พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 756


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๕๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ อาศัยคำ ทำให้เข้าใจได้ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินเท่านั้นเอง ขณะที่กำลังคิดถึงความหมาย เข้าใจเรื่องราวไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้น เสียงคือสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินว่ามีจริงๆ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรม ก็คือว่าฟังรู้ว่ากำลังสะสมความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกว่าเมื่อสิ่งนั้นปรากฏแล้วเข้าใจ ซึ่งส่วนใหญ่ลืมเรื่องความเข้าใจ พยายามจะไปทำปัญญา ทำสติหรือทำอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจเลย แทนที่จะเป็นอย่างนั้น สะสมความเข้าใจเพื่อละความติดข้อง และความไม่รู้ และก็เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สภาพธรรมนั้นจึงจะปรากฏตามความเป็นจริงได้ ด้วยความเข้าใจ เช่นในขณะนี้ คนที่ฟังสองสามครั้ง กับคนที่ฟังหลายๆ ครั้ง กับคนที่ฟังแล้วนานหลายๆ ชาติ กับคนที่เคยได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กี่พระองค์ก็แล้วแต่ เครื่องพิสูจน์คือมีความเห็นที่ถูกต้องว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง ละการเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขณะที่กำลังเข้าใจอย่างนั้น ที่เห็นว่าเป็นคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ จริงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ ควรรู้ไหม

    ผู้ฟัง ควรรู้

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าอะไร เป็นธรรมต้องเข้าใจถูกว่า แม้แต่การที่รู้ว่าเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็จริงควรรู้ด้วยว่าไม่ใช่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ให้ได้ไปทำอะไรที่ผิดความจริง แต่ว่าต้องเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ในขณะนั้นที่ละความไม่รู้ในขณะนั้น ไม่ใช่ในขณะอื่น พอถึงขณะอื่นก็ไม่รู้อีกแล้ว ก็เป็นความจริงที่จะต้องรู้ว่า แม้ความไม่รู้ก็จริงเป็นธรรม ทั้งหมดอย่างละเอียดยิ่งเป็นธรรมทั้งหมด จึงสามารถที่จะละความสงสัย และความติดข้องด้วยการเห็นผิด ด้วยการยึดถือว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ดับ

    เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ก็คือว่าความจริงเป็นอย่างนี้ก็ต้องเข้าใจ และก็ไม่ใช่ไปหวัง ว่าอย่างไรเราจะได้ติดข้องน้อยลงในสิ่งที่ปรากฏ โดยที่ไม่รู้ว่า แม้รู้ว่าเป็นคนเป็นสัตว์เป็นวัตถุต่างๆ ก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นธรรม ตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย เวลานี้เห็น แล้วก็คิดเรื่องอื่น ได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นความหยาบ หรือความละเอียด เพราะเหตุว่า เห็นแล้วคิดเรื่องอื่น พอจะรู้ได้ว่าคิดไม่ใช่เห็น ถ้าเป็นเรื่องอื่น ถูกต้องไหม เห็นแล้วก็คิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เข้าใจได้ในขณะนั้นว่า คิดไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น การที่เห็นแล้วคิด เพราะสภาพธรรมที่ปรากฏเกิดดับสืบต่อ เป็นนิมิตสังขารไม่รู้ตัวเลย ก็จากความคุ้นเคยของความจำก็ทำให้รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความละเอียดคือจะต้องรู้ว่าขณะนั้น แม้ขณะนั้นก็คิด ไม่ใช่คิดเรื่องอื่น แต่คิดถึงรูปร่างสันฐานของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น การติดข้องในสภาพธรรม ติดอย่างละเอียด ทุกวาระที่มีการเห็นการได้ยิน การคิดนึก เพราะฉะนั้น ปัญญาที่สามารถที่จะละหรือดับการเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้ ต้องละเอียดอย่างนั้น ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเราจำ และเราก็พูดตามแล้วก็เข้าใจเผินๆ แต่ต้องเป็นการรู้ว่าขณะใดกำลังมีสภาพธรรมปรากฏแล้วไม่รู้ ต่างกับขณะที่มีสภาพธรรมปรากฏ ซึ่งไม่เคยสนใจธรรมนั้นเลย แต่กำลังรู้ตรงลักษณะนั้น และก็เริ่มเข้าใจขึ้นว่าทั้งหมดที่มีก็เป็นเพียงสิ่งที่เพียงปรากฏ อาศัยระลึกแล้วก็หมดไป แต่ว่าต้องเป็นปัญญาที่อบรมแล้ว เป็นความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่จำ ใครกำลังรู้อย่างนี้บ้าง เห็นแล้วคิดถึงเรื่องอื่น เห็นไม่ใช่คิดถึงเรื่องอื่น แต่ก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนี้ ต้องอาศัยการฟัง แล้วเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยไม่ใช่ว่าจะมีมากมายได้อย่างไร

