พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 706


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๐๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ ธรรมทุกอย่างเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น ชั่วขณะสั้นแสนสั้นของธรรมแต่ละอย่างที่เกิดแล้วดับแล้วไม่สามารถจะปรากฏว่าเป็นอะไรได้ ต่อเมื่อใดสภาพนั้นเกิดแล้วดับแล้วซ้ำๆ ลักษณะนั้นก็ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งทางธรรมใช้คำว่า “นิ-มิด-ตะ” หมายความถึงรูปร่างสัณฐาน หรือว่าสภาพของสิ่งที่เกิดดับสืบต่อกัน เช่นขณะนี้เห็นไม่ใช่ขณะเดียว ทางโลกก็อาจใช้นาฬิกาแล้วดูว่าเราเห็นมานานเท่าไรแล้ว แต่ถึงจะเห็นนานเท่าไรก็ไม่ใช่เห็นเพียงหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นระยะเวลาที่เรากำหนดได้แต่ว่าตามความเป็นจริงไม่สามารถที่จะรู้จำนวนของจิตซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว เพราะฉะนั้น จึงปรากฏเสมือนว่าเห็นตลอดไม่ได้ดับไป เพราะการเกิดดับอย่างเร็วยิ่งของธรรมทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่ปรากฏรู้ว่าเป็นอะไรเพราะเหตุว่าการเกิดดับสืบต่อจนนิมิตไม่ได้มีแต่เฉพาะส่วนเดียวที่เป็นอนุพยัญชนะส่วนเล็กๆ แต่เป็นทั้งรูปร่างสัณฐาน รูปร่างของคนก็ต่างกับรูปร่างของนก รู้เลยพอเห็น จำได้เลย เพราะการรวดเร็วของการที่เห็นจนชิน เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะนึกถึง และก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรทั้งหมดเกิดดับสืบต่อยากที่จะรู้ได้ว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ ด้วยเหตุนี้จึงฟังพระธรรมเพื่อที่จะได้มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเกิดแล้วต้องตาย แต่ก่อนตายก็จะต้องมีสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อเป็นนิยามเป็นธรรมเนียมที่จะต้องเป็นไปเป็นปวัตติ

    เมื่อมีปฏิสนธิคือการเกิดก็จะต้องมีปวัตติคือความเป็นไป มีอะไรบ้าง หรือมีใครบ้างที่เกิดแล้วไม่มีอะไร เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม เกิดแล้วต้องเป็นไป คือมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกายแล้วก็มีใจที่คิดนึกเรื่องต่างๆ ไม่ซ้ำกันสักขณะเดียว เกิดแล้วก็ดับไปตรงกับคำที่ว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    อ.กุลวิไล ขณะนี้ทุกท่านอยู่ในโลกที่มีแต่นิมิต เพราะว่านิมิตในที่นี้ก็คือสิ่งที่มีจริงที่เกิดดับสืบต่อนั่นเอง เห็นเป็นนิมิตสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา และให้รู้ได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งบัญญัติเป็นสภาพธรรมที่ให้รู้ได้เพราะว่าบัญญัติจากนิมิตที่มีจริงนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ที่เราเรียกเป็นคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ ก็เพราะว่าบัญญัติจากนิมิตที่เกิดดับสืบต่อในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ฟังเท่านี้รู้จักจิต หรือยัง เห็นไหมว่ายาก ทั้งๆ ที่กำลังเห็นแล้วรู้ว่าเห็นไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏต่างกันมาก อย่างหนึ่งสามารถเห็นรู้แจ้งว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ขณะที่ได้ยินก็เสียงปรากฏให้รู้ว่ามีเสียงเพราะกำลังได้ยินเสียง และเสียงก็หลากหลายมาก เพราะฉะนั้น สภาพที่รู้เสียงทุกอย่าง นามธรรม หรือธาตุซึ่งเกิดขึ้นรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ภาษาบาลีใช้คำว่า “จิด-ตะ” หมายความถึงธาตุซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะหลับ จะตื่น ถ้ายังไม่จากโลกนี้ไปก็ต้องมีจิตซึ่งเกิดขึ้นสืบต่ออยู่ตลอดเวลา

