พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 743


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๓

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


    ผู้ฟัง ถึงแม้คิดว่าจะเลือกได้ ก็ได้แค่เลือกใช่ไหม ส่วนจะได้อะไรนั้นไม่ใช่เพราะว่าเราเลือก

    ท่านอาจารย์ ต้องละเอียดจนกระทั่งว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย จักขุวิญญาณจะเกิดไม่ได้ถ้าปัญจทวาราวัชชนจิตไม่เกิดก่อน จะไปทำอะไร จะไปเลือกอะไร ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ต้องเข้าใจขึ้นแต่ละคำ ภวังคจิต ปฏิสนธิจิต ปัญจทวาราวัชชนจิตทั้งหมดก็แสดงความเป็นปัจจัยทั้งนั้น

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ถึงกิจการงานที่ท่านอาจารย์กล่าว เพราะว่าสภาพธรรมเมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องมีกิจ

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นกิจหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นกิจ

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นกิจหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นกิจ

    ท่านอาจารย์ หลับ มีกิจหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีกิจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คุณสุกัญญาทำหลับ แต่ว่าหลับคือ ขณะนั้นจิตเกิดขึ้นทำกิจดำรงภพชาติ แม้ไม่เห็นไม่ได้ยินไม่คิดนึกเลย ก็ยังจากโลกนี้ไปเป็นบุคคลอื่นไม่ได้ ยังคงต้องเป็นบุคคลนี้ต่อไป จนกว่าจะถึงกาลซึ่งกรรม สิ้นสุดของความเป็นบุคคลนี้ ก็จะทำให้เป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้ แต่ก็มีกิจอื่นไม่พ้นจากกิจการงานเลย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น สภาพธรรมแต่ละอย่าง เมื่อปรากฏขึ้นก็ต้องทำหน้าที่หรือมีกิจ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ผัสสเจตสิกเคยได้ยินชื่อไหม เจตสิกแรกที่กล่าว ทำกิจกระทบอารมณ์

    ผู้ฟัง แล้วต่างกันกับกิจการงานที่ท่านอาจารย์ถามอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเข้าใจว่าเป็นเราทำงาน ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ตั้งแต่บ่ายถึงเย็น โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วก็คือกิจของจิตนั่นเอง ซึ่งไม่เคยหยุด เดี๋ยวนี้ก็กำลังทำกิจ คุณสุกัญญาชอบกิจนี้ไหม กิจนี้คือกิจอะไร ขณะนี้กำลังทำกิจการงานกันหรือเปล่า และกิจอะไร ฟังธรรมก็เป็นกิจของจิต

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า การละกิเลสก็ด้วยการเข้าใจธรรม นี่คือกิจที่สำคัญที่สุด

    ท่านอาจารย์ งานใหญ่ที่สุด ทำเพื่ออะไร งานอื่นทำเพื่อการมีชีวิตที่จะไม่เดือดร้อน มีที่อยู่อาศัย มีเสื้อผ้า มีอาหาร มียารักษาโรคเพื่อชีวิตจะดำเนินไป แต่ไม่จบ อย่างไรก็ต้องเป็นไป ใครจะทำหรือไม่ทำ จิตต้องเกิดขึ้นทำกิจการงาน เพราะฉะนั้น กิจที่ใหญ่กว่ากิจต่างๆ ทั้งหลาย ก็คือกิจของการที่จะเข้าใจธรรม เพื่อที่จะดับกิเลส คุณสุกัญญาทำกิจนี้หรือเปล่า ขณะนี้กุศลทำกิจหรือเปล่า

    ผู้ฟัง กุศลก็ทำกิจ

    ท่านอาจารย์ กุศลประเภทไหน กำลังทำกิจอะไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นลักษณะของความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ทาน ไม่ใช่ศีล แต่ขณะนี้กำลังฟังธรรมก็เป็นกิจหนึ่งของกุศลจิต