    อ.กุลวิไล มีผู้ฝากคำถามมาเรียนถามท่านอาจารย์ ถ้าหากผู้นั้นเป็นผู้ที่พอแค่ขั้นฟังเข้าใจอย่างเดียว แต่ไม่สนใจใส่ใจที่จะรู้สภาพธรรมที่เป็นวิปลาสที่มีขณะนี้ กราบเรียนท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจเกี่ยวคำว่า พอหรือยังที่ฟังเรื่องของวิปลาส

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้วหาเรื่อง หรือว่าหาความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้แต่คำแต่ละคำ เช่นคำว่าวิปลาส ต้องเป็นอกุศล เพราะเหตุว่า ถ้ากุศลเป็นที่วิปลาสก็ไม่มีทางที่จะดับอกุศลได้เลย ด้วยเหตุนี้ ธรรมต้องละเอียด เพราะเหตุว่า ธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก สามารถจะเข้าใจได้ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความละเอียดของธรรมในขณะนี้ให้เข้าใจ แต่ไม่ใช่หาเรื่อง ใช่ไหม เรื่องเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน หน้านั้นเป็นอย่างไร หน้านี้เป็นอย่างไร คำนี้ไปเกี่ยวข้องกับคำนั้นเป็นยังไง แต่แม้แต่คำว่าวิปลาส เป็นอกุศลถูกต้องไหม

    เพราะเหตุว่า ความไม่รู้ก็ย่อมเข้าใจผิด ในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตลอดชีวิต ไม่ได้เข้าใจความจริงเลยว่าเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งมีปัจจัยเกิด และดับไป สืบต่อเร็วจนผู้ไม่รู้ก็ยึดถือ นิมิตคือรูปร่างสันฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงสูงๆ ต่ำๆ ทำให้มีการจำว่าเป็นเสียงใครด้วย แล้วก็ยึดมั่นพอใจในเสียงต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็มาจากความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตาม อกุศลใดๆ เกิดเพราะไม่รู้ ทุกครั้งที่จะเป็นโลภะก็เพราะมีอวิชชาความไม่รู้เกิดร่วมด้วย จะเกิดความขุ่นเคืองไม่พอใจก็เพราะมีความไม่รู้เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น หรือไม่ว่าจะมีความสำคัญตน หรือว่าความริษยาใดๆ ก็ตามทั้งหมดเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ให้ทราบว่าประการแรกคือว่า วิปลาสทั้งหมดต้องเป็นอกุศล มีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้หรือเปล่า แต่ไม่ใช่ไปหาเรื่องวิปลาสมาคิด หรือว่าพยายามที่จะไปเข้าใจในสิ่งที่เกินวิสัย ที่ใช้คำว่า เกินวิสัยก็คือว่า แม้ขณะนี้วิปลาส ก็มีก็ไม่รู้ แต่กำลังจะคิดเรื่องราวของวิปลาสต่อไป

