พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 716


    ตอนที่ ๗๑๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔


    อ.กุลวิไล ปลุกผู้อื่นให้ตื่น มีความละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ใช่สาวกด้วย เพราะฉะนั้นพระปัญญาที่ทรงบำเพ็ญมาที่จะตรัสรู้ความจริงพร้อมด้วยพระญานต่างๆ ก็ทำให้อนุเคราะห์คนอื่นให้เข้าใจ โดยการทรงแสดงธรรม กำลังถูกปลุกหรือไม่ หรือไม่สะดุ้งสะเทือนเหมือนไม่ได้ถูกปลุกเลย ฟังธรรมในฝัน ยังไม่ตื่น จนกว่าถูกปลุกเมื่อไหร่ตื่น ก็อาจจะตื่นขึ้นมาชั่วขณะ เช่นขณะนี้มีสิ่งที่แข็งปรากฎ เกิดแล้วไม่มีใครไปทำเลย เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งปรากฏชั่วคราวแล้วก็หมดไป แต่ยังไม่ได้ปรากฏถึงการเกิดขึ้น และดับไป แต่ถ้าไม่เกิดจะแข็งปรากฏได้ไหม เพียงแข็งปรากฎ แข็งก็ต้องเกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้ว ทำไมมีคิดนึก คิดนึกไม่ใช่แข็งก็แสดงว่าแข็งที่ปรากฏนี้ชั่วคราว เพราะว่าขณะที่คิดนึก แข็งไม่ปรากฎ นี่ก็เป็นความละเอียด เพราะฉะนั้นฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ทางตา มีสิ่งที่ปรากฏกับเห็น ทางหู ต้องมีเสียงแน่ๆ แล้วก็ต้องมีจิตที่ได้ยินด้วย ชั่วขณะนั้น ไม่ใช่ขณะเห็น ทางจมูกกลิ่นปรากฏกับสภาพที่กำลังรู้กลิ่น ไม่ใช่ขณะเห็น ไม่ใช่ขณะได้ยิน คนละขณะ ขณะที่กำลังมีรสหนึ่งรสใดปรากฏ ขณะนั้นอย่างอื่นจะปรากฏร่วมในรสที่ปรากฎไม่ได้เลย เป็นเพียงแต่ละหนึ่ง รสหนึ่งปรากฏกับจิตที่กำลังลิ้มรสแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้นอาจจะตื่นขึ้นมาบางกาล ที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏ ก็ปรากฏอยู่ตลอดเวลา แต่ปรากฏกับความไม่รู้ แต่เมื่อฟังธรรมแล้วปรากฏ เริ่มรู้ แล้วก็ไม่รู้อีก แสดงให้เห็นว่าตื่นขึ้นมาเล็กน้อยแค่ไหน ที่จะค่อยๆ อบรมให้เข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ จนสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้