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พยายามให้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น แล้วก็ต้องมีลักษณะของกิจ ของแต่ละประเภท แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าต้องเข้าใจธรรม จิต เจตสิก รูป เป็นปรมัตถ์ธรรม เป็นธรรมที่มีจริงๆ มีลักษณะซึ่ง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สิ่งใดก็ตามที่เกิดสิ่งนั้นดับ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ของใครจริงๆ ทั้งๆ ที่เกิดขึ้นทำกิจแล้วก็ไป หมดหน้าที่แล้ว จิตเห็นหมดหน้าที่แล้วไปแล้วดับแล้ว อยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วก็ดับ จิตได้ยินเกิดขึ้นใครจะมาทำหน้าที่ได้ยินไม่ได้เลย นอกจากจิตที่ได้ยิน เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็จบกิจนั้น หมดภาระกิจของจิตได้ยิน เพราะฉะนั้น จิต เจตสิก รูป ทำกิจการงาน เกิดขึ้นเพื่อทำกิจการงาน เฉพาะของตนๆ

    ผู้ฟัง ต้องเข้าใจให้ถูก และตรง และไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลยใช่ไหม มีแต่เพียงเท่านี้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่เข้าใจขณะนั้นมีความไม่เข้าใจเจือปนหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เข้าใจต้อง ไม่มีความไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างอื่นมาเจือปน เป็นอย่างอื่นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ต้องไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เวลาเสียงปรากฏอย่างอื่นจะมาปรากฏร่วมกับเสียง ให้เสียงนั้นเป็นอย่างอื่นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    อ.กุลวิไล ถ้าเราไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง ไม่เห็นความสำคัญของงานใหญ่ที่สุด ก็คือการเข้าใจธรรม นั่นคืองานที่สำคัญเพราะว่าเป็นไปเพื่อความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น บางคนก็ทำงานทุกวัน งานเพิ่มกิเลส แต่ว่าไม่มีสักวันหนึ่งที่จะทำงานละกิเลส

    อ.กุลวิไล เพิ่มโลภะ โทสะ โมหะ ด้วยความต้องการบ้าง ขุ่นเคืองใจบ้าง

    ท่านอาจารย์ บางคนตลอดชีวิต แล้วก็ไม่ใช่ชาติเดียวด้วย ทำงานจริงๆ แต่งานเพิ่มกิเลสทั้งนั้น

    ผู้ฟัง จากการที่ได้นั่งฟังตั้งแต่ต้น งานที่สำคัญที่สุดคือ การงานที่จะเข้าใจฟังพระธรรม งานละกิเลส เพราะก่อนหน้านี้ ก็เคยคิดกับตัวเองตลอดเวลาว่า ผมรู้สึกว่างานที่สำคัญที่สุดสำหรับผมก็คืองานที่ผมทำอยู่ เพราะว่าถ้าผมไม่ทำ เขาก็ไล่ผมออก ผมก็ไม่มีงานทำไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ไม่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ แต่งานฟังธรรม งานเข้าใจธรรม งานเข้าใจสภาพธรรมนี้ ผมไม่ทำก็ไม่มีใครไล่ผมออก ผมก็ไม่เดือดร้อนอะไร ที่ผ่านมาก็คือที่ไม่เป็นงานที่สำคัญอะไรสำหรับผมเลย วันนี้ผมเลยเข้าใจใหม่

    ท่านอาจารย์ ไม่เดือดร้อนเพราะคุ้นเคยกับกิเลส

    ผู้ฟัง คือ ไม่ทำก็ไม่มีใครว่าอะไรเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่เดือดร้อนเพราะไม่คุ้นเคยกับกิเลสที่ไม่มีใครว่า

