พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 668


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๖๘

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ ถ้าวันนี้ฟังแล้วเข้าใจได้แค่นี้ ต่อไปฟังอีกก็สามารถที่จะไม่ลืมสิ่งที่กำลังกล่าวถึง เช่นเห็น หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง หรือได้ยิน หรือว่าคิดนึก ฟังเมื่อไรก็อย่างนี้ แต่ว่าอบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะเข้าใจอย่างอื่น หรือจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ในเมื่อสิ่งอื่นยังไม่มาถึง ยังไม่มี ยังไม่ปรากฏ และสิ่งที่หมดไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก มีแต่สิ่งที่เป็นความจริงซึ่งเป็นสัจธรรมที่สามารถรู้ได้แน่นอน ถ้ารู้ไม่ได้พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงไหม ก็ตรัสรู้เฉพาะพระองค์เอง แต่รู้ว่าสิ่งนี้สามารถที่จะอุปการะเกื้อหนุน อนุเคราะห์ให้คนอื่นได้สามารถเข้าใจถูก ก็ทรงแสดงพระธรรมซึ่งยังไม่อันตรธาน ถ้าอันตรธานก็คือว่าไม่มีใครสามารถที่จะเข้าพระธรรมที่ทรงแสดง แม้ว่าจะมีพระไตรปิฏกเก็บรักษาไว้อย่างดีต่อไปอีกนานสักเท่าไรก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความเป็นจริงของพระธรรมที่ทรงกล่าวว่าธรรมที่มีจริงๆ ทุกขณะ

    กำลังเห็นลืมแล้ว ใช่ไหม เมื่อสักครู่กล่าวถึงเรื่องเห็นกับสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเป็นปกติไม่ได้ผิดปกติ นานๆ ก็จะเข้าใจได้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก็ยังดีกว่าไม่เข้าใจ ฟังนานๆ ค่อยๆ บ่อยๆ ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจขึ้นโดยไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นข้อความในพระไตรปิฏก ว่าไม่ใช่โดยการไม่รู้อะไรก็ไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะได้ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญา เป็นความเห็นที่ถูกต้องซึ่งเป็นปกติ เพราะฉะนั้นเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงแต่ฟัง และเดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ได้ยินอีกฟังอีก ก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเริ่มที่จะเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อยว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แค่นี้แล้วก็นานๆ จะเข้าใจอีก แค่นี้ก็ถูกใช่ไหม จนกว่าจะถึงกาลซึ่งไม่ลืมจริงๆ สามารถที่เริ่มรู้ลักษณะที่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ติดข้องอะไรในสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ชั่วคราวสั้นมากแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ทั้งหมดทุกขณะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตา รู้จักพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มบ้างไหม จากการได้ฟังพระธรรม มิฉะนั้นก็เพียงกล่าวว่าพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ แต่พระปัญญาคุณ รู้อะไร ถ้าไม่ศึกษาไม่สามารถที่จะรู้ได้ รู้ทุกอย่างที่มีจริงที่ปรากฏพร้อมทั้งเหตุที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์เคยบอกว่า “สิ่งที่ปรากฏทางตาร้องเพลงไม่ได้ พูดไม่ได้”

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตาร้องเพลงไม่ได้ พูดไม่ได้ก็เห็นพูดใช่ไหม เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตากำลังพูด และจะบอกว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาพูดไม่ได้ เพราะอะไร เห็นไหม ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเฉยๆ ว่า “สิ่งที่ปรากฏทางตาพูดไม่ได้” ฟังอย่างนี้ก็ยังงงไปอีกนานอาจหลายวัน หลายเดือน หลายปีก็ได้ เพราะไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นเพียงธาตุที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ไปประมวลถึงนิมิตสัณฐานของสิ่งที่รวมกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวก็จำว่ากำลังพูด หรือกำลังเดิน หรือว่ากำลังทำอะไร เพราะฉะนั้น แต่ละขณะก็เป็นแต่เพียงชั่วขณะที่สั้นมากของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อ จนรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นแท่ง เป็นคณะ ทำให้มีการจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ว่าจะเคลื่อนไหวจะพูด หรือจะทำก็เป็นเพียงสิ่งปรากฏให้เห็นได้ ถ้าเข้าอย่างนี้หมดเรื่องใช่ไหม เพราะเหตุว่าหมดแล้ว ก็เห็นแล้ว ก็หมดแล้ว จบแล้ว

