พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 766


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๖๖

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์อยากเป็นอิสระไหม

    ผู้ฟัง อยากเป็นอิสระ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือ หลุดพ้นจากความไม่รู้ และความติดข้องด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยคุณนิรันดร์ แล้วปัญญามาจากไหน คิดเองไม่ได้ สภาพธรรมปรากฏทุกวัน ไม่เห็นมีใครคิดเรื่องความจริงของสภาพธรรม ตรงตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่า ไม่สะสมปัญญา และบารมี คือกุศลทั้งหลายพอ เพราะว่าวันหนึ่งๆ อกุศลมากมายเหลือเกิน

    เพราะฉะนั้น ที่จะให้กุศลแม้เพียงเล็กน้อยเกิดก็ยังยาก แล้วจะให้เป็นปัญญาที่สามารถที่จะเห็นถูกจนกระทั่งไม่มีเยื่อใยในสิ่งที่ปรากฏ ต้องเป็นเพราะปัญญา ไม่ใช่เป็นเพราะคุณนิรันดร์ไปนั่งทำอะไรแล้วคิดว่าจะเห็นนั่นเห็นนี่ ใช่ไหม แต่ไม่เข้าใจ ทำไมต้องไปนั่งเห็นนั่นเห็นนี่ ก็เดี๋ยวนี้แข็งยังไม่เข้าใจเลย เห็นก็ยังไม่เข้าใจ ได้ยินก็ยังไม่เข้าใจแล้วจะไปนั่ง เห็นนั่นเห็นนี่แล้วจะเข้าใจอะไร เห็นก็ไม่เข้าใจแล้วยังไม่เกิดขึ้นด้วย ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจความหมายของปัญญา คือความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ ยิ่งเข้าใจความจริงมากเท่าไหร่ ก็หลุดพ้นจากความไม่รู้ และความติดข้อง จนกว่าสามารถที่จะดับพ้นเป็นอิสระ เป็นนกที่ออกจากกรงของสังสารวัฏฏ์ กรงน่าอยู่ไหม

    เพราะฉะนั้น มีหนทางที่จะออกจากกรง แต่ต้องเห็นความเป็นอนัตตา และต้องรู้ว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่ยั่งยืน เพียงเกิดปรากฏแล้วหมดไป เร็วแสนเร็วจนไม่รู้ความจริงว่า เท่านี้เอง สืบต่อจนกระทั่งเหมือนไม่ขาดสายเลย จิตที่ยังรู้ว่าเป็นจิตหรือมีจิต ก็เพราะจิตเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย ถ้าเพียงจิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับไปแล้วไม่มีจิตอื่นเกิดต่อ ขณะนั้นก็จะไม่รู้ว่าจิตมีลักษณะอย่างไร

    แต่เพราะเหตุว่า จิตแม้ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ไม่ขาดสาย เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ก็ยังมีธาตุรู้หรือสภาพรู้ซึ่งต้องอาศัยการฟัง ใครจะรู้ว่า เห็นขณะนี้เป็นธาตุหรือเป็นธรรม เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดแล้วไม่รู้ไม่ได้ โดยเฉพาะ เห็นเกิดเป็นเห็นเพราะอาศัยตา จึงเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กระทบตา จะให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ก็คือ ธาตุหรือธรรมอย่างหนึ่ง แต่ละหนึ่งๆ ถ้าเป็นแต่ละหนึ่งทั้งหมด ก็จะไม่มีคุณนิรันดร์ จะไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ จะละความติดข้องได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไร เห็นฟุตบอล ติดแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ การละกิเลสที่จะหลุดพ้นได้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า จะต้องเริ่มต้นด้วยการรู้ความจริง และเข้าใจความจริงก่อน

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ปัญญาขั้นต้นคือ ฟัง “สุตมยญาณ” ถ้าไม่ฟัง คุณนิรันดร์จะไตร่ตรองไหมว่า ได้ฟังมา เห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นอย่างนี้ เป็นความจริงอย่างหนึ่ง เพราะเห็นแล้ว แต่เกิดแล้วเป็นอย่างนี้แล้วเห็นแล้ว และก็หมดไป ทันทีที่ได้ยินปรากฏ เห็นต้องไม่มี เพราะสภาพธรรมจะปรากฎได้ ทีละอย่าง