    ผู้ฟัง แล้วจะเดือดร้อนอะไร ถ้าไม่ทำงานนี้

    ท่านอาจารย์ ก็คุ้นเคยกับกิเลส จริงๆ แล้วพระธรรมเป็นสิ่งซึ่งอบรมแล้วจะเห็นประโยชน์ เมื่อถึงกาลที่จะได้เข้าใจธรรมจริงๆ เช่น โลภะความติดข้อง ดีหรือไม่ดี ยังไม่ต้องไปคิดลึกมากมาย แค่ความติดข้องความต้องการ ดีหรือไม่ดี

    ผู้ฟัง ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ ไม่ดี เปลี่ยนไม่ได้ บอกแล้วใช่ไหม ว่าไม่ดี ต้องไม่ดีไปเรื่อยๆ ตลอด จะกลับมาเป็นดีไม่ได้ ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ลักษณะที่ไม่ดีก็ต้องไม่ดี แล้วก็อยู่กับความไม่ดี จนไม่รู้ว่าไม่ดี เห็นไหมความคุ้นเคยกับอกุศลกับความติดข้อง ต่อเมื่อไหร่ปัญญาสามารถที่จะพ้นจากความติดข้อง เมื่อนั้นจะรู้ประโยชน์ว่า ดีกว่าที่เคยคิดคือความติดข้องที่ว่าดี มากมายมหาศาลเมื่อไม่ติดข้อง แต่ตราบใดที่กำลังติดข้องอยู่ ความติดข้องนั่นแหละดี ใช่ไหม ดอกไม้ก็สวย อาหารก็อร่อย ทุกอย่างดีหมด ติดข้องเป็นความอบอุ่นเป็นความสบายใจเป็นความพอใจ เหมือนกับว่าขาดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เลย เพราะไม่เคยรู้สภาพที่พ้นจากความติดข้อง แล้วก็ลองเปรียบเทียบ สภาพที่พ้นจากความติดข้อง จะเหนือกว่าความติดข้องสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้นำทุกข์ใดๆ มาให้เลยทั้งสิ้น ไม่ต้องมีความกระวนกระวาย การที่จะต้องไปแสวงหา หรือการที่จะต้องเป็นทุกข์ เพราะได้หรือไม่ได้สิ่งที่ติดข้อง

    เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่ถึงภาวะนั้นมองไม่เห็นเลยว่า ความติดข้องเป็นทุกข์ เพราะชินกับความติดข้อง การแสวงหาความพอใจ ต่อเมื่อไหร่พ้นจากความติดข้อง เมื่อนั้นจะเป็นอิสระ และจะเข้าใจความหมายของคำว่า อิสระ พ้นจากความเป็นทาสของความติดข้อง เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นการงานที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถที่จะจากสิ่งที่คุ้นเคย ด้วยความไม่รู้ และด้วยความติดข้อง แม้ยาก และก็ช้าแต่ก็สามารถที่จะเป็นไปได้ด้วยความอดทน

    เพราะฉะนั้น ขันติบารมีจะอยู่ในบารมีอื่นทั้งหมด แม้แต่ทานบารมี เล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ แต่แม้กระนั้นความหวั่นไหวของใจก็มีใช่ไหม คนนี้ไม่ดี คนนั้นดี เวลาที่ให้คนไม่ดี กับเวลาที่ให้คนดี ใจหวั่นไหวหรือเปล่า เหมือนกันหรือเปล่า ขณะนั้นเพราะไม่มีขันติ ที่จะรู้ว่า ก็เป็นธรรมขณะนั้น ถ้าขณะใดที่การให้ เศร้าหมองเพราะคิดถึงผู้รับ ทำให้เป็นผู้ที่ไม่ตรง ขณะนั้นกุศลจิตไม่เกิด เป็นอกุศล หรือกุศลเกิดเพียงเล็กน้อย และอกุศลก็มีมาก เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะทำให้รู้ความจริง ด้วยความอดทนต่อการที่จะไม่รักไม่ชัง ในบุคคลผู้รัก เป็นไปได้ไหม

    ผู้ฟัง เป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจ เป็นการงานการหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นการงาน