    อ.กุลวิไล เรามักจะรวมทั้ง ๖ ทวารไม่รู้ความต่างของสภาพธรรมแต่ละทาง เสียงปรากฏทางหู เสียงไม่ได้ปรากฏทางตา ทางตาเงียบ แต่เราคิดนึกต่อเป็นบุคคลต่างๆ กำลังพูด ทั้งๆ ที่ทางตามีแต่สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วต่อกัน หรือไม่ เห็นกับได้ยิน หรือมีอะไรคั่น ถ้าศึกษาโดยละเอียดก็จะทราบว่ามีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อ แม้ในขณะนี้ก็ไม่ปรากฏเหมือนอยู่ในความมืดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นแสงสว่างซึ่งสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ในความมืด มีไม่ใช่ไม่มี แต่ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ ให้ไปทำอะไร หรือไม่ ให้ไปบังคับอะไร หรือไม่ ให้ไปดูอะไร หรือไม่ ในความมืดดูอะไรได้ แต่สามารถที่จะเริ่มเข้าใจว่ามีอะไรที่ไม่ได้สว่าง ที่ไม่ได้ปรากฏให้เห็นได้ แต่มี

    ฟังอย่างนี้เป็นพระโสดาบันได้ หรือยัง รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ หรือยัง วิปัสสนาญาณเกิด หรือยัง นี่คือการที่เราใช้คำโดยที่เราไม่รู้ เพราะฉะนั้นบางคนก็สงสัยว่า “ขณะที่กำลังมีลักษณะปรากฏแล้วรู้นั้นเป็นวิปัสสนาญาณใช่ไหม” แค่นี้ก็คือว่าไม่ได้ฟังมากพอที่จะเข้าใจความหมายของปัญญา แต่ละคำซึ่งมีชื่อต่างๆ กัน “ปัญญา” “ปัญญินทรีย์” “วิปัสสนา” แล้วก็ยังมีอีกหลายคำทีเดียว ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นระดับขั้นของสิ่งที่ได้อบรมแล้ว เจริญแล้วจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง ใช้สับสนไม่ได้

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏย่อมติดข้อง เพราะความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ก็ถามต่อแล้วใครติดข้อง ใครไม่ติดข้อง เห็นไหม ความจริงต้องเป็นความจริง ถ้าไม่ใช่ปัญญาถึงระดับขั้นของพระอริยบุคคลแต่ละขั้น ก็ไม่สามารถที่จะละความติดข้องแต่ละประเภทของธรรมที่เป็นอกุศลได้ แค่กระพริบตาสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏไหม หลับตาลงไปนิดหนึ่งสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ หรือไม่ ไม่ปรากฏ แต่ทุกคนก็หลับตากระพริบตา ก็เหมือนมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาที่ยังไม่ได้ดับ นี่แสดงถึงความเข้าใจ ถ้าเข้าใจก็สามารถที่จะเข้าใจขณะไหนก็ได้ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง การที่จะเข้าใกล้สภาพธรรม หรือว่ารู้ หรือว่าเห็นตามความเป็นจริง หรือว่าเข้าใจตามความเป็นจริงเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จะเข้าใกล้ ใครฟังธรรมขณะนี้ เป็นธรรมแต่จะเข้าใกล้ธรรมหมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง จริงๆ ขั้นที่เห็นตาม หรือว่าขั้นที่รู้ลักษณะยังเป็นสิ่งที่ห่างไกล ไม่ได้ใกล้เลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างว่า ในสมัยพุทธกาลอย่างพูดถึงเรื่องเสียง เสียงก็ปรากฏ แต่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นคิดนึกเรื่องราว หรือว่าอย่างพูดถึงเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาก็รูปพรรณสัณฐาน และก็เรื่องราว

    ท่านอาจารย์ คนในสมัยพุทธกาลที่เห็นผิดจากพระธรรมคำสอนที่ใช้คำว่า “เดียรถีย์” ผู้ที่มีลักษณะอื่น หรือความเห็นอื่นมีไหม?

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมเขาไม่เห็นถูก แม้ใช้คำว่าในครั้งพุทธกาล คนที่ฟังเรื่องธรรมหนึ่งธรรมใดที่กำลังปรากฏก็สามารถที่จะเข้าใจ และรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ ก็มี ไม่รู้ ก็มี เพราะฉะนั้นกล่าวถึงบุคคลที่รู้ในครั้งพุทธกาล ซึ่งในครั้งนั้นก็มีคนที่ไม่รู้มากมาย เหมือนทุกยุคทุกสมัย