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมทั้งหมด เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริงที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น ตอนนี้มีใครสงสัยไหมว่า ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศล ขณะนั้นสัญญาวิปลาส แน่นอน สัญญาคือความจำผิด สิ่งที่ไม่เที่ยงเกิดดับก็ไม่มีทางที่จะรู้เลย ก็วิปลาสเข้าใจว่าสิ่งนั้นเที่ยง จึงเป็นอัตตสัญญา และจิตที่มีสัญญาเจตสิกที่เป็นอกุศลวิปลาสเกิดขึ้น จิตนั้นก็ต้องเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นที่อกุศลจิตเกิดขึ้นสัญญา และจิตวิปลาส ซึ่งถ้าวิปลาสมากกว่านั้นอีก คือมีความเห็นผิดมากมาย เกี่ยวกับสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ตรงตามความเป็นจริง และยึดถืออย่างมั่นคง ขณะนั้นก็เป็นทิฏฐิวิปลาส เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏเพื่อละความเห็นผิด และความไม่รู้ ก่อนที่จะไปละอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น ให้ทราบว่า ไม่มีทางที่จะไปละอกุศลใดๆ ได้ถ้ายังคงมีความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ และที่ได้ยินได้ฟังจากพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา โดยในนัยต่างๆ

    อ.วิชัย วิปลาส ๓ คือสัญญาวิปลาส จิตวิปลาส และทิฏฐิวิปลาส ถ้ากล่าวโดยในฐานะ ๔ อย่างคือ ไม่เที่ยงว่าเที่ยงหนึ่ง เป็นทุกข์ว่าเป็นสุขหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตนหนึ่ง แล้วก็ไม่งามว่างามหนึ่ง อย่างเช่นท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าขณะที่เป็นอกุศล ขณะนั้นก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยงเลย ขอความเข้าใจท่านอาจารย์ที่ว่าเป็นอกุศลแล้วยังมีความสำคัญว่า ธรรมที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องคิดด้วยหรือ เดี๋ยวนี้เอง กำลังปรากฏความไม่เที่ยงหรือเปล่า

    อ.วิชัย ไม่ปรากฏเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะต้องไปคิดไหม

    อ.วิชัย ก็ไม่ต้องคิดก็ยังมีความสำคัญอย่างนั้นอยู่

    ท่านอาจารย์ เป็นประจำอยู่แล้ว เที่ยงเสมอ ไม่เห็นมีอะไรที่เกิด และดับไปเลยสักอย่าง แม้แต่ขณะนี้ที่เห็นก็ยังเหมือนเที่ยง เพราะฉะนั้น ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ปรากฏ การเกิดขึ้น และดับไป จะเข้าใจความหมายของเป็นทุกข์ไหม หรือทุกขลักษณะซึ่งเป็นอริยสัจจะ ความจริงแท้แน่นอน คือขณะนี้สิ่งใดก็ตามที่เกิดสิ่งนั้นดับเร็ว ไม่รู้เลย เพราะว่ามีสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อทันที

    เพราะฉะนั้น ในขณะใดก็ตามที่เห็นว่าไม่เที่ยง จึงเห็นว่าเป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน และไม่งาม แต่ไม่ใช่หมายความว่าไม่มีสิ่งที่น่าพอใจปรากฏ เพราะว่าลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมด มีทั้งฝ่ายที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ สิ่งน่าพอใจ จะไปพยายามบอกว่าไม่น่าพอใจก็ผิดใช่ไหม แต่ว่าต้องรู้ในความหมายจริงๆ ว่าไม่งามที่นี่ หมายความถึงลักษณะที่เกิดดับไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วจะงามได้อย่างไร เพราะเหตุว่า ขณะนั้นก็ไม่ได้ปรากฎว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    อ.กุลวิไล ทำไมนัยของวิปลาส ท่านกล่าวถึงสัญญาจิต และทิฏฐิ ทั้งๆ ที่ อวิชชาคือความไม่รู้เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง

    ท่านอาจารย์ ทรงแสดงไว้แล้วอย่างนี้ แต่ว่าความเข้าใจก็ต้องละเอียดด้วยใช่ไหม ในเมื่ออวิชชาเป็นพื้นอยู่แล้ว ยังจะต้องกล่าวถึงไหม หรือแม้สมุทัยที่บอกว่าโลภะเป็นสมุทัยเป็นเหตุของทุกข์ ก็ไม่ได้พูดถึงอวิชชา แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะนั้นไม่มีอวิชชา เพราะฉะนั้น ในที่บางแห่งก็รวมอวิชชาไว้ด้วย แต่ถึงในที่บางแห่งไม่ได้กล่าวถึงอวิชชา อวิชชาก็มีอยู่ในที่นั้น เพียงกล่าวว่าอกุศลก็รู้แล้วว่าต้องมีอวิชชาด้วย แม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ยังไม่รู้จักสักสิ่งหนึ่ง พอที่จะได้เข้าใจว่าไม่มีเรา ที่จะไปบังคับบัญชา

    ธรรม ก็คือธรรมจริงๆ เกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัยพอที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เช่นเห็นในขณะนี้ มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดเห็น แต่ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้เกิดได้ยิน และคิดนึก แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะมีเหตุปัจจัย แต่ยังไม่รู้จักสักหนึ่ง แต่กำลังคิดเรื่องหนึ่งใช่ไหม เกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่ถ้าสามารถที่จะเข้าใจลักษณะนั้นซึ่งเป็นธรรม ก็สามารถที่จะรู้ความจริงว่า ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏ จิตเกิดขึ้นจะรู้อะไร ก็รู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้ ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น จิตเห็นเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ แล้วสิ่งนั้นจะเกิด ปรากฏโดยไม่มีจิตเห็นไม่ได้ และจิตเห็นจะเกิดเห็นโดยไม่มีจักขุปสาท และปัจจัยอื่นๆ ก็ไม่ได้ นี่คือขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ไปคิดถึงเรื่องต่างๆ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริง ว่าขณะนี้เพียงแค่เห็นเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ก็คือการเข้าใจธรรมในขณะนี้นั่นเอง สามารถเข้าใจธรรมในขณะนี้ได้ก็สามารถที่จะรู้จักวิปลาสได้ โดยที่ว่าจะไม่เดือดร้อนกับวิปลาส

    ท่านอาจารย์ เห็นขณะนี้มีแน่ๆ รู้ง่ายไหม

    ผู้ฟัง ไม่ง่าย

    ท่านอาจารย์ ไม่ง่าย และควรรู้ไหม ในเมื่อมีจริงๆ

    ผู้ฟัง ควรรู้

    ท่านอาจารย์ เมื่อควรรู้ และรู้ไม่ง่าย เพราะฉะนั้น อะไรที่จะทำให้ค่อยๆ รู้ได้ คือความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงหลังจากที่ได้ฟัง จนกระทั่งเข้าใจได้ว่าขณะนี้ก็เป็นเพียงขณะหนึ่งในสังสารวัฎฏ์ ซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตนี้ อย่าลืมว่าวันหนึ่งก็ต้องหายไปจากโลกนี้แน่นอน ไม่กลับไปอีกเลย แต่ก่อนจะหายไป มีเห็น มีได้ยินทุกวัน แล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะอยู่ในโลกนี้ ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึก ทั้งสุข ทั้งทุกข์ แต่ไม่รู้จักสภาพธรรมเหล่านั้นตามความเป็นจริงเลย สมควรไหมที่จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ทุกชาติ เพราะฉะนั้น ก็เป็นคำถามที่ขอถามว่า ถ้าจะขอตั้งใจ ไม่ใช่ไปขอใคร ผลของกุศลทั้งหลายที่ได้กระทำมาแล้ว ให้ได้อะไรสักอย่างหนึ่ง หรือให้เกิดอะไรเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง อะไรเป็นที่ปราถนาสูงสุด เพียงอย่างเดียว เพราะรู้สึกเรื่องอยากนี่อยากเยอะ โน่นบ้างนี่บ้าง บ้านบ้าง ครอบครัวบ้าง อะไรบ้างสารพัด แต่เพียงอย่างเดียว อะไรเป็นที่ปราถนาที่ประเสริฐที่สุด ของการที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไป ก่อนที่จะหายไปจากโลกนี้

    ผู้ฟัง คือการเข้าใจธรรมในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืมนะ

    ผู้ฟัง แต่เข้าใจนี่ยาก

    ท่านอาจารย์ ขอกุศลทั้งหมดที่ได้ทำแล้ว เป็นปัจจัยให้สามารถเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทุกชาติ นี่คือปัญญาหรือเปล่า นี่คือกุศลวิตกหรือเปล่า นี่คือวิริยะความเพียรหรือเปล่า นี่เป็นความอดทนหรือเปล่า นี่เป็นสัจจะความจริงใจหรือเปล่า ก็จะเห็นได้ว่าไม่ง่าย ที่เพียงแต่จะเข้าใจเห็น ซึ่งมีกำลังเห็นเกิดขึ้น และดับไป มิเช่นนั้นพระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงแสดงเลย ๔๕ พรรษา ของการที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ก็เพื่อที่จะให้สัตว์โลกมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง แล้วก็ได้เข้าใจ อย่างที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว

    เพราะฉะนั้น เพียงสิ่งเดียวที่ขอ อย่างมั่นคง ไม่ใช่ขอด้วยความต้องการ หรือว่าขอโดยไม่มีเหตุ แต่ผลของกุศลทั้งหลาย ที่ได้กระทำมาแล้ว ขอให้ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ก็รวมบารมีทั้งหมดไว้แล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ลืม ไม่ได้ขออย่างอื่นเลยก่อนที่จะหายไปจากโลกนี้ รู้ยากมาก ต้องอาศัยการฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ต้องรู้ว่าปัจจัยที่จะทำให้เข้าใจ มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ คืออะไร ฟังเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    อ.กุลวิไล ท่านถามถึง สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ถูกต้องไหม กำลังมีในขณะนี้ ใครไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่มีทางเลยแต่ที่ไม่รู้ก็คิดว่า เกิดแล้วปรากฏแล้วก็ยังไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่เหลือเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงๆ เป็นธาตุหรือเป็นธรรมอย่างหนึ่งสิ่งที่มีจริงในภาษาไทย ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าธรรม หรือธา-ตุ เป็นธาตุซึ่งแสดงว่าไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย เห็นจะเป็นของใครไม่ได้เลย และก็จะเป็นใครไปไม่ได้ด้วย หนอนเห็นไหม

    อ.กุลวิไล เห็น

    ท่านอาจารย์ ยักษ์ ไม่มีใครเคยเห็นยักษ์ เห็นแต่มนุษย์ตัวใหญ่ๆ เห็นไหม

    อ.กุลวิไล ยักษ์ ก็ต้องมีจิตเห็น

    ท่านอาจารย์ งู

    อ.กุลวิไล ก็ต้องมีจิตเห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นเป็นเห็น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าจะมี แมวอยู่ที่นี่สักตัวหนึ่ง จะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอย่างนี้ไหม

    อ.กุลวิไล ต้องเห็นอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเห็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงๆ ซึ่งเมื่อมีจิตเห็นเมื่อไหร่ ก็จะต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเมื่อนั้น จะขาดสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้เลย ทุกครั้งที่เห็น เพราะฉะนั้น ยังไม่มีความเข้าใจทั้งเห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ให้ทราบว่า เห็นมีจริง สิ่งที่มีจริง และไม่ใช่สภาพรู้ คือไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย มีเยอะไหม มีหลายอย่างไหม เช่นอะไรบ้าง

    อ.กุลวิไล ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา มีเสียงที่ปรากฏทางหู

    ท่านอาจารย์ เสียงก็ไม่รู้อะไร

    อ.กุลวิไล ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก

    อ.กุลวิไล มีสภาพธรรมที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง

    ท่านอาจารย์ เย็นไม่รู้อะไร ร้อนไม่รู้อะไร อ่อนแข็งไม่รู้อะไร มีอะไรอีก

    อ.กุลวิไล กลิ่น

    ท่านอาจารย์ กลิ่น ก็ไม่ใช่สภาพที่รู้อะไร และมีอะไรอีก

    อ.กุลวิไล มีรส

    ท่านอาจารย์ รส เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า เราเพียงแต่ได้ยินคำว่ามหาภูตรูป รูปที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน คือธาตุดินซึ่งหมายความถึงลักษณะที่แข็งหรืออ่อน ธาตุไฟลักษณะที่เย็นหรือร้อน ธาตุลมมีลักษณะที่ตึงหรือไหว ถ้าไม่มีธาตุลมอะไรก็ไหวไม่ได้เลยทั้งสิ้น เคลื่อนย้ายไม่ได้เลย และก็มีธาตุน้ำ ซึ่งกระทบสัมผัสไม่ได้เลย