    ท่านอาจารย์ ทำยากไหม

    ผู้ฟัง ยากมาก

    ท่านอาจารย์ ยากมากแต่ทำได้ไหม เมื่อมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่าธรรมทุกอย่างสอดคล้องกัน เป็นเรื่องของการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งถ้าไม่มีการสะสมมีศรัทธามาก่อน ในชาติปางก่อนๆ ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจ และได้เห็นประโยชน์แท้จริงของการงานที่จะต้องทำเพื่อดับกิเลส แล้วจะไปทำงานอื่น แล้วก็คิดว่างานอื่นสำคัญ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าจะต้องมีปัญญาที่เห็นว่า งานละกิเลส การหมดกิเลสเป็นสิ่งที่มีความสุข

    ท่านอาจารย์ ประเสริฐกว่าอย่างอื่น ไม่นำความทุกข์ใดๆ มาให้

    ผู้ฟัง มากกว่าการที่จะติดข้องซึ่งนำความทุกข์มาให้

    ท่านอาจารย์ ถ้ายังไม่ถึงภาวะที่พ้นจากความเป็นทาส ก็รู้สึกว่ากิเลสก็ยังดี อยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีกิเลส แต่ว่าถ้าพ้นจากกิเลสเมื่อไหร่ ก็จะเป็นอิสระแล้วก็จะเห็นภาวะที่เป็นสุขอย่างยิ่ง หรือว่าพ้นจากสภาพที่ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส

    ผู้ฟัง ปัญญาต้องมีเหตุปัจจัยที่เห็นประโยชน์ของการที่จะไม่มีกิเลส

    ท่านอาจารย์ การอบรมเจริญปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วจึงจะมีเหตุปัจจัยที่จะตั้งใจที่จะทำงานที่จะฟังธรรมแล้วก็ขัดเกลากิเลส

    ท่านอาจารย์ กำลังทำอยู่มากน้อยแล้วแต่โอกาส

    ผู้ฟัง ต่อไปนี้แสดงว่า ผมต้องมีงานเพิ่มจากงานประจำที่ทำอยู่ เป็นงานที่สำคัญที่สุดที่จะพลาดไม่ได้ที่จะต้องมาก่อนเสมอ แม้จะไม่ได้เงินเดือนไม่ได้อะไรทั้งสิ้น

    ท่านอาจารย์ ได้อริยทรัพย์

    ผู้ฟัง แต่มันยังไม่เห็นผลในชาตินี้

    ท่านอาจารย์ ได้ทรัพย์อันประเสริฐ ชาตินี้ได้ตา ได้หู ได้จมูก ได้ลิ้น ได้กาย ได้ใจ คิดนึกเหมือนกันหมด หิวเหมือนกันอิ่มเหมือนกัน ชอบเหมือนกันไม่ชอบเหมือนกัน ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วจะมีใครที่ต่าง ในฐานะของความเป็นผู้ที่สะสมมาที่จะเป็นปุถุชน เพราะฉะนั้น การงานที่จะพ้นจากภาวะของความเป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ทำได้เมื่อมีศรัทธา และเมื่อมีความเข้าใจธรรม และเห็นประโยชน์ มิฉะนั้น การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีประโยชน์กับใคร ไม่มีกับคนที่ไม่มีศรัทธาแน่นอน

    ผู้ฟัง แต่มันเป็นงานในระยะยาว ในระยะสั้นๆ ก็ไม่ได้เห็นผล และนำอะไรมาสู่เรามากน้อยเท่าไหร่

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเมื่อไหร่ ต่างกับที่ไม่เข้าใจแล้วใช่ไหม ยังไม่เห็นผลหรือ ว่าเพราะอะไรจึงเข้าใจได้

    ผู้ฟัง แต่ผลนั้นไม่สามารถนำมาซึ่ง รูป รส กลิ่น เสียง หรือทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ แต่เป็นผลของด้านนามธรรมซึ่งมันมองไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วต้องเป็นไปหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ต้องเป็นไป