    อ.กุลวิไล ที่กล่าวว่า “ชีวิตดำรงเพียงชั่วขณะจิตเดียว” ถ้าไม่ฟังพระธรรมเราจะไม่ทราบ เราจะเข้าใจว่าอาจเป็นจิตดวงนี้ยาวนานไปเลยที่รู้สิ่งต่างๆ แต่หารู้ไม่ว่าจิตเกิดขึ้นดำรงภพชาติเพียงแต่ละขณะเอง เพราะว่าขณะที่จิตเกิดขึ้นดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ขณะใหม่เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดับไปแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ หรือว่าสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะว่าชีวิตเพียงชั่วขณะจิตขณะเดียวเอง เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมแล้วไม่ได้มีความเข้าใจถูกในสภาพธรรมก็ย่อมคิดแล้วก็คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงเหมือนดั่งกับผู้ที่เขียนมาถามเรื่องของจิตว่า

    “กระผมเป็นผู้ศึกษาใหม่ ตอนนี้กระผมสงสัยอยู่เรื่องเดียวจริงๆ ติดข้องมาก ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ด้วย คือ จิตดวงนี้หมายถึงจิตของกระผมในปัจจุบันนี้เป็นจิตเดียวกันกับชาติก่อนๆ เมื่อหลายแสนกัปป์มาแล้วใช่ หรือไม่ และที่จะเป็นจิตดวงเดียวกันนี้ในชาติต่อๆ ไปเมื่อจุติจิตเกิด ใช่ไหมครับ และจิตดวงนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร (หมายถึงจุติจิตแรกก่อนจะมีโลก หรือจักรวาล) จิตของผมนี้เกิดขึ้นครั้งแรกได้อย่างไร ถึงแม้ในขณะนี้จะไม่เข้าใจ แต่จะฟังต่อไปจนกว่าจะเข้าใจให้เกิดปัญญาเพื่อละคลายความเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบคุณอรรณพจะช่วยตอบไหม

    อ.อรรณพ ต้องเข้าใจก่อนว่าจิตเป็นสภาพรู้ แล้วจิตเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นจิตเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงมีสองลักษณะ คือสิ่งที่มีจริงนั้นเกิดแล้วดับอย่างหนึ่ง กับสิ่งที่มีจริงแล้วไม่เกิดไม่ดับแต่มีลักษณะจริงๆ สิ่งนี้คือพระนิพพาน เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับได้แก่จิต เจตสิก และรูป

    เพราะฉะนั้น อย่าลืมว่าจิตนี้เกิดขึ้นทำกิจการงานแต่ละอย่างแล้วดับไปจิตนั้นไม่ย้อนกลับมาอีกเลย แม้จะมีปัจจัยให้เกิดจิตประเภทเดียวกันก็เป็นจิตประเภทเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าจิตนั้นยั่งยืนยาวมาตลอดตั้งแต่เกิดมานี้ก็เป็นจิตอยู่อย่างนั้นแล้วก็ทำกิจโน้นทำกิจนี้โดยที่เป็นจิตประเภทเดียวนั้นไม่ใช่

    เพราะฉะนั้น เพื่อความเข้าใจจึงมีคำสอนในส่วนที่เป็นอภิธรรม ซึ่งพื้นฐานความเข้าใจก็จะเป็นประโยชน์กับการสะสมปัญญาว่า จิตนี้หลากหลายเป็นถึง ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ถ้าจำแนกโดยนัยที่ละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความจิตนั้นคงอยู่ตลอด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

    จิตเกิดขึ้นมีขณะย่อยเพียง ๓ ขณะย่อย คือขณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างรวดเร็ว แม้จะมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดจิตซึ่งเป็นไปตาม จิด-ตะ-นิ-ยาม-มะ หรือเป็นไปตามความเป็นจริงของจิตนั้น แต่ถ้าเข้าใจถูกจะไม่คิดว่ามีตัวเราอยู่ตลอด เพราะจริงๆ ชีวิตเราย่อยลงไปก็คือจิตแต่ละขณะที่เกิดดับทำหน้าที่ต่างๆ กัน

    เพราะฉะนั้น ที่มีคำถามตรงนี้ก็คงต้องเข้าใจก่อนว่าจิตนี้คืออะไร และจิตเกิดดับรวดเร็วขนาดไหน

    ท่านอาจารย์ ขอถามผู้ที่ถามว่าจะรู้ได้ไหม ก่อนอื่นคำถามนี้สามารถจะรู้ได้ หรือไม่ในขณะที่กำลังเห็นแล้วไปคิดถึงจิตก่อนๆ ซึ่งเกิดดับในแสนโกฏิกัปป์จะเป็นขณะนี้ได้ หรือไม่ เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงต้องรู้ว่าแต่ละบุคคลสะสมมาที่จะสามารถเข้าใจอะไรได้มากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น จากคำถามนี้ก็ขอถามนิดหนึ่งว่าแล้วจะรู้ได้ไหม ในเมื่อขณะนี้มีจิตยังไม่รู้จิตขณะนี้ แล้วจะไปรู้สิ่งที่แสนโกฏิกัปป์มาแล้วจะรู้ได้ไหม

