พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 748


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔


    อ.อรรณพ ไม่มีอกุศลกรรมที่ทำไว้ในอดีต ใครจะทำร้ายอย่างไรก็ทำไม่ได้ และถ้าเราไม่ศึกษาอย่างนี้ วันๆ หนึ่งเราก็อยู่ในความไม่มีเหตุไม่มีผล แล้วเราก็บอกเราเป็นชาวพุทธ แล้วก็ไปแก้กรรมกันเป็นทำอะไรก็เป็นความคิดไปบนพื้นฐานของความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ขจัดความไม่รู้โดยการศึกษาพระธรรม แล้วก็จะมีความเข้าใจไม่ไปหลงผิด ไม่ไปคิดสิ่งที่ไม่ใช่เป็นคำสอน

    อ.กุลวิไล เรียนถามถึงความเข้าใจเรื่องของกรรมอีกครั้ง ส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบที่จะได้รับอกุศลวิบาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่แสวงหาที่จะแก้กรรม

    ท่านอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรเป็นปรมัตถธรรมอะไร พบหรือยัง มีจิต มีเจตสิก มีรูป มีนิพพาน เพราะฉะนั้น ใครเมื่อสักครู่นี้ หาหรือเปล่าแล้วเจอไหมเจ้ากรรมนายเวร เป็นปรมัตถธรรมอะไร ถ้าไม่ใช่ปรมัตถธรรมจะรู้ได้ไหม ในเมื่อขณะนี้มีธรรมที่กำลังปรากฏ วิตกก็คิดเรื่องเจ้ากรรมนายเวร แต่ว่าไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะที่กำลังฟัง แล้วเมื่อไหร่จะไม่มีโทสะ เพราะว่าโทสะต้องเกิดเพราะอวิชชาความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องความหวัง ไม่ทราบว่า หวังอะไรในการฟังธรรม จะเข้าใจอะไรในการฟังธรรม เพราะเหตุว่าธรรมมีจริงๆ และกำลังปรากฏให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น แม้แต่การที่จะศึกษาธรรม ฟังธรรม และเรื่องราวในพระไตรปิฎกก็ควรที่จะรู้จุดประสงค์จริงๆ ว่าเพื่ออะไร มีผู้ตอบว่าเพื่อเข้าใจธรรม แล้วเป็นคนดีหรือเปล่า ขาดกันได้ไหม ถ้าคนไม่ดี อกุศลจิตเกิดบ่อยๆ ทั้งวันจะเข้าใจธรรมได้ไหม ไม่มีทางเลย

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ด้วย ถ้าหวังจะเป็นคนดีโดยไม่เข้าใจธรรม ก็คือเรานั่นแหละ ต้องการความดีโดยไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา อกุศลเป็นอกุศล กุศลเป็นกุศล ตามความเป็นจริงแล้วสะสมอะไร ก็ต้องเป็นไปตามการสะสมนั้น แม้แต่การที่จะกระทำทางกาย ทางวาจา ก็ต้องเป็นไปตามการสะสมของจิต ซึ่งเป็นปัจจัยให้จิตขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นไป นี่คือการที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตาหรือความเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟังไม่ควรจะเปลี่ยน ต้องชัดเจน ไม่ใช่ว่าฟังธรรมแล้วไม่เป็นคนดี หรือไม่ใช่ว่าเป็นคนดีแล้วไม่เข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าทั้ง ๒ อย่างต้องไปด้วยกัน ถ้ามีความเข้าใจธรรมมากขึ้นจะดีไหม จะเป็นคนดียิ่งขึ้นไหม และถ้าเป็นคนดี แล้วไม่เข้าใจธรรมเลย จะเป็นคนดีได้ยิ่งขึ้นไหม หรือว่าดีขึ้นเมื่อได้เข้าใจธรรมด้วย

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องตรง และเวลานี้ก็มีธรรม แล้วเราก็ฟังธรรม แล้วเราก็สนทนาธรรม และก็ศึกษาเรื่องพื้นฐานพระอภิธรรม ปรมัตถธรรม แต่ว่าขณะนี้เราต้องทราบด้วย ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังเมื่อไหร่ก็ยังไม่ได้ถึงการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ยิ่งถ้าเป็นเรื่องอื่น มีทางที่จะถึงการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏหรือเปล่า เพราะอย่างไรก็ต้องไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูป ซึ่งตรง แม้แต่เจ้ากรรมนายเวร ถ้าหาไม่ได้ว่าได้แก่จิตดวงไหน แล้วจะมีเจ้ากรรมนายเวรไหม หรือว่าเพียงคิดว่ามี ฟังมาว่ามี ก็เลยคิดว่ามี แต่ถ้าฟังธรรมแล้วจิตไหน เจตสิกไหนเป็นเจ้ากรรมนายเวร