    ท่านอาจารย์ อะไรทำให้ต้องเป็นไป

    ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป

    ท่านอาจารย์ กรรม และหมด ไม่มีกรรมเลยหรือที่จะทำให้ชีวิตต้องเป็นไป ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เวลานี้นับกรรมถ้วนไหม เห็นอยู่ตลอดเวลาเหมือนไม่ดับเลย คิดดู กรรมที่ทำมาแล้วมากมายสักแค่ไหน พอถึงได้ยิน ก็กรรมอีกเป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น กรรมไม่มีวันหมด เพราะฉะนั้น ผลของกรรมก็จะมีต่อไป ถ้ามีความมั่นคงในเรื่องผลของกรรม กุศลกรรมนำมาซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นโทษ และอกุศลกรรมก็นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นทุกข์ และเป็นโทษ เพราะฉะนั้น เมื่อต้องมีการมีชีวิตอยู่ และต้องแสวงหา ก็แสวงหาในทางสุจริต นั่นก็คือไม่เว้นการทำงานที่จะละอกุศลด้วย ถ้าเป็นผู้ที่สะสมศรัทธามาแล้ว

    ผู้ฟัง แสดงว่าในชีวิตเราก็ต้องทำงานทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน นอกจากงานที่ทำอยู่ประจำ ทั้งงานการ งานในครอบครัว

    ท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่รู้หนทาง รู้จักงานที่จะทำ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลยจะมาทำงานนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ดีกว่าทำงานอย่างเดียวใช่ไหม มีงานตั้งสองอย่าง ที่ได้ทำด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะทำแต่อย่างเดียวคืองานสะสมกิเลส

    ผู้ฟัง แต่ว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัส

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ที่ต้องอาศัยความตั้งใจ และความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ อาศัยบารมีทั้งหมด

    ผู้ฟัง ที่กล่าวว่า มีกิจที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องทำก็คือ การละกิเลส และอีกกิจหนึ่งที่ตรงข้ามก็คือการสะสมเพิ่มพูนกิเลส แล้วอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ทำกิจสะสมกิเลส อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ทำกิจละกิเลส

    ท่านอาจารย์ จิตแต่ละประเภทมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยหลากหลาย ทั้งฝ่ายที่เป็นอกุศล และฝ่ายที่เป็นโสภณ เพราะฉะนั้น โสภณเจตสิกเกิดขึ้นก็ทำกิจของโสภณเจตสิก มีการไตร่ตรอง มีการเข้าใจ มีการเห็นว่าสิ่งใด ควรสิ่งใดไม่ควร

    ผู้ฟัง นั่นหมายความว่าเจตสิกที่ดีงาม

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นทำหน้าที่ของเจตสิกที่ดีงาม เพราะว่าโลภะคิดไม่ออกที่จะทำกิจละโลภะเป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง และในขณะเดียวกัน เจตสิกที่เป็นฝ่ายอกุศล ก็ทำกิจสะสมอกุศลแล้วก็กิเลสไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดขึ้นแล้ว และดับไป สิ่งที่เกิดแล้วก็สะสมสืบต่อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกุศล และอกุศล ในจิตขณะต่อๆ ไป

    ผู้ฟัง กิจที่ยิ่งใหญ่คือการละกิเลส แล้วกิจที่ตรงข้ามคือสะสมกิเลส ซึ่งไม่ว่าจะสนทนากับใครที่ไหน ชวนมาฟังในกลุ่มสนทนาธรรม เขาก็จะอ้างอย่างเดียวว่า ไม่มีเวลา เหมือนจะชัดเจนกับการไม่มีเวลาสำหรับกิจที่ยิ่งใหญ่ ที่จะต้องละกิเลส