    อ.กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ในยามที่ ๑ เมื่อพระผู้มีพระภาคสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ในวันวิสาข ยามที่ ๑ หลังจากที่ประทับที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงระลึกพระชาติด้วยพระปัญญา ไม่ใช่จำชาติ จำชาตินี้จำได้บ้างไม่ได้บ้างอย่างคนยุคนี้สมัยนี้ไม่รู้เหตุที่ทำให้สามารถระลึกชาติได้จริงๆ แต่ในครั้งนั้นผู้ที่ได้บำเพ็ญพระบารมีมาอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงระลึกชาติตลอดยามที่ ๑ นานไหม กี่ชั่วโมง ก็ไม่สามารถที่จะถึงความสิ้นสุดได้นี่คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีก็ยังเห็นว่าสังสารวัฏฏ์ การเกิดดับสืบต่อยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทางที่จะให้รู้ความจริงเพียงระลึกถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

    เพราะฉะนั้น ในยามที่ ๒ ก็ทรงพิจารณาการเกิดหลังจากที่จุติ หมายความว่าตายแล้วก็เกิด ตายแล้วก็เกิดของสัตว์โลกตลอดยามที่ ๒ ก็เห็นว่าไม่สามารถที่จะรู้ถึงความสิ้นสุดของการตาย และการเกิดได้ เพราะว่าไม่ใช่การรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่คิดจะรู้ หรือคิดจะถามก็จะรู้ได้ว่าคำตอบอยู่ที่ไหน ในเมื่อไม่มีใครที่จะได้สามารถรู้ความจริงอย่างนั้นได้ แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระปัญญาของพระองค์เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในแสนจักรวาล หรือแสนโกฏจักวาลก็ตามแต่

    เพราะฉะนั้น ด้วยการที่ได้ทรงสะสมปัญญา และพระบารมีมาแล้ว ถึงเวลาคือกาลที่จะตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ความคิดของพระองค์ไม่เหมือนกับคนอื่นใช่ไหม วิตกเจตสิก ขณะนี้การตรึกการจรดในอารมณ์ที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้ก็เป็นธรรมดาของสัตว์โลก แม้แต่การที่จะคิดถึงธรรมคิดได้มากน้อยแค่ไหน คิดได้บ่อยไหม แต่เมื่อถึงกาลที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ในยามที่ ๓ วิตกเจตสิกก็ทำให้ตรึก หรือจรดในอารมณ์ที่กำลังปรากฏ เพราะรู้ว่าความจริงก็คือในขณะที่สามารถเห็นถูกเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการคิดถึงอดีตคือชาติต่างๆ คิดถึง ระลึกถึงรู้แจ้งการตายแล้วเกิดของสัตว์โลก แต่ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ด้วยเหตุนี้ในยามนั้นก็ได้ทรงรู้ความจริงตามลำดับของสภาพธรรมจนได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่ออรุณขึ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมที่มีจริงๆ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี และทรงตรัสรู้แล้ว เพียงฟังก็มากมายมหาศาลที่รู้ว่ายังไม่รู้อะไรบ้าง ยังไม่รู้อะไรเลยแล้วที่ทรงแสดงจากการที่ทรงตรัสรู้ที่ทรงอุปมาไว้ในพระสูตรว่า พระธรรมที่ทรงแสดงนี้อุปมาเท่ากับใบไม้สองสามใบที่หยิบขึ้นมาในพระหัตถ์ไม่เหมือนกับใบไม้ในป่าทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น แม้แต่จะได้ยินคำว่า “ธรรม” หรือได้ยินคำว่า “ปรมัตถธรรม” หมายความถึงธรรมที่มีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะธรรมนั้นๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้ ก็เห็นความสุขุมลุ่มลึกอย่างยิ่งซึ่งเป็นอภิธรรมของธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ถ้ารู้จักว่าธรรมคือขณะนี้ ก็รู้ว่าขณะนี้สิ่งนี้เกิดแล้วเป็นแล้วอย่างนี้ แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เมื่อมีปัจจัยที่สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่ใช่มีใครจะไปดลบันดาลได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นไปโดยละเอียดยิ่งคืออภิธรรม