    ผู้ฟัง ฟังเพื่อให้เข้าใจว่า เห็นในขณะนี้เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาไม่ได้ ใช้คำว่า อนัตตา ก็ได้ แต่หมายความว่าไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของคุณนิรันดร์ ไม่ใช่ตัวคุณนิรันดร์ แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงเห็น เราจะไม่พูดถึงรูป ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ตา หู จมูก ลิ้น อะไรเลย แต่พูดถึงธาตุที่กำลังทำหน้าที่นี้ คือกำลังเห็นเดี่ยวนี้ มี เกิดแล้วจึงเห็น ถ้าไม่เกิดก็เห็นไม่ได้ และเห็นแล้วก็ไม่เที่ยง คือดับไปทันที นี่คือการที่ฟัง แล้วพิจารณาว่าเป็นความจริงไหม เป็นเราเห็นหรือเปล่า หรือว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น เพียงแต่จะเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ก็ต้องอาศัยการฟัง การไตร่ตรอง แล้วก็เริ่มเข้าใจลักษณะของเห็นเมื่อพูดถึงเห็น เริ่มเข้าใจลักษณะของแข็งเมื่อพูดถึงแข็ง เพียงปรากฏ ทุกอย่างเพียงปรากฏ และความจริงข้อความต่อไปก็คือ เพียงอาศัยระลึก เพราะอะไร เพราะถ้าเป็นปัญญาจะรู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนเร็วมาก ขณะนี้เราฟังรู้ว่ามีเห็น แล้วก็มีได้ยิน เหมือนกับแยกกันไม่ได้เลย แต่ความจริง มีจิตซึ่งเกิดคั่น เห็นกับได้ยิน โดยที่ไม่รู้เลย ถ้ามัวแต่ใส่ใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้สิ่งที่เกิดต่อก็ผ่านไปโดยไม่รู้

    เพราะฉะนั้น กว่าจะละคลายด้วยความเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมอื่นซึ่งเกิดสืบต่อด้วย ก็จะทำให้ไม่เข้าใจเพียงสภาพธรรมเดียว แต่จะเข้าใจสภาพธรรมอื่นเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งคุ้นเคย และชินกับการที่เป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมาก และก็เป็นผู้ที่ตรง มีความเข้าใจแค่ไหน ก็คือเข้าใจแค่นี้ แต่ความเข้าใจแค่นี้เพิ่มขึ้นอีกได้ เมื่อมีการฟังเพิ่มขึ้น ไตร่ตรองเพิ่มขึ้น และก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ ถ้าเราไม่ได้ฟังธรรม เราก็จะไม่ได้เข้าใจว่า เห็นเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าเราไม่ได้ฟัง เราก็จะเข้าใจผิดว่า เห็น เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ตามที่เราเคยยึดถือ และสะสมมา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจความหมายของ “ความเห็นผิด” ได้ยินคำนี้บ่อยๆ ใช่ไหม ทิฏฐิ เป็นความเห็น ผิด คือ มิจฉา เห็นผิดคือ ไม่เห็นตรงตามความเป็นจริงของธรรม ธรรมเกิดไม่เห็น จากไม่มี แล้วมี และธรรมดับไป จากมี แล้วหามีไม่ ก็ไม่เห็น ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น การฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า สภาพธรรมจริงๆ เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องคำนึงว่า วันไหนจะเข้าใจมากกว่านี้ เพราะว่า ถ้าไม่มีการฟังแล้วฟังอีก แล้วก็เห็นประโยชน์จริงๆ การฟังน้อยมาก และการฟังผิวเผิน และการฟังโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ที่จะเข้าใจ สนทนากันบ้าง คุยกันบ้าง ก็คือว่าแล้วเมื่อไหร่ ยิ่งนานไปอีกใช่ไหม เพราะโอกาสที่จะได้ฟังก็มี แต่ว่าไม่เห็นค่าของการที่จะได้ฟัง ก็ไปทำอย่างอื่น แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา คุณนิรันดร์ทราบไหม ขณะต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ไม่ทราบเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่ของใคร คิดได้ หวังได้ แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเป็นไปตามปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ให้มีความมั่นคง ไม่ว่าจะฟังพระสูตร พระวินัย หรือพระอภิธรรม ก็เพื่อให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่เกิดปรากฏชั่วคราวแล้วก็ ไม่กลับมาอีกเลย ไม่เหลือเลยด้วยซักขณะเดียว