    ท่านอาจารย์ ขณะที่บอกว่าไม่มีเวลา อะไรทำกิจ

    ผู้ฟัง ก็โลภะ หรืออกุศล

    ท่านอาจารย์ อกุศลก็ทำกิจของอกุศล อกุศลจะทำกิจของกุศลไม่ได้เลย เวลาอกุศลเกิดขึ้นก็ทำกิจของอกุศล ที่จะคิดอย่างนั้นเข้าใจอย่างนั้น จะเปลี่ยนให้เป็นโสภณจิตหรือเจตสิกที่ดีงามไม่ได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ผู้ที่สะสมมาที่จะได้ฟังพระธรรม ก็เข้าใจว่ามีหนทางที่จะละกิเลส

    ท่านอาจารย์ เหมือนเดี๋ยวนี้เลยหรือเปล่า สะสมมาที่จะได้ฟังจึงได้ฟัง เพราะฉะนั้น ต่อไป ก็เพราะได้เคยฟังสะสมมา จึงมีโอกาสที่จะได้ฟังอีก ถ้าฟังแล้วไม่หวังจะสบายใจไหม ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นอนัตตา ตามเหตุตามปัจจัย ฟังวันนี้เข้าใจแค่นี้ และก็จะหวังให้เข้าใจมากๆ อย่างคนที่เขาแสนโกฏิกัปป์มาแล้วยังไงได้ ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ว่า เป็นธรรม ก็จะเป็นผู้ที่ไม่เดือดร้อน เพราะขณะนั้นเป็นอกุศลอีกแล้วที่เดือดร้อน ง่ายมาก งานนี้ง่ายมากเดี๋ยวก็ทำ เดี๋ยวก็ทำ คืองานของอกุศล ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่ง งานสะสมกิเลสหนัก แต่ส่วนงานสะสมปัญญาเบาสบายแน่ เพราะว่าเข้าใจ และเข้าใจขึ้น ขณะที่เป็นกุศลไม่เดือดร้อนเลย แต่พอหวังเมื่อไหร่อกุศลแทรกเมื่อไหร่ก็จะเดือดร้อนทันที

    ผู้ฟัง แต่ดูเหมือนโลภะจะชอบ งานที่สะสมปัญญาจริงๆ แล้วเบาสบาย แต่โลภะก็ชอบอะไรที่เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ มีกำลังกว่า คุ้นเคยมาบ่อยๆ เดี๋ยวมาๆ กำลังมาอยู่หรือเปล่า เกือบไม่รู้เลย

    อ.กุลวิไล ตอนต้นชั่วโมงท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า สมบัติมีในมหรสพ อันนี้จะให้เห็นถึงว่า ที่ว่ามีเพราะคิดทั้งหมดเลยเพราะจำไว้ แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดเป็นธรรม ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ และทั้งหมดก็คือจะมากหรือจะน้อย เห็นได้ยินทุกคนเหมือนกันหมด อะไรมากอะไรน้อย หิว สุข ทุกข์ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ถึงกล่าวถึงกันเสมอกัน ที่เสมอกันเพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด มีเห็นเหมือนกันไหม มีได้ยินเหมือนกันไหม

    ท่านอาจารย์ เวลาที่เข้าใจว่ามีทรัพย์สมบัติมาก ไม่เสมอเพราะโลภะใช่ไหม เวลาที่เข้าใจว่ามีสมบัติน้อยก็ไม่เสมออีกเพราะว่ามีน้อย นี่ก็คือโลภะหรือโทสะเป็นผู้วินิจฉัย แล้วก็เป็นไปชั่วขณะที่คิดเท่านั้นเอง ความจริงจะมีมากหรือมีน้อยก็เห็น สมบัติมากมาช่วยอะไรในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ กำลังได้ยินธรรมดาๆ สมบัติมากมายมาช่วยอะไร ได้ยินจะให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น หรือว่าเสียงจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ ก็ต้องเป็นปกติธรรมดา คือเท่านี้เอง แต่ความคิดหลากหลายมาก ตามกำลังของการสะสม