    อ.กุลวิไล จะเห็นได้ว่า ที่ใดมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่นั่นต้องมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชา ท่านอาจารย์กล่าวถึงมีบุคคลนั่งอยู่ในห้อง แล้วก็เดินออกไป ซึ่งจริงๆ แล้ว ทางตาปรากฏก็คือสิ่งที่ปรากฏได้ทางตา เพราะฉะนั้นต้องมีสีที่อาศัยเกิดกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ฉันใด ที่ตัวเราก็ต้องมีสีที่อาศัยเกิดกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ลองกระทบสัมผัสที่เรียกว่า คน มีลักษณะอะไรปรากฎ นั่นก็ไม่พ้นกับธรรมที่ปรากฏแต่ละทางนั่นเอง ถ้าเราไม่รู้ลักษณะของธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ ก็เป็นไปกับเรื่องราวหลังเห็น หลังได้ยิน แล้วก็คิดนึกต่อ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเป็นผู้ที่ตื่น แต่ไม่ได้ตื่น เพราะว่าไม่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ คิดไปก็เหมือนกับฝันนั่นเอง เพราะว่าไม่ได้เป็นผู้ที่ตื่นที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    อ.อรรณพ ตอนนี้ก็มีจิต มีความคิดนึก มีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รสกระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึกต่างๆ ทำไมท่านถึงยังแสดงว่า ยังไม่ตื่น ทั้งๆ ที่ก็เห็นแล้วก็คิด ได้ยินแล้วคิด ใครพูดอะไรก็รู้เรื่อง สื่อสารกันได้หมด แต่เหตุใดท่านแสดงว่ายังไม่ตื่น หรือเป็นเพียงในฝัน เพราะฉะนั้นก็ต้องมีอรรถที่ลึกซึ้ง ที่ไม่ใช่ความคิดของคนทั่วไป ที่ไม่ได้เข้าใจจากพระธรรม เพราะว่าตอนนี้แม้มีการเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ไม่ได้รู้ความจริงเลย เพราะฉะนั้นตื่นจากความไม่รู้ ขณะนี้เราก็สมมติกันว่าตื่นจากตอนหลับ ก็มีใช่หรือไม่ ช่วงของชีวิตที่ภวังคจิตเกิดสืบต่อนานกว่าปกติ ที่เราสมมติกันว่าหลับในช่วงกลางคืน แต่จริงๆ แล้วก็มีการตื่นสลับพลิกตัว แต่เราไม่รู้สั้นๆ แต่ถ้าเราพูดถึงตอนที่หลับสนิทก็ต้องมี ขณะที่หลับสนิท ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้รสกระทบสัมผัส และคิดนึกสิ่งใดเลย เราจึงกล่าวว่า หลับ คือคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร คือไม่เห็น ไม่คิดนึกอะไร หรือบางครั้งก็ฝัน ก็เป็นความคิดนึกทางใจอย่างเดียว แต่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสกระทบสัมผัส นั่นเป็นความคิดนึกทางใจล้วนๆ ก็เรียกกันว่าฝัน เพราะว่ายังไม่ได้ตื่นขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ยังไม่เป็นวิถีจิต แต่ที่ลึกยิ่งกว่านั้น ที่สมมติกันว่าตื่นขึ้นมาแล้ว มีวิถีจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่เราสมมติกันว่าตื่นขึ้น ไม่ใช่หลับ ไม่ใช่ฝัน แต่แม้จะมีการรู้สิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ไม่ได้รู้ความจริง เพราะฉะนั้นก็ยังไม่ได้ตื่นจากความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นเห็นแล้วก็ไม่รู้ ได้ยินแล้วก็ไม่รู้ คิดนึกต่างๆ ก็เป็นไปด้วยความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่แม้จะตื่นมาแล้ว ก็มีทั้งที่หนักไปทางอกุศล ก็เรียกว่าดิ่งนรกลงไปอีก ก็ยิ่งหนักเข้าไป แต่ถึงจะเป็นกุศล เป็นทาน เป็นศีล ขณะนั้นเป็นความผ่องใสของจิต ขณะนั้นก็ดีงาม แต่ก็ยังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง และถึงแม้จะมีการอบรมเจริญกุศลถึงขั้นที่จะไปเกิดในภูมิที่มีอายุสูงๆ และเป็นสุคติภูมิ อย่างเช่นพรหมโลก แต่ก็ยังไม่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางใจ ก็ยังไม่ตื่น จากความไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นเมื่อมีการอุบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะต้องเป็นการรู้ถึงความจริง โดยรู้สภาพธรรมที่จริง จริงๆ ตื่นจากความไม่รู้ในสภาพธรรม เบิกบานเพราะว่ามีความเข้าใจถูกแล้ว จากสิ่งที่รู้ได้ยาก เห็นได้ยาก และละเอียดมาก