    ผู้ฟัง ทีนี้ปัญญาขั้นการเข้าใจจะนำไปสู่การรู้ลักษณะได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพียงเข้าใจไม่พอที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมถ้าเป็นการรู้เรื่อง แต่ขณะนี้มีสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ ให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังจนกว่าเมื่อไรเริ่มเข้าใจ ลักษณะของธรรมที่มีจริงขณะนี้ ก็เป็นทางที่จะรู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นคำจริงทุกคำ ฟังเพื่อละ แต่นี่ฟังเพื่อจะเอา เห็นไหม หาทาง แล้วทำอย่างไรจากขั้นนี้จะไปสู่ขั้นนั้นได้เพื่อจะเอา ไม่ใช่เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งเดี๋ยวก็ไม่รู้ทางตา พอเสียงปรากฏก็ไม่รู้ทางหู พอคิดนึกก็ไม่รู้ที่คิดนึก ไม่รู้ไปหมด แล้วจะไปถึงระดับนั้น ขั้นนั้นได้อย่างไร ก็หาทางอื่นด้วยความต้องการ ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง ความเห็นที่ถูกต้องคือละความไม่รู้ ถ้าละไปๆ ความไม่รู้หมด ถูกต้องไหม เพราะรู้ รู้จนความไม่รู้หมด

    ผู้ฟัง แต่ส่วนใหญ่เป็นคิดนึกต่อ

    ท่านอาจารย์ คิดนึกมีจริง หรือไม่ เห็นไหม คิดนึกก็คิดนึก เกิดมาได้อย่างไร คิดนึกก็เป็นธรรมก็ไม่รู้อีก และจนกว่าจะรู้หมดรู้ทั่ว ไม่สงสัย หมดความไม่รู้ในขณะที่คิดว่าก็เป็นธรรมที่ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่นแต่คิดคือรู้คำที่คิด “พระนครสาวัตถี” รู้คำอะไร มีเสียงแล้วก็จำได้ถึงความหมายเข้าใจเลย “พระนครสาวัตถี” เป็นธรรม หรือเป็นเรา

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ จนกว่าทุกอย่างเป็นธรรม คำจริงต้องจริงโดยตลอดเปลี่ยนไม่ได้เพราะเป็นคำที่แสดงความจริงซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่เป็นของใคร บังคับบัญชาไม่ได้

    ผู้ฟัง ฟังจนก้องอยู่ในหัวแล้ว

    ท่านอาจารย์ แต่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ หรือยัง ไม่ใช่ให้เราฟังจนก้องอยู่ในหัวนั่นคือเรา เราอยากจะฟังมากๆ ฟังไม่พอ ฟังจนกว่าจะก้องอยู่ในหัว นั่นคือเรา แต่ถ้าฟังเพื่อเข้าใจว่า “ไม่มีเรา” ถูกต้องกว่าไหม?

    ผู้ฟัง สองอย่างนี้คือความรู้สึกต่างกันใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน อย่างหนึ่งต้องการให้ก้องอยู่ในหู แต่อีกอย่างฟังแล้วรู้ว่าเป็นธรรม ค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการฟังที่สำคัญคือฟังเพื่ออะไร ฟังเพื่อเราจะรู้ ฟังเพื่อเราจะได้เป็นพระโสดาบัน แต่ว่าถ้าฟังเพราะไม่รู้ ฟังเพื่อเข้าใจ และความจริงก็เป็นความจริง ความติดข้องความโลภเกิดขึ้น ความพอใจเกิดขึ้นก็เป็นธรรม ไม่อย่างนั้นฟังทำไม ก็ต้องรู้ว่าฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อให้รู้ว่าทุกอย่างมีลักษณะหลากหลายมากธรรมไม่ใช่อย่างเดียว โลภะก็เป็นธรรม โทสะก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม เมตตาก็เป็นธรรม ทุกอย่างทุกขณะในชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด ฟังเพื่อเข้าใจอย่างนี้ว่า ”ไม่มีเรา” ไม่ใช่ฟังเพราะเราอยากจะเข้าใจให้มากกว่านี้ เห็นเป็นเรา หรือว่าเป็นธรรม?

    ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ทำไมว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เป็นจิตที่เห็น

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นอย่างไร?

    ผู้ฟัง จิตก็เป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นเห็น เกิดเองได้ไหม?

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เข้าใจว่าเห็นเป็นธรรม เพราะเข้าใจเหตุที่ทำให้เกิดเห็นว่า บังคับบัญชาไม่ได้ และกำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น หรือไม่ เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จนกว่าจะใช่

    ผู้ฟัง ที่ฟังมา ธาตุรู้คือจิตจะต้องมืด

    ท่านอาจารย์ ถูกไหม?