    อ.กุลวิไล เพราะว่าถ้าเจ้ากรรมนายเวรมีก็เพราะคิด ถ้าเราไม่คิดเรื่องราวก็ไม่มี เน้นจุดประสงค์ของการฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจ แต่เข้าใจคือสภาพธรรมนั่นเอง เพราะว่าก็ไม่พ้นปัญญาที่เป็นเจตสิก และเมื่อมีความเข้าใจก็ต้องเป็นปัจจัยให้ทำความดีด้วย เพราะว่าเป็นผู้ที่มีความเห็นถูก ไม่ว่าจะเป็นปัญญาหรือว่า ความที่เป็นคนดีก็ไม่พ้นกุศลธรรมนั่นเอง

    ผู้ฟัง ที่ถามว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นจิต เจตสิกอะไร ตรงไหน แล้วต่างอะไรกับที่ว่า เมื่อฟังธรรมเข้าใจแล้ว ต้องมั่นคงในเรื่องกรรม และผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะรู้ว่ากรรมไม่ใช่เรา กรรมเป็นเหตุ และเหตุมีผลต้องมี คือวิบากต้องเกิดขึ้น วิบากหมายถึงผลของกรรม

    ผู้ฟัง ดูเหมือนว่าถ้าเป็นพยัญชนะหรือเรื่องราว คือมีคำว่าเจ้ากรรมนายเวร กับคำว่ามั่นคงในเรื่องกรรม และผลของกรรม พยัญชนะจะคล้ายกันมาก แต่ว่าความต่างของอรรถ ก็คือว่าถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรจะมีใครมาทำอะไรให้เรา ในขณะที่ถ้ามั่นคงในเรื่องกรรม และผลของกรรมอย่างที่อาจารย์อรรณพอธิบายก็คือ กรรมเป็นเจตนาเจตสิก ที่เมื่อเกิดแล้วก็คือถ้าเป็นอกุศลกรรม หรือกุศลกรรมก็สะสมไว้ในจิต เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้ผล ผลนั้นก็เป็นวิบาก คือถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็เป็นอกุศลวิบาก ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็เป็นกุศลวิบาก ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่า มันมีความต่างว่าไม่มีใครทำอะไรให้ใครได้จริงๆ ไม่ว่าใครจะรับผลอะไร ถ้ามั่นคงก็คือเคยทำมาแล้วในอดีต ในตรงนี้ก็คือจะมีความต่างในการศึกษาเข้าใจว่า ถ้าอธิบายในเชิงเจ้ากรรมนายเวร ก็จะเหมือนกับไปแก้กรรมได้เพราะมีคนอื่นทำ แต่ถ้ามั่นคงในเรื่องกรรม และผลของกรรมก็จะรู้ว่า เมื่อไหร่ที่เจริญกุศล เป็นกุศลกรรม ผลก็ต้องดี แต่ถ้าทำอกุศลกรรม ผลก็ต้องไม่ดี หรือว่ารับผลขณะนี้ที่ไม่ดีก็เป็นผลของกรรมไม่ดีในอดีต ถ้ารับผลดีก็เป็นผลของกรรมดีในอดีต ซึ่งอันนี้จะเห็นความต่างของการที่ไม่มีตัวตน คือหมายความว่าเป็นอะไร เหตุปัจจัยตามที่ได้กระทำแล้ว เหตุย่อมสมควรกับผล ซึ่งมันจะเป็นเรื่องของไม่มีอะไรที่ทำได้นอกจากเป็นเหตุ และผลนั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้องเพราะเหตุว่า ถ้าเจ้ากรรมหมายความถึงคน ไม่มีคน มีแต่ธรรมใช่ไหม เพราะฉะนั้น ถ้าจะละเอียดก็คือว่าเห็นเดี๋ยวนี้ เจ้ากรรมนายเวรมาทำให้เห็นหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แต่เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของอกุศลกรรม

    ผู้ฟัง ซึ่งเมื่อโยงมาถึงเรื่องหนทางที่ตอนเริ่มสนทนา ถ้าจะบอกว่าขณะนี้ น่าจะเป็นหนทาง ๒ ทางคือทางผิดกับทางถูก

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ไม่ลืม มีทางแน่ กำลังเดินทางด้วยเพราะวิตกเจตสิกเป็นมรรค ถูกต้องไหม สัมมาสังกัปปะก็คือวิตกเจตสิก และทันทีที่จักขุวิญญาณดับ จิตที่เกิดต่อมีวิตกเจตสิกเกิดด้วย และไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ก็มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ว่าเป็นกรรมใดๆ ก็มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าพูดอย่างตอนต้นคือไม่กล่าวถึงรูปาวจรจิตซึ่งไม่ใช่กามาวจรจิต ซึ่งจะไม่มีวิตกเจตสิก เมื่อเป็นทุติยฌาน นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เวลานี้เรากำลังอยู่ตรงนี้ ให้เข้าใจว่า วิตกธรรมดาที่เราสามารถที่จะเข้าใจได้ก็คือการตรึกหรือการคิด ซึ่งก็ยังอยาก

    เพราะความจริงลักษณะของวิตกจริงๆ แม้ยังไม่ได้คิดเลย วิตกเจตสิกก็เกิดแล้ว รู้อารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณ ขณะนั้นไม่ได้คิด แต่กรรมทำให้วิบากเกิดกับจิตซึ่งเกิดต่อจากจักขุวิญญาณที่เห็น โดยจักขุวิญญาณทำทัสสนกิจ แต่จิตที่เกิดสืบต่อไม่ได้ทำทัสสนกิจคือเห็น แต่ว่าทำสัมปฏิจฉันนกิจรับรู้อารมณ์ต่อ ก็ต้องมีวิตกเจตสิกแล้ว

    เพราะฉะนั้น รับรู้ต่อจนหมดหน้าที่ของวิบาก แม้แต่จิตที่เกิดต่อจากสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะซึ่งเป็นวิบากคือ โวฏฐัพพนจิตซึ่งเป็นกิริยาจิต มีวิตกเจตสิกไหม มี แต่เป็นชาติกิริยา นี่คือความละเอียด เพื่อที่จะเปิดทางให้กุศล และอกุศลเกิดขึ้น ไม่ใช่ผลของกรรม เห็นจริงแต่หลังจากเห็นแล้วเป็นกุศลหรือกุศลไม่ใช่ผลของกรรม

    เพราะฉะนั้น วิตกเจตสิกก็เกิดพร้อมกับกุศลจิตหรืออกุศลจิต เป็นทางแล้วใช่ไหม ถ้าอกุศลจิตเกิดเป็นทางไปไหน ถ้ากุศลจิตเกิดเป็นทางไปไหน เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ก็เป็นทาง คือเป็นมรรคนั่นเอง เพราะมีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะถ้าไม่มีขณะนี้เป็นทาง แล้วจะไปไหน ถ้าจะไปถึงโลกียะที่เป็นสัมมาสังกัปปะ แล้วก็ โลกุตตระที่เป็นสัมมาสังกัปปะได้อย่างไร ถ้าไม่มีขณะนี้ที่กำลังฟัง ซึ่งจะเป็นทางนำไปสู่โลกุตตรมรรค เพราะเหตุว่า เราพูดถึงมรรคมีองค์ ๘ ก็กล่าวถึงโลกุตตรจิตขณะที่ประกอบด้วยมรรคที่สมบูรณ์แล้ว พร้อมทั้งโพธิปักขิยธรรม นี่ก็เป็นเรื่องยาว แต่ให้ทราบว่าทำไมเราถึงต้องพูดถึงธรรมเดี๋ยวนี้ขณะนี้

    เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีขณะนี้จะมีทางที่จะไปสู่โลกุตตรมรรคไหม สัมมาสังกัปปะที่จะจรดในนิพพานจะมีได้อย่างไร และโดยธรรมดาก็มีมรรค ๒ อย่างคือโลกียมรรคกับโลกุตตรมรรค ถ้าขณะใดที่ยังไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะนั้นยังไม่ใช่โลกุตตรมรรค แต่จะถึงโลกุตตรมรรคมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ ก็ต้องมีโลกียมรรคก่อน และโลกียมรรคถ้าไม่มีความเห็นถูกก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงโลกียมรรค ซึ่งเป็นสติสัมปชัญญะที่มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม แล้วก็อบรมจนกระทั่งปัญญาประจักษ์ความจริงซึ่งเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งที่ใช้คำว่ารู้ชัดคือวิปัสสนา ก่อนที่จะเป็นโลกียมรรคซึ่งเป็นวิปัสสนา ก็จะต้องมีแต่ละขณะซึ่งกำลังไปสู่ที่นั่น ถ้าไม่มีขณะนี้ที่ฟังธรรมจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น เราก็พูดเรื่องโลกียมรรค ขณะที่เป็นสติปัฏฐาน ขณะที่เป็นวิปัสสนาแต่ว่ายังไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์ยังไม่ใช่โลกุตตรจิตก็เข้าใจอย่างนั้น แต่จะมาจากไหนถ้าไม่ใช่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ แต่ละขณะ ซึ่งค่อยๆ เป็นความเห็นถูกขึ้น เมื่อวิตกนั้นเกิดพร้อมด้วยปัญญา เพราะว่าการที่จะให้วิตกเจตสิกเกิด เป็นสภาพที่ตรึกหรือคิดนึกบังคับบัญชาไม่ได้เลย วันนี้ตั้งแต่เช้าวิตกเจตสิกตรึกถึงอะไรบ้าง เห็นไหม สารพัดเรื่อง แต่ว่าไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศลวิตก เป็นเรื่องที่ดูเหมือนดี แต่ว่าจริงๆ แล้วขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ต้องเป็นผู้ตรง นี่คือประโยชน์ของการฟัง ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีทางที่จะได้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ยิ่งขึ้นโดยละเอียด แต่ว่าถ้าสามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรอง ก็จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังลึกซึ้งขึ้น

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังเดินทาง เพราะว่าถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม เราไม่ทราบว่า หนทางที่เป็นองค์มรรค ก็ไม่พ้นสสภาพธรรมที่เป็นเจตสิกนั่นเอง แม้นแต่วิตก ฟังพระธรรม ถ้ามีความเข้าใจพระธรรมขณะนั้นจรด ในพระธรรมที่ทรงแสดงด้วยความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ และถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ก็หลายองค์แล้วใช่ไหม ในมรรคมีองค์ ๘ สัมมาทิฏฐิในขณะที่เข้าใจพระธรรรม มีสัมมาสังกัปปะคือ การตรึกตามธรรมที่ได้ฟัง และเข้าใจ แล้วก็มีวิริยเจตสิก สัมมาวายามะ มีสติเจตสิก และก็มีเอกัคคตาเจตสิก ๕ องค์ครบ ขณะใดที่ไม่มีวิรตีเจตสิกอีก ๓ เกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็เป็นมรรคมีองค์ ๕ ก็เป็นชีวิตประจำวันขึ้นอยู่กับความเข้าใจคือ สัมมาทิฏฐิว่าเข้าใจแค่ไหน ถ้าเข้าใจเท่านี้จะให้วิตกไปตรึกนึกถึงอย่างละเอียด อย่างลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า เป็นเพียงลักษณะที่เกิด และดับก็ไม่ได้

    เพราะเหตุว่า เป็นเพียงความเข้าใจจากการฟัง ค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าจะรู้เมื่อไหร่ เพราะเหตุว่า ต้องมาจากความเข้าใจที่สะสม แล้วก็ทีละเล็ก ทีละน้อยด้วย

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า เป็นการสะสมทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่ขณะนี้เอง แม้ในขณะที่เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเป็นปัจจัยให้วิตกจรดในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ก็เพราะว่าจากการฟังพระธรรมนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ถ้าปัญญามีมากขึ้น เริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏก็รู้ใช่ไหมว่า มาจากไหน มาจากการฟัง มาจากความเข้าใจเป็นปัจจัยให้จากฟังเรื่องราว ก็มาเป็นการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น วิตกก็ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เพียงแต่วิตก ซึ่งเป็นไปในทาน เป็นไปในศีล แต่ขณะนั้นก็เป็นโลกียะอีกระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะมีลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นความเข้าใจ ในขณะนั้นด้วย