    อ.กุลวิไล แล้วโดยธรรมแล้วเสมอกันก็เพราะว่าเป็นธรรมนั่นเอง ที่เรียกว่า บ้านหรือคฤหาสน์ ลองกระทบสัมผัสอะไรปรากฏ หรือว่าทางตาก็ไม่พ้นสีนั่นเอง เพราะฉะนั้นตัวธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นนิมิตของสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ ที่ให้เราคิดรู้ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรนั่นเอง เพราะฉะนั้น มหรสพมีจริงหรือเปล่า แล้วก็สมบัติ ก็เพียงแต่ให้เราคิดเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่มีจริงไม่พ้นจิต เจตสิก และรูป

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ว่ามหรสพไม่ได้อยู่นอกกาย ในขณะที่คิด บางคนคิดแล้วก็สนุก มหรสพเรื่องนี้เพลิดเพลินดี บางคนคิดแล้วเศร้า มหรสพมาอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ก็แล้วแต่ อยู่ข้างในแท้ๆ เลย

    ผู้ฟัง สงสัยเรื่องคำว่าผลของกรรม โดยท่านอาจารย์กล่าวว่า กำลังรับผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณอรรณพ

    อ.อรรณพ ตอนนี้เห็น ได้ยิน ก็รับผลกรรมอยู่แล้ว

    ผู้ฟัง มีข้อสงสัยว่า ขณะที่เกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้างขณะนั้น เป็นอย่างไร

    อ.อรรณพ เป็นอกุศลก็เป็นอกุศล เป็นกุศลก็เป็นกุศล ตามการสะสม หลังเห็นแล้วจิตก็เป็นไป แล้วก็มีกุศลเกิด หรืออกุศลเกิด ซึ่งขณะนี้ก็เป็นอย่างนี้อยู่ ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ก็ต้องฟังต่อไป

    ผู้ฟัง แล้วขณะที่เป็นชวนจิตที่เป็นอกุศลก็กำลังทำกรรมใหม่

    อ.อรรณพ แล้วแต่ว่าอกุศลนั้นจะรุนแรงถึงขั้นไหน ถึงขั้นล่วงทุจริตกรรมทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเปล่า หรือเป็นอกุศล แต่ขณะนั้นอกุศลก็ทำกิจของอกุศล ทำงานของอกุศล ผลผลิตสิ่งตอบแทนจากการทำงานของอกุศลก็คือ กิเลสที่เพิ่มพูนขึ้น หรือเพิ่มพูนภาระให้หนักขึ้น เพราะไม่คิดที่จะทำงานฝ่ายตรงข้าม คือที่งานที่ละจากอกุศล ด้วยกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ เห็น กับ โกรธเหมือนกันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นผลของกรรม

    ผู้ฟัง เห็นเป็นผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ เลือกเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง เลือกเห็นก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นบางครั้ง เห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เลือกไม่ได้เลย เพราะกรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น เห็น ไม่ใช่โกรธใช่ไหม เพราะฉะนั้น ตอนแรกที่สงสัย สงสัยความต่างของวิบากกับกิเลสหรือเปล่า เดี๋ยวนี้เห็นแล้วว่า วิบากคือเห็นเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น เห็นไม่ใช่โกรธ ไม่ใช่ติดข้อง ไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นผลของกรรม แล้วแต่ว่าเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ทำให้เห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่หลังจากนั้นแล้วโทสะไม่ใช่เห็น จะให้เป็นวิบากไม่ได้ ตามการสะสม บางคนเห็นแล้วเขาก็ไม่เกิดโทสะ ได้ยินคำที่ไม่น่าพอใจก็อดทนไม่เกิดโทสะ ขณะนั้นก็ไม่ใช่วิบากไม่ใช่ผลของกรรม ผลของกรรมคือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567