    ผู้ฟัง ยังไม่ประจักษ์ก็ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ไม่ประจักษ์เพราะมืด ในความมืดมีอะไรตั้งหลายอย่าง มีจิต มีเจตสิก มีเสียง มีกลิ่น มีอ่อน มีแข็ง มีเย็น มีร้อน มีคิดนึก มีทุกอย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ทางตา ทุกอย่างอยู่ในความมืดสนิท น่าตกใจไหม อยู่ในความมืดสนิท แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นให้คิดเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เพียงแค่ปรากฏให้เห็นนิดเดียวก็เป็นเรื่องใหญ่ตลอดชีวิต

    ผู้ฟัง ถ้ามืดสนิทจริงๆ จะปรากฏได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีจริง หรือไม่

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงปรากฏลักษณะของสิ่งที่มีจริง จะเป็นลักษณะอื่นไม่ได้ เมื่อจิตมืดจิตจะปรากฏว่าเป็นสว่างได้ไหม?

    ผู้ฟัง ปรากฏสว่างไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ลักษณะของจิตเป็นธาตุรู้ มีจริง หรือไม่

    ผู้ฟัง ธาตุรู้มีจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธาตุรู้นั่นมืด หรือไม่ แม้มืดก็ยังรู้ได้ว่าธาตุรู้มี โกรธมืดไหม?

    ผู้ฟัง โกรธมืด

    ท่านอาจารย์ แต่มีโกรธที่จะรู้ได้ว่าลักษณะนั้นมี แม้ไม่ได้ปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างเป็นอะไรทั้งสิ้น แต่โกรธมี และมืดด้วย โกรธสว่างไม่ได้ มืดสนิทนั้นมีธาตุโกรธเกิดขึ้น ความขุ่นใจ ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจก็มีทุกอย่างในความมืด

    เพราะฉะนั้นโลกของผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลกับโลกของพระอริยบุคคลต่างกันไหม โลกของคนที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลเหมือนทุกอย่างมีในความสว่าง แต่ตามความเป็นจริงเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แล้วก็ดับไปจากนั้นก็มืด ทุกครั้งที่สว่างคือสิ่งนั้นปรากฏให้เห็นได้ทางตาแล้วดับไปแล้วก็มืด

    เพราะฉะนั้นในความมืดนั้นคือสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธาตุรู้ และรูปที่ไม่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างจริงๆ อยู่ในความมืดเว้นขณะที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น พอเห็นก็คนโน้นบ้าง คนนี้บ้างใช่ไหม รูปร่างอย่างนั้น รูปร่างอย่างนี้ สุนัขตัวนี้ก็น่ารักดี ตัวนี้ก็เล็ก ตัวนั้นก็ใหญ่ ขนฟู ขนเรียบอะไรก็ตามแต่ เป็นที่พอใจทั้งหมดเมื่อเห็น แต่ว่าจำไว้ในความมืดเมื่อไม่เห็น ทั้งๆ ที่ไม่มี คิดดู ไม่มีอีกแล้วเพียงปรากฏแล้วก็หมดไป ปรากฏให้เห็นแล้วก็หมดไป แต่ความทรงจำกับเรื่องราว และความสำคัญในสิ่งต่างๆ แม้ในตัวเองก็มีใช่ไหม?