    เพราะฉะนั้น ธรรมเมื่อใครรู้แล้วก็รู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม และก็รู้ความลึกซึ้งนั้นก็เป็นอภิธรรมนั่นเอง เช่นในขณะนี้ที่กำลังเห็น กำลังเห็นอยู่จริงๆ ก็ไม่รู้เพราะความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จนละความสงสัยความไม่รู้ และก็รู้ความจริงของสภาพธรรมจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์พูดถึงการรู้ความจริงจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมสมดังข้อความที่เราได้สนทนากันเมื่อวานถึงว่า “สิ่งที่เกิดได้ยากในโลก” ซึ่งในทุติยฉิคคฬสูตรแสดงถึงสิ่งที่เกิดได้ยากในโลก ๔ อย่างก็คือ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ๑ การที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การที่พระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วรุ่งเรืองในโลก ๑ และข้อสุดท้ายที่ยากยิ่งก็คือการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ที่เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าสิ่งที่ควรรู้ หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็คือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าอย่างอื่นไม่ได้ปรากฏแล้วจะไปรู้สิ่งที่ไม่ได้ปรากฏได้อย่างไร สิ่งที่ดับไปแล้วก็ไม่สามารถตามไปรู้ความจริงได้เพราะไม่เหลือ ว่างเปล่าเพียงแต่เกิดปรากฏแสนสั้นแล้วก็ว่างเปล่าคือไม่เหลือแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดแล้วก็ลึกซึ้ง ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ไปหวังว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อไร หรือทำอย่างไรจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่มีทำอย่างไรเพราะว่าเป็นปัญญาเท่านั้น ปัญญาจะมีได้ก็ต่อเมื่อฟังแล้วก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    อ.กุลวิไล ปัญญาต้องเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทำให้ผู้นั้นเป็นผู้ที่สามารถที่จะดับอนุสัยกิเลสได้โดยที่ปัญญาของการที่จะดับอนุสัยกิเลสก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ก็กลับมาสู่ความเป็นจริงของสภาพธรรม ไม่ว่าในขณะไหนทั้งสิ้น ขณะนี้แข็งปรากฏแน่ๆ ใช่ไหม เห็นไหมว่าใครไปทำให้แข็งเกิดได้ ไม่มีใครบันดาลได้ แต่ว่าเมื่อเกิดแล้วก็รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะอะไร อาศัยอะไรจึงเกิดขึ้น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมแยกกันไม่ได้ มีปัจจัยเกิดแล้วจะไปหาว่าใครมาทำให้เกิด หรือเกิดมาแล้วตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ได้ใช่ไหม เพียงแต่ว่าจะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าที่สภาพธรรมปรากฏได้เพราะมีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ที่กำลังรู้แข็ง

    เพราะฉะนั้น โลกก็คือว่ามีธรรมประเภทใหญ่ๆ สองอย่าง คือธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ และสภาพธรรมที่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้ก็ปรากฏว่ามีไม่ได้ถ้าไม่มีธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งสามารถที่จะเห็น หรือได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก นี่คือโลกมนุษย์ หรือจะใช้คำว่า “กามโลก ๖ หรือกามาวจร” ก็ได้ เพราะเหตุว่ากามได้แก่รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ เป็นอนัตตา

    การฟังธรรมที่มีแล้วในขณะนี้เพื่อรู้ความเป็นอนัตตาของธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วทั้งชาตินี้ก็พ้นไปจากรูป รส กลิ่น เสียงโผฏฐัพพะไม่ได้ ยังไม่สามารถจะถึงระดับของจิตสูงขึ้นอีกคือพ้นจากการที่จะรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งจิตทั้งหมดมี ๘๙ สำหรับจิตที่รู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็คือ ๕๔ แล้วก็สูงกว่านั้นอีก ไม่รู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะในขณะนี้แต่ก็มีความสงบจากการรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ลองคิดดูแล้วก็สามารถที่จะสงบได้ตามลำดับขั้นที่เราใช้คำว่า “อัปปนาสมาธิ” หรือฌานจิตเป็นรูปาวจรจิต ๑๕

    นี่คือพูดถึงสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ แต่ให้ทราบว่าจิตหลากหลายมากมีปัจจัยที่จะเกิดเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ขณะนี้ไม่มีปัจจัยที่จะสงบถึงระดับนั้น จิตระดับนั้นก็เกิดไม่ได้ แต่ว่ามีปัจจัยที่จะเห็น เห็นก็เกิด มีปัจจัยที่จะคิดเรื่องเห็น จิตที่คิดเรื่องเห็นก็เกิด ก็วนเวียนเป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจิตทั้งหมด ซึ่งสูงกว่านั้นอีกก็เป็นอัปปนาสมาธิที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ นี่คือระดับขั้นต่างๆ ของจิต และเหนือสิ่งใดก็คือจิตนั้นมีนิพพานเป็นอารมณ์ดับกิเลสได้ตามระดับขั้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นการศีกษาให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้เพราะเกิดแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าไปพยามยามรู้สิ่งที่ไม่มี