    เพราะฉะนั้น ความหมายของพุทธะจึงลึกซึ้งไปจนถึงขณะนี้ที่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ แม้จิตจะเป็นกุศลประกอบด้วยปัญญาขั้นฟัง ก็เป็นไปเพื่อที่จะตื่นจริงๆ แต่ก็ยังไม่ได้ว่าตื่นจริงๆ เพราะฉะนั้นในความว่าตื่น คือพุทธะ ซึ่งพุทธะก็มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธะ ที่ตื่นด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องมีใครปลุกเลย ตื่นด้วยพระบารมีที่สะสมมา พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ตื่นด้วยพระองค์เอง แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตื่นด้วยพระองค์เอง แล้วทรงสามารถที่จะปลุกผู้อื่นให้ตื่นโดยการแสดงพระธรรม ซึ่งเหมาะควรกับอัธยาศัยของสัตว์โลก ที่จะทำให้ผู้ที่สะสมมาพอที่จะปลุกแล้วตื่นได้ ได้ตื่นด้วยพระธรรม ที่พระองค์ท่านทรงแสดง เพราะฉะนั้นผู้ที่ตื่นตาม ก็คืออนุพุทธะ รู้ตามความเป็นจริงที่พระองค์ทรงแสดง ตื่นตามที่พระธรรมปลุก แล้วจิตก็ปลอดโปร่งจากอกุศลจากการประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็สะสมกันไปเหมือนฝัน แต่ก็เป็นฝันที่ดี ก็เป็นฝันแห่งการอบรมเจริญปัญญาจนกว่าที่จะตื่นทีละขณะ ในขณะที่กำลังปรากฏจริงๆ

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ฟังแล้ว เป็นที่อาศัยที่มีกำลังนั่นเอง เป็นปัจจัยให้รู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้

    อ.วิชัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็ทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม ก็เพราะเหตุว่ามีหนทางของการที่จะเป็นผู้ที่รู้ตามได้ ถ้าบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะรู้ตามพระองค์ได้ พระองค์ก็คงไม่ทรงแสดงพระธรรม แต่ที่ทรงแสดงพระธรรม เพราะเหตุว่าสามารถที่จะให้ผู้ที่ฟัง หรือว่าผู้ที่อบรมเจริญปัญญามาพร้อมสามารถที่จะฟัง พิจารณา และก็อบรมเจริญปัญญา รู้ตามพระองค์ได้ เป็นสาวก แสดงว่าก็ยังมีหนทางที่จะเป็นผู้ที่ตื่นได้ แต่ว่าก็ต้องเป็นผู้ที่รู้จักหนทาง เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย กระทำสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ความเข้าใจ ผลก็คือก็เป็นไปเพื่อความไม่รู้ เป็นไปเพื่อความไม่เข้าใจ แต่เริ่มต้นของหนทางคือ ต้องเป็นผู้ที่เริ่มเข้าใจถูกว่าขณะนี้ความจริงคืออะไร มีสิ่งหรือลักษณะใดที่สามารถที่จะรู้ และเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าธรรม ก็คือเป็นสิ่งที่มีจริงๆ และก็กำลังปรากฏทุกๆ ขณะในขณะนี้ แต่ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย ก็ไม่สามารถที่จะรู้แม้ธรรมที่มีขณะนี้ ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมที่มีในขณะนี้ได้ แต่พระองค์ทรงพระมหากรุณาคุณที่จะแสดงให้เข้าใจจริงๆ ว่าลักษณะของธรรมที่มี มีลักษณะอย่างไร อย่างเช่นธาตุรู้ สภาพรู้ขณะนี้ก็มี เพราะเหตุว่ามีสภาพรู้สิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ แต่ว่าสภาพรู้ ก็มีหลายลักษณะ ลักษณะที่เป็นใหญ่เป็นประธานก็มี ทรงแสดงว่าเป็นจิต ก็อาจจะมีหลายคำ แต่ลักษณะของจิตไม่เปลี่ยนแปลง จะเป็นกาลไหนๆ ก็เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ แต่การเกิดขึ้นของจิต ก็มีธรรมอื่น ซึ่งไม่ใช่จิต เกิดร่วมกันกับจิตด้วย ซึ่งก็มีลักษณะต่างๆ กัน จะใช้ชื่อคำว่าเจตสิกก็ได้ มีลักษณะต่างๆ กัน เป็นความรู้สึก ทุกท่านก็เคยมี อาจจะดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ทางกาย เป็นความรู้สึก เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก ที่เกิดร่วมกันกับจิต เมื่อจิตเกิดขึ้นขณะใด ความรู้สึกหรือเวทนาก็เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ถ้ามีโอกาสได้ยินได้ฟัง ก็ค่อยๆ พิจารณาถึงลักษณะของธรรมที่มี และก็กำลังปรากฏอยู่

    ส่วนอีกสภาพธรรมหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่ธาตุรู้อย่างจิต และเจตสิก เป็นสภาพที่ไม่รู้ แต่ว่าก็มีจริง สภาพธรรมที่ไม่รู้ เป็นรูปธรรม มีลักษณะ อย่างเช่น ธาตุดินไม่รู้ แต่ว่ามีปรากฏในลักษณะของการที่จะแข้นแข็ง อ่อนแข็ง เป็นลักษณะที่ปรากฏได้ทางกาย ก็ทรงแสดงโดยละเอียด ว่าปรากฏ ธาตุนี้กระทบอะไร ไม่ใช่กระทบตา ไม่ใช่กระทบหู แต่กระทบที่กายเท่านั้น เมื่อกระทบกายแล้ว จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ในลักษณะที่แข็งนั้นๆ ที่กาย การฟังแล้วพิจารณาขณะนี้ก็จะเป็น สังขารขันธ์ปรุงแต่ง ให้มีการเริ่มจากตอนแรกคือไม่รู้อะไรเลย และก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในลักษณะของธรรมทีละลักษณะ และก็เข้าใจว่าที่เคยสำคัญว่าเป็นบุคคล สิ่งต่างๆ มากมาย แต่ตามความเป็นจริงแล้วถ้าพิจารณาทีละขณะ ก็เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏเป็นธรรมจริงๆ แล้วก็มีธาตุรู้ และก็สภาพธรรมที่ไม่รู้ มีอยู่ และกำลังปรากฏอยู่ทุกขณะ แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่ต้องอบรมเจริญปัญญา และก็สามารถที่จะรู้ และเข้าใจได้

    อ.กุลวิไล ก็ต้องมีความมั่นคงว่าทั้งหมดเป็นธรรม ถ้าไม่ได้ยิน ได้ฟังพระธรรม เราจะไม่ทราบว่าขณะนี้มีธรรม เพราะคุ้นเคยกับโลกของบัญญัติเป็นบุคคลต่างๆ แต่ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และมีลักษณะให้รู้ได้ ดังนั้นลักษณะของธรรมก็มีด้วยกัน ๒ อย่าง ไม่พ้นธาตุรู้หรือธรรม ที่เป็นสภาพรู้ อาการรู้นั่นเอง กับธาตุที่ไม่รู้อะไรเลย ซึ่งก็คือรูป ในชีวิตประจำวัน ถ้าท่านศึกษาธรรมแล้ว ท่านจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจต้องมีธรรม ทางหนึ่งทางใด และแต่ละทางก็มีความแตกต่างกัน

    ได้สนทนากับหลายท่านบอกว่า นั่งฟังธรรมในห้องนี้ ทุกท่านก็พอเข้าใจได้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม และธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง หลายท่านเวลาที่นั่งที่นี่ก็เข้าใจเรื่องราวของธรรม ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง มีลักษณะจริง แต่เมื่อลุกออกไปจากห้องนี้แล้ว ก็หลงลืมสติเป็นปกติ คือไม่ได้มีความที่จะใส่ใจ หรือสนใจที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมในชีวิตประจำวันเลย

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมดาของธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่รู้ความจริงมีมากกว่า เพราะฉะนั้นรู้นิดหน่อยเข้าใจนิดเดียว ต่อจากนั้นก็คือไม่รู้ และไม่เข้าใจต่อไป เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ต้องฟัง จนกระทั่งเข้าใจ เพราะว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ แต่ฟังแล้วกว่าจะเก็บเล็กผสมน้อย จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ว่าเป็นธรรม ก็ต้องฟังไปเรื่อยๆ แล้วแต่ละคำก็มีประโยชน์ ที่จะทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เช่น เพียงจิตไม่เกิดจะมีอะไรหรือไม่ อะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย ที่จะเป็นคนนั่งอยู่ในห้องนี้ก็ไม่ได้ จะเป็นข้างนอกที่ไหนๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น เพียงจิตไม่เกิด นี่เป็นความจริง แต่เราก็ไม่เคยคิด แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ สั้นๆ ง่ายๆ ซึ่งเป็นความจริง เพื่อที่จะให้ไม่ประมาทที่จะรู้ว่าขณะนี้ เพราะมีจิต เพราะจิตเกิด เพราะจิตเป็นสภาพรู้ เพราะจิตเป็นธาตุรู้ เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ จึงมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฎ เพราะจิตกำลังรู้สิ่งนั้น ไม่ใช่เรา หรือใคร

    ขณะที่ได้ยิน เพราะจิตเกิด รู้เฉพาะเสียง รู้อย่างอื่นไม่ได้เลย นี่ก็แสดงความเป็นอนัตตาของธรรม ว่าจิตก็มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แล้วก็เป็นธาตุรู้ เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ แต่ก็ยังรู้ได้เฉพาะสิ่งซึ่งจิตประเภทนั้นสามารถจะรู้ได้ เช่นจิตได้ยิน จะคิดนึกไม่ได้เลย ขณะที่เสียงปรากฏ เสียงเท่านั้นปรากฏ ไม่ใช่เรื่องราวของเสียง ที่ได้ยินเป็นคำพูดต่างๆ เข้าใจว่าคนโน้นคนนี้กำลังพูดติชมหรืออะไรต่างๆ ก็ไม่ใช่ เพราะเพียงชั่วขณะที่เสียงปรากฏก็แสดงว่าต้องมีธาตุที่ได้ยินเสียง เสียงนั้นจึงปรากฏได้