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น วิตกพร้อมความเข้าใจ ซึ่งต้องมีสัญญาจำจากที่ได้ยิน ได้ฟังพระธรรมนั่นเอง ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นจุดประสงค์ที่ทุกคนให้เห็นความสำคัญว่า การฟังธรรมก็เพื่อความเข้าใจธรรมที่มีในขณะนี้ ฉะนั้นความเข้าใจในสภาพธรรมแม้แต่ขั้นฟัง ก็จะเป็นปัจจัย ให้วันหนึ่งวิตกจรดลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

    อ.อรรณพ เราสนทนาในเรื่องสภาพธรรมที่เป็นหนทาง ก็คือเจตสิกทั้ง ๘ อย่างนี้ ซึ่งเจตสิกทั้ง ๘ อย่างนี้จะต้องมีลักษณะมีสภาพที่เป็นองค์ของหนทางคือมรรค ซึ่งท่านก็แสดงว่า องค์ทั้ง ๘ ก็คือสัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกัปปะก็คือ ปัญญากับวิตก รวมลงในปัญญา ส่วนสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ รวมลงในศีล สัมมาสติ สัมมาสมาธิ แล้วก็สัมมาวายามะรวมลงในสมาธิ อยากกราบเรียนท่านอาจารย์ได้อธิบายสภาพธรรมที่เป็นองค์มรรคเหล่านี้ ว่าทำไมถึงประมวลลงในศีล สมาธิ ปัญญาอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืม ฟังธรรมถ้าจะเข้าใจจริงๆ คือเข้าใจที่ละ ๑ ยิ่งขึ้นชัดเจนขึ้น เรื่องของปัญญาก็คงไม่มีปัญหาเพราะเหตุว่า หมายความถึงขณะที่กำลังเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เรื่องของวิตกเจตสิกก็คงไม่สงสัยใช่ไหม

    อ.อรรณพ วิตกที่เป็นสภาพที่เป็นเท้าของโลก คือความคิดเป็นสภาพที่คิด ถึงปัญญาไม่เกิดก็คิด แม้ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล แม้ปัญญาไม่เกิดก็เป็นความคิด ซึ่งเป็นลักษณะที่ตรึก จรดในอารมณ์คือตรึกไปตลอด แต่ถ้าวิตกนั้นเกิดพร้อมกับปัญญา ซึ่งปัญญาเข้าใจลักษณะสภาพธรรมวิตกก็ตรึกตรงลักษณะสภาพธรรม ก็พอเข้าใจบ้าง ท่านจึงแสดงปัญญากับวิตก สัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกัปปะ เรียกว่าเป็นส่วนของปัญญา

    ท่านอาจารย์ ข้อสงสัยคือ ทำไมวิตกเป็นส่วนของปัญญา เพราะมรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วยศีล สมาธิ และปัญญา สำหรับวิรตีเจตสิก ๓ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็ตรงตัวคือเป็นเรื่องของการงดเว้น และสำหรับปัญญากับวิตก เพราะเหตุใดวิตกไม่ไปรวมอยู่กับศีลหรือว่ากับสมาธิคือสติ วิริยะ และเอกัคคตา

    เพราะเหตุว่า วิตกเจตสิก ตรึกเองโดยไม่มีสังขารธรรมปรุงแต่งได้ไหม ไม่ใช่เฉพาะวิตกเจตสิก ธรรมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นก็จะต้องอาศัย อย่างจิตก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นปัจจัย เจตสิกแม้วิตกเจตสิก ก็ต้องมีเจตสิก และจิตเป็นที่อาศัยเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น ใครๆ ก็อยากจะมีการคิดดี แต่ว่าเป็นไปได้ไหม ถ้าไม่มีปัญญาที่เห็นถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัญญาแล้วจะให้คิดอย่างอื่นได้ไหม ถ้ามีปัญญาถึงระดับที่วิตกซึ่งเป็นเท้าของโลกจะไม่ไปทางอื่นเลย ขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น วิตกก็จะไม่ไปนึกถึงเรื่องราวหรือชื่อ แต่จากปัญญาที่เพิ่มขึ้นมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มีวิตกซึ่งตรึกถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจนมั่นคงแล้ว วิตกในขณะนั้นจึงจรดที่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏพร้อมด้วยปัญญา ด้วยเหตุนี้วิตกจึงเป็นส่วนหรือว่ารวมอยู่ในส่วนของปัญญาเพราะไม่ไปที่อื่น

