น มีความมั่นคงจากการฟังไหมว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงของเห็นซึ่งเกิดดับ เพราะมีจริงๆ แล้วเกิดด้วยแล้วก็ดับด้วย นี่คือสัจจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญาที่อบรมแล้วก็สามารถไม่ใช่เพียงแค่ฟังเข้าใจ แต่ยังสามารถที่จะเริ่มรู้ลักษณะของเห็นที่กำลังปรากฏแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกว่าจะเป็นปัญญาซึ่งสำเร็จจากการฟัง มีความเข้าใจที่มั่นคง

    เพราะฉะนั้น ทุกคนพิสูจน์ตัวเองได้ มีความมั่นคงที่จะรู้ว่าธรรมมีจริงคือกำลังปรากฏ อะไรที่กำลังปรากฏเป็นธรรม ส่วนพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษาก็เรื่องของธรรมที่มีจริงๆ ที่ปรากฏทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็พ้นจากธรรมไม่ได้

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่รู้ว่าธรรมคือกำลังปรากฏ ไม่ใช่อยู่ในหนังสือใช่ไหม เจตสิก ๕๒ ชื่อต่างๆ มีในหนังสือ แต่เดี๋ยวนี้ก็เป็นเจตสิกนั้นๆ ที่ทรงแสดง และก็ทรงจำสืบทอดกันมา สาธยายโดยมุขปาฐะจนกระทั่งจารึกเป็นตัวหนังสือที่ทำให้คนสามารถที่จะอ่านแล้วทบทวน หรือว่าเป็นการฟังซึ่งมีเครื่องมืออุปกรณ์หลายอย่างทำให้เราสามารถที่จะฟังแล้วฟังอีกในเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ มั่นคง หรือยังว่าปัญญาสามารถที่จะเข้าถึงธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ด้วยสติสัมปชัญญะซึ่งไม่รู้สิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ นี่คืออธิฐานบารมี มีความมั่นคงจริงๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ายากที่จะรู้สภาพธรรม มีปัญญาเล็กน้อยที่เกิดจากการฟัง ฟังแล้วก็เข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นปัญญาซึ่งต้องมีวิริยะเกิดที่จะฟังแล้วฟังอีกเป็นวิริยบารมี แล้วก็ต้องมีความอดทน สภาพธรรมที่เป็นอุปสรรคมีเยอะ อาจเป็นการเจ็บไข้ได้ป่วย อาจเป็นอะไรหลายเรื่องซึ่งทำให้ขาดการฟัง หรือว่าไม่เห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่จะเข้าใจธรรม จะตายเมื่อไรนี้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าได้เข้าใจธรรมก่อนจะตาย อย่างวันนี้มีเพื่อที่จะเข้าใจธรรม ถ้ามีแต่เมื่อวานนี้วันนี้ไม่มีจากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่ได้เข้าใจธรรมเพราะว่าไปไหนไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เปลี่ยนสภาพทันทีที่จุติดับเป็นอื่นทันทีแล้วแต่ว่าจะเป็นรูปใด ภูมิไหน

    เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสได้ฟังก็มีขันติบารมีที่ว่า ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้นก็มีความอดทนที่จะเห็นประโยชน์ของการฟังธรรม ประโยชน์สูงสุดคือได้เข้าใจธรรมในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ สัจจะความจริงใจ มั่นคงยังต้องเป็นผู้ที่จริงใจสัจจบารมี อธิฐานบารมีมั่นคงจริงๆ ว่าใครจะคิดว่าจะรู้ธรรมอื่นไม่ใช่ขณะนี้ เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อขณะนี้ธรรมนี้ปรากฏแล้วจะให้ไปรู้อื่นซึ่งยังไม่ปรากฏ หรือที่ดับไปแล้ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาจริงๆ ก็จะรู้ว่าขณะนี้กำลังบำเพ็ญบารมีแล้วแต่ว่าจะมากจะน้อยในเรื่องของบารมีทั้ง ๑๐

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวตอนต้นว่าจิตมีชาติก็คือการเกิดขึ้นของจิตก็เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ ชาติคือ อกุศลชาติ ๑ กุศลชาติ ๑ วิปากชาติ ๑ และกิริยาชาติ ๑ ก็จำแนกชาติของจิต แสดงว่าได้เป็น ๔ ชาติ แต่ว่าถ้ากล่าวโดยรูปอย่างเช่นรูปก็มีหลายรูปด้วยกันที่ทรงแสดงทั้งหมด ๒๘ รูปไม่ว่าจะเป็นแข็ง หรือว่าเสียงที่ได้ยิน การจำแนกรูป รูปจะมีชาติ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ รูปเป็นกุศลได้ หรือไม่

    อ.วิชัย รูปเป็นกุศลไม่ได้ ไม่ใช่จิต แต่รูปก็มีการเกิด

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ทำดีทำชั่วอะไรก็ไม่ได้ ขณะนี้มีการได้ยินเสียงแต่รูปก็ไม่ได้ยินอะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นธาตุที่ไม่ใช่ธาตุรู้ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    16 ม.ค. 2567