    เพราะเหตุว่า เป็นธาตุที่เกาะกลุ่มซึมซาบ ธาตุดินไฟลมจะขาดธาตุน้ำไม่ได้เลย เพราะว่าทั้ง ๔ ธาตุเกิดร่วมกัน เป็นธาตุที่เป็นมหาภูตรูปเป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน หมายความว่ารูปอื่นใด จะมีไม่ได้ถ้าปราศจากมหาภูตรูป ๔ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ และก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม เป็นธาตุดินหรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุน้ำหรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุไฟหรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุลมหรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธาตุดินน้ำไฟลม จะมีสิ่งที่สามารถกระทบให้ปรากฏให้เห็นได้หรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้มีจริง แล้วอยู่ที่ไหน อยู่ที่มหาภูตรูป ธาตุดินน้ำไฟลม เพราะฉะนั้น เมื่อมีมหาภูตรูป ๔ ก็มีรูปที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูปทุกครั้งที่มหาภูตรูปเกิด อีก ๔ รูป คือสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท ปรากฏสีสันวรรณะต่างๆ สว่างหรือมืด หรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่มีจักขุปสาท ธาตุนี้เกิดไม่ได้ ทั้งๆ ที่อยู่ที่มหาภูตรูป อาศัยมหาภูตรูป เกิดกับมหาภูตรูป แต่สิ่งที่ปรากฏทางตานี้เป็นสิ่งเดียวที่กระทบจักขุปสาท โดยที่มหาภูตรูปกระทบจักขุปสาทไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ ขณะใดก็ตาม ที่มีสีสันวรรณะรูปร่างสันฐาน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เห็น รู้ได้ทันทีเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป ไม่สามารถจะเอามหาภูตรูป มากระทบจักขุปสาท

    เพราะฉะนั้น รูปนี้ซึ่งเกิดกับมหาภูตรูปสามารถกระทบสิ่งที่อยู่ไกล คือจักขุปสาท สีอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ที่มหาภูตรูป แต่ก็สามารถกระทบได้ กับจักขุปสาทซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เลย ต้องอยู่ห่างกัน เพราะฉะนั้น รูปที่กระทบได้ก็มีทั้งใกล้ และไกลด้วย

    ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ใครรู้จักสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็แสดงเห็นอยู่แล้วอย่างที่ถามว่า ทุกอย่างที่ปรากฏเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรเป็นปัจจัย แต่ความจริงทุกอย่าง ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิด แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นก็ต้องมีมหาภูตรูป ถ้าไม่มีมหาภูตรูป สิ่งนี้ก็ไม่มี

    เวลานี้มีดอกไม้ที่ตั้งอยู่ที่นี่ สีสันต่างๆ เอาออกไป เอาอะไรออกไป มหาภูตรูป แต่ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจเลย ว่าเป็นมหาภูตรูป คิดว่าเอาดอกไม้ออกไป แต่เมื่อเอาออกไปแล้ว สีสันวรรณะไม่ปรากฏเลย เพราะว่าสีทั้งหลายสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท ต้องอยู่กับมหาภูตรูป

    ด้วยเหตุนี้ เพียงแต่เอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกไปให้พ้น การกระทบกับจักขุปสาท สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏ แต่จะเอาเพียงสีออกไป ไม่เอามหาภูตรูปไปนี่ได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของธรรมซึ่งละเอียดมาก แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทุกวัน ก็ยังไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นธาตุหรือธรรมซึ่งมีจริง แต่ต้องมีมหาภูตรูป


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567