    เพราะฉะนั้นก็ทำให้เริ่มเข้าใจจากการที่ฟังแล้วก็พิจารณาจนกระทั่งเข้าใจได้ ว่าจิตมี และจิตไม่ใช่เรา และจิตไม่ใช่ใคร จิตเป็นธาตุหรือธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุรู้เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ แต่ว่าจะรู้อะไรก็หลากหลายมาก เพราะตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยขาดจิต แต่ยึดถือจิตว่าเป็นเราหมดเลย จนกระทั่งตาย เมื่อไหร่ จิตที่จะเกิดรู้สิ่งที่ปรากฏในโลก ซึ่งเคยรู้ก็ไม่สามารถที่จะรู้โลกนั้นต่อไปอีกได้ เพราะว่าจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติขณะสุดท้ายของชาตินี้ก็รู้สิ่งที่ปรากฏในโลกซึ่งไม่ใช่โลกนี้ เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว แล้วแต่ว่าความชั่วคราว จะน้อยจะมากสักแค่ไหน แต่ก็รู้ความจริง ดีกว่าอยู่ไปก็ไม่รู้ความจริง ถึงจะมีอายุยืนยาวสักร้อยปี แต่ไม่รู้ความจริงกับการที่มีโอกาสจะอยู่เพียงไม่มากนัก แต่ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ก็จะเห็นความต่าง เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงเรื่องจริงทั้งหมด สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพียงเท่านี้สลดหรือไม่ ไม่มีเราแน่ๆ แต่มีจิต มีธาตุซึ่งเกิดขึ้นรู้ และเพราะไม่รู้ว่า ธาตุนั้นเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป แต่สืบต่อโดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้เลยว่า ขณะนี้จิตกี่ประเภทแล้วที่เกิดแล้วก็ดับไป ไม่รู้ทั้งหมด นานๆ ก็จะเห็น นานๆ ก็จะคิด แต่ระหว่างเห็นกับได้ยิน จิตเกิดดับมาก โดยที่ว่าไม่รู้เลย เพราะความไม่รู้ ก็ยึดถือด้วยความเป็นเรา ด้วยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าการฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ไม่ต้องไปคิดว่าเข้าใจน้อย เข้าใจมาก เข้าใจก็คือเข้าใจ เข้าใจขึ้นก็คือเข้าใจ เข้าใจมากกว่านั้นอีกก็คือเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจสำคัญที่สุด ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา และก็มีคำอื่นๆ อีก แต่ให้ทราบความต่างกันว่า เพียงเท่านี้ยังไม่รู้ ว่าไม่มีเรา แต่มีจิต แล้วก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ยังมีจิตอื่นอีกหลายประเภท ซึ่งเกิดพร้อมกับเจตสิกอื่นๆ ซึ่งทำให้ชีวิตแต่ละขณะแต่ละวันเป็นไปตามจิต และเจตสิก ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จะสุข เพราะสภาพธรรมที่เป็นความรู้สึกที่สบายเกิดขึ้น ขณะนั้นเปลี่ยนให้เป็นทุกข์ไม่ได้เลย ต้องเป็นอย่างนั้น ตามธรรมที่เป็นอย่างนั้น ที่เกิดขึ้นแล้วใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ กำลังเจ็บ เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย เพราะสภาพความรู้สึกนั้นเกิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่ใช่ใครเลย เพราะว่าเจ็บไม่ใช่เห็น คือทุกอย่างเป็นธรรมที่ละเอียดมากเกิดดับสืบต่อ จะใช้คำว่าเนียนหรือแนบเนียนที่สุด เพราะว่าเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด เหมือนนายมายากล ที่สามารถที่จะแสดงสิ่งต่างๆ ที่น่าอัศจรรย์ ที่คนที่ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ที่ห้องนี้ มีใครหยิบนกออกมาจากหมวกได้บ้าง และก็ไม่รู้ด้วยว่าทำอย่างไร แต่เพราะความรวดเร็วแน่ๆ แต่ถ้าลองช้าๆ ใครก็ต้องรู้ว่าทำอย่างไร ใช่หรือไม่ แต่เพราะความรวดเร็วฉันใด ขณะนี้จิตก็เหมือนมายากล ที่จะลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความจริงก็เป็นธาตุ เป็นธรรมแต่ละอย่างจริงๆ มีปัจจัยเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็ดับไปจริงๆ แล้วก็สืบต่อกันจริงๆ ความไม่รู้ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น อย่าหวังหรืออย่าคิดที่จะรู้การเกิดดับของสภาพธรรม แต่ว่าจะเป็นไปได้ต่อเมื่อ เมื่อเกิดจริงๆ ดับจริงๆ ก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจถูก ในลักษณะที่หลากหลายของธรรมแต่ละอย่าง

    อ.กุลวิไล จิตเป็นมายากล ไม่มีเรา มีแต่จิตเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆ แค่ได้ยินเสียง เสียงก็ปรากฏทางหู แต่เรื่องราวมาจากไหน ต้องมีการคิด จิตก็เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์ ขณะนั้นที่คิดก็เพราะเราจำความหมายของคำได้ เรื่องราวต่างๆ มามากมาย ทั้งๆ ที่เสียงก็ดับไปแล้ว จิตจึงเป็นมายากล

    อ.วิชัย ความรู้ความเข้าใจที่จะรู้ และเข้าใจถูกในสภาพจิตที่เกิดดับรวดเร็วอย่างนี้ เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญาแน่นอน เพราะฉะนั้นปัญญาต้องเกิด เจริญขึ้นตามลำดับ ขณะนี้รู้ลักษณะของจิตหรือไม่

    อ.วิชัย เพียงเข้าใจว่ามีจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจ แต่ไม่ได้รู้ลักษณะที่เป็นจิต เพราะฉะนั้นเป็นปริยัติ ความเข้าใจจากการฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ โดยที่ว่า ฟังเข้าใจ แล้วก็ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    14 มี.ค. 2567