    ส่องกระจกทีไรเป็นเรา จำได้ไหม มีอีกไหมให้จำ แค่จำไม่เห็นแต่ก็จำ ตอนเป็นเด็กต้องเอารูปมาดูใช่ไหม รูปตอนเป็นเด็กๆ ก็ยังบอกว่านี่รูปเรา ไม่เห็นเหมือนเลยใช่ไหม แต่ก็ยังเป็นเราเพราะจำไว้แล้ว ก็ไม่ลืมด้วย แม้ไม่เห็นก็ยังจำ แล้วใคร ไม่เห็นมีอะไรนอกจากจำ เพราะฉะนั้นสิ่งที่แม้ปรากฏก็หมดไปโดยไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมโดยละเอียดจริงๆ และเริ่มเข้าใจจริงๆ โดยมากเราชอบชื่อ ติดชื่อคิดว่ารู้ชื่อคือรู้ธรรม แต่ความจริงต้องรู้ว่าชื่อเป็นแต่เพียงแสดงให้รู้ว่ากล่าวถึงสภาพธรรมอะไร เช่นขณะนี้ชื่อปิดบังสภาพความจริงของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริง หรือไม่ ถ้าจะเรียกว่าวัณณะ วัณโณ รูปารมณ์กับไม่เรียกอะไร แต่ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นต้องมีจริง ถ้าจะรู้ความจริงคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้ไม่ต้องไปจำ หรือว่าคิดถึงชื่อ แต่ถ้าไม่อาศัยชื่อซึ่งเป็นคำๆ ก็จะไม่รู้ว่าหมายความถึงสิ่งใด แต่ละคำๆ ที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้น สำคัญกว่าเพียงไปจำชื่อ แต่ให้รู้ว่าคำ หมายความถึง ส่องถึง ลักษณะที่มีจริงๆ เช่นขณะที่กำลังเห็นไม่ต้องใช้ชื่อ แค่กำลังเห็นมีใครจะปฏิเสธว่าไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบ้าง กำลังมีสิ่งหนึ่งที่ปรากฏสิ่งนั้นต้องมีจริงจึงสามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดถึงว่าจักขุวิญญาณกำลังเห็นรูปารมณ์ เพียงแค่คำว่า ”จักขุ” ขณะนั้นก็ไม่ได้รู้ลักษณะของจิต จักขุวิญญาณกำลังพูดมีคำว่าจักขุวิญญาณก็ไม่ได้รู้ลักษณะของจิต พูดว่า “รูปารมณ์” ก็ไม่ได้รู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ แต่สามารถที่จะฟัง และเข้าใจได้ว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ที่ควรเข้าใจขึ้น คือสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เช่นขณะนี้ถ้าไม่คิดถึงคำว่า “สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้” ไม่คิดคำว่า “รูปารมณ์” มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ คือให้รู้ลักษณะที่มีที่กำลังปรากฏให้เห็นได้แล้วเริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรมเพราะมีจริง ก่อนที่จะไปถึงเรื่องราวอีกมากมายของธรรมก็ให้เริ่มรู้ว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องเรียกชื่อขณะใด ขณะนั้นลักษณะที่มีจริงกำลังปรากฏ แข็งปรากฏ หรือไม่ ขณะกำลังปรากฏเรียกแข็ง หรือไม่ ไม่ต้องเรียกแต่ลักษณะของแข็งมีให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ แต่ก็ไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เกิดดับ เพราะฉะนั้นการฟังคือฟังให้มีความเข้าใจที่มั่นคงเป็นสัจญาณถึงความไม่เที่ยง เพราะการปรากฏเพียงเล็กน้อย และการเกิดดับอย่างรวดเร็วจึงไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้ทันที แต่จากการฟังค่อยๆ เข้าใจว่าสิ่งที่ควรรู้คือสิ่งที่มีลักษณะจริงๆ ที่ปรากฏได้แต่ละทาง แทนที่จะไปติดคำว่า ”ขันธ์ ธาตุ อายตนะ” แล้วก็ไปเรียกชื่อ แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมใช้คำว่า “ขันธ์” ก็ในเมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงแล้วทำไมยังต้องใช้คำนี้ด้วย ใช้คำนี้เพื่อแสดงให้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงนี้เกิดแล้วก็ดับไป แล้วสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก แล้วสิ่งที่เกิดใหม่ก็ไม่ใช่สิ่งเก่า ลักษณะของสิ่งที่เกิดใหม่ แม้เป็นสภาพที่เกิดทางหูได้ ก็จริงแต่คนละเสียง เสียงก็ปรากฏคนละลักษณะ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความเล็กน้อยของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งถ้ารู้จริงๆ ก็รู้อย่างนี้ ไม่ใช่รู้อย่างอื่น เพียงแต่ว่าไม่ไปติดข้องในเรื่องของคำโดยที่ไม่เข้าใจความหมายของคำ แต่ต่อไปนี้พูดถึงธรรมก็รู้ คือสิ่งซึ่งไม่ต้องเรียกอะไร ลักษณะมีปรากฏให้รู้ได้ พูดถึงขันธ์ก็แสดงความจริงของลักษณะของธรรมที่มีจริงนั้น ให้รู้ว่าหลากหลายเกิดดับไม่กลับมาอีกแล้วก็เกิดเป็นหยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ภายในบ้าง ภายนอกบ้าง ก็เป็นความจริงทุกอย่างที่ใช้คำให้รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เป็นอย่างนั้นเพื่อที่จะได้เข้าใจในความที่ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใครแล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    ผู้ฟัง ธาตุรู้ รู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน และแข็งนี้ก็คือสิ่งที่มืดสนิท

    ท่านอาจารย์ อะไรมืดสนิทบ้าง?

    ผู้ฟัง ก็ทั้งจิตเห็น จิตได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเว้นอะไร

    ผู้ฟัง เว้นรูป

    ท่านอาจารย์ รูปเดียวที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เว้นรูปนั้น แล้วทุกอย่างอยู่ในความมืด


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 183
    24 ธ.ค. 2566