    อ.อรรณพ ก็เป็นการสนทนาพื้นฐานอภิธรรม ในส่วนของธรรม ๒ อย่างคือปัญญากับสภาพคิดตรึก ซึ่งแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นสติเกิด กำลังฟังธรรมอยู่ ถ้ามีความเข้าใจเมื่อไหร่แล้ว วิตกก็ต้องตรึกตามปัญญา ตามความเข้าใจในเรื่องของธรรมที่ฟัง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจก็ไปคิดเรื่องอื่น นี้คือโดยทั่วไป แต่เมื่อปัญญาสะสมอบรมถึงขั้นที่จะเกิดรู้ตรงลักษณะสภาพธรรม วิตกก็ต้องตรึกตรงสภาพธรรมนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้น วิตกที่เป็นไปพร้อมปัญญาก็มีหลายระดับ เราได้รับฟังที่ท่านอาจารย์อธิบาย ก็เห็นจริงๆ ว่า ทำไมวิตกจึงเป็นองค์หนึ่งของหนทาง ปัญญา เมื่อวานนี้เราได้รับความเข้าใจที่ดีงามมาก คือว่าปัญญานำทาง องค์แรกของมรรค ทั้ง ๘ ก็คือสัมมาทิฏฐิหรือปัญญา ปัญญานำทาง แต่วิตกก็เป็นเท้าที่ก้าวไป ก็ก้าวไปตามผู้นำ พร้อมกันกับผู้นำคือตรึกตามปัญญาพร้อมกับปัญญา ปัญญารู้วิตกตรึก ปัญญาก็รู้ แต่ถ้าขาดปัญญาวิตกก็ไปตามเรื่องตามราว เมื่อเดือนก่อนก็วิตกที่เหลวไหลใช่ไหม ความตรึกที่เหลวไหล คือความตรึกโดยไม่ใช่กุศล ไม่ใช่ปัญญา ก็ตรึกไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ตรึกทั้งวัน ตรึกที่จะเบียดเบียนบ้าง ตรึกที่จะติดข้องบ้างต่างๆ ไป เพราะฉะนั้น ก็เท้าก้าวไปถ้าไม่มีผู้นำที่ดีที่จะไปด้วยกันก็ไปผิดทาง

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น บรรดาทางทั้งหลาย ทางมีองค์ ๘ ประเสริฐ เพราะว่าเป็นทางให้พ้นทุกข์ ทางอื่นไม่มี นี้ก็จากพระสูตรเมื่อวาน

    ผู้ฟัง จากการที่ได้สนทนา ที่ท่านอาจารย์ถามว่าจะเป็นคนดี หรือว่าจะเป็นพระโสดาบัน จากการฟัง การที่ฟังมาเป็นเวลาหลายปี บอกตรงๆ ก่อนหน้านี้เป็นคนเลวมาตลอดจนถึงวันนี้ รู้สึกว่าความเลวค่อยๆ ลดน้อยลง เพราะเป็นผลจากการที่ได้ยินได้ฟัง ได้มีโอกาสสนทนาธรรม ทำให้มีความรู้สึกว่า ควรเจริญกุศล แล้วก็ไม่ควรจะเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ ที่จริงคำถามเรื่องจุดประสงค์ของการฟัง เพื่อที่จะเป็นคนดี เพื่อที่จะเข้าใจธรรม ก็เพื่อจะให้ไม่ขาดอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะว่าบางคนก็ลืม อยากจะเข้าใจธรรมแต่ลืมเป็นคนดี และก็ไม่เห็นโทษด้วยว่า ถ้าขณะใดอกุศลจิตเกิดบ่อยๆ ซ้ำๆ ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมเลย แล้วหวังแต่เพียงว่าฟังแล้วก็จะได้เข้าใจธรรม แล้วก็จะได้อบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ จะได้ถึงโลกุตตรมรรคเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าทุกคนทราบว่าสะสมอกุศลมามากกว่ากุศลมากมาย เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นคนดีไม่ง่าย หรือแม้แต่เพียงการอยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ด้วยโลภะ เพราะว่าไม่ได้เห็นคุณของความดี ว่าขณะใดที่ความดีเกิดขณะนั้นอกุศลเกิดไม่ได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567