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวว่าสภาพธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุ และปัจจัย ดังนั้นความรู้คือโดยสภาพธรรมก็เกิดดับสืบต่อกันจนปรากฏเป็น นิ-มิด-ตะ เพราะฉะนั้น ความรู้ ความเข้าใจที่สั่งสมอบรมมากขึ้นจนสามารถที่จะเข้าใจ และสามารถที่สติระลึกได้ในลักษณะ แต่ว่าความรู้ที่จะรู้โดยการที่จะทราบว่าธรรมนี้เกิดเพราะอาศัยปัจจัยอย่างนี้อย่างนี้ รู้ว่าเป็นเพียงความเข้าใจในขั้นการฟังเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงให้รู้สิ่งที่ปรากฏจึงเป็นปริยัติ ให้เข้าใจว่าธรรมคือขณะนี้ และธรรมก็เป็นอย่างนี้แต่ละอย่างตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ยังไม่ใช่การรู้ลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ที่เป็นปฏิ ปัตติ

    เพราะฉะนั้นจะรู้ปัจจัยได้ไหม เพียงเรื่องราว ต่อให้จะบอกเรื่องราวอย่างไรๆ ก็เป็นเพียงแค่เรื่องราว แต่ถ้าขณะนั้นเป็นลักษณะของสภาพธรรมซึ่งปัญญากำลังรู้ว่าเป็นธรรม ขณะนั้นก็ไม่ใช่เราสักอย่าง เพราะเหตุว่าในขณะที่เพียงแข็งปรากฏอย่างอื่นไม่ปรากฏเลย สภาพแข็งปรากฏก็มีสภาพที่รู้แข็งนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น โลกๆ หนึ่งซึ่งเวลานี้โลกปนกันหมดหนาแน่นมากเป็นทวีปต่างๆ เป็นบุคคลต่างๆ ความจริงก็คือว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้น และเป็นไปตามสภาพธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังเห็น จริงๆ จากการศึกษาจากการรอบรู้ในการที่ได้ฟังก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าในขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่นเลย ยังไม่ต้องไปถึงปัจจัย ใช่ไหม เพราะขณะจริงๆ ก็คือว่าในขณะเห็นต้องไม่มีอย่างอื่น ใครยังคิดว่ามีอย่างอื่น ยังมีขา มีตา มีอะไร หรือเปล่าในขณะที่กำลังเห็นเท่านั้น เป็นธาตุที่ขณะนั้นมีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏหมายความว่าขณะนั้นไม่มีอย่างอื่น

    ถ้าเป็นเสียงกับได้ยินขณะนั้นก็ต้องไม่มีเห็นแล้วไม่มีคิดไม่มีอย่างอื่นด้วย แต่เสียงมี และขณะนั้นก็มีธาตุที่กำลังรู้เสียง เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นไม่ใช่เป็นการฟังเรื่องราวรอบรู้ในเรื่องว่าเสียงเป็นธรรมปรากฏได้อย่างไร เป็นอายตนะ หรือเป็นอะไร แต่ขณะนั้นลักษณะของเสียงกำลังปรากฏพร้อมกับลักษณะของธาตุรู้

    เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นมีสองอย่างแน่นอน ธาตุรู้ขณะนั้นมีเสียงที่กำลังปรากฏ ยังไม่ถึงปัจจัย ใช่ไหม แต่ขณะนั้นก็เริ่มแยกโลกซึ่งติดกันแน่นเป็นทีละโลก เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ โดยเหตุที่ว่าจิตเป็นธรรมเป็นธาตุซึ่งเกิดพร้อมกับเจตสิกซึ่งมีการรู้อารมณ์ได้เพียงทีละอย่าง จิต ๑ ขณะมีเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมด้วยทำให้ตั้งมั่นในอารมณ์ที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้น จิต ๑ ขณะจึงรู้อารมณ์ได้เพียง ๑ อย่าง เพราะฉะนั้นในขณะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ รอบรู้จริงๆ มั่นคงจริงๆ เป็นสัจจญาณก็จะต้องมีการเข้าใจได้ว่าขณะนั้นไม่มีโลกอื่นเลย ที่กำลังมีในขณะนี้ไม่เหลือเลย ลองคิดถึงขณะนี้ไม่มีอะไรทั้งสิ้นมีแต่ได้ยินกับเสียง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    23 ธ.ค. 2566