    ผู้ฟัง ไม่ว่าจะฟังในพระสูตร พระวินัย หรือพระอภิธรรม ล้วนมีประสงค์เดียวว่า เพื่อให้เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม ทำไมท่านอาจารย์ถึงกล่าวตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ใครฟังพระวินัย

    ผู้ฟัง ใครฟังพระวินัย ไม่มีสัตว์บุคคลที่ฟังพระวินัย

    ท่านอาจารย์ กำลังฟัง รู้ไหม

    ผู้ฟัง กำลังฟังก็รู้ว่ามีสภาพธรรมที่รู้

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังฟัง ไม่ต้องเรียกว่าวินัยได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้องเรียกว่าวินัยก็ได้

    ท่านอาจารย์ ฟังพระสูตร ใครฟัง

    ผู้ฟัง ก็มีสภาพธรรมที่กำลังฟัง

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกพระสูตรได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้องเรียกพระสูตรก็ได้

    ท่านอาจารย์ ใครฟังพระอภิธรรม

    ผู้ฟัง มีสภาพธรรมที่กำลังฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วไม่เรียกอภิธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้องเรียกพระอภิธรรมก็ได้

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นมีอะไรเป็นของจริง ขณะที่ฟัง

    ผู้ฟัง มีสภาพที่ได้ยินเป็นของจริง

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก

    ผู้ฟัง สภาพที่ได้ยินเรื่องราว เข้าใจ เป็นของจริง

    ท่านอาจารย์ ได้ยิน อะไรจริงอีก ได้ยินจริงใช่ไหม

    ผู้ฟัง ได้ยินจริง

    ท่านอาจารย์ เสียงจริงไหม

    ผู้ฟัง เสียงก็จริง

    ท่านอาจารย์ แล้วดับไปแล้วยัง

    ผู้ฟัง ดับไปหมดแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะได้ยินอะไร ก็เป็นธรรม เพื่อละความไม่รู้ ถ้าไม่มีธรรมเลย ไม่มีอกุศลเลย จะต้องมีพระวินัยไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ จะต้องมีพระสูตรไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ จะต้องมีพระอภิธรรมไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เมื่อมีธรรม จึงมีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรม เมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็แสดงความจริงของธรรม แล้วก็จารึกเป็นข้อความสืบต่อมา จนถึงผู้ที่แม้ไม่ฟังจากพระโอษฐ์ก็ยังรู้ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ณ สมัยหนึ่ง ที่ประทับอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง อย่างนั้น ถ้าเราฟังพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม แล้วสนใจไปกับชื่อพยัญชนะ เรื่องราวต่างๆ เราก็จะไม่ได้สาระประโยชน์อะไร จากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนั้นเหรอ

    ท่านอาจารย์ พระธรรมทุกคำเป็นคำจริง ไม่ว่าจะเป็นพระสูตร พระวินัย หรือพระอภิธรรม เพราะมีกิเลสจึงมีวินัย เพราะมีกิเลสจึงมีพระสูตร เพราะมีกิเลสจึงมีการทรงแสดงพระอภิธรรม ก็พูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดโดยนัยที่หลากหลายมาก เพื่ออะไร เพื่อคนที่ไม่รู้ ไม่เคยฟัง ยึดมั่นในความเป็นตัวตน ในความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล กว่าจะรู้ความจริงว่า ไม่มีคนจริงๆ ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สืบต่อกัน จนยึดถือว่าเป็นคน

    อ.วิชัย การศึกษาเพื่อเข้าใจ บางท่านก็ฟังแล้วก็มีความรู้ขึ้นบ้าง ในเรื่องของพระธรรมว่า พระธรรม ก็คือสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง เพื่อเข้าใจธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าถามว่าขณะที่ฟังเข้าใจพระธรรมแค่ไหน ใช่ไหม อาจจะได้ยินคำเรื่องของจิตบ้าง เรื่องของเจตสิกบ้าง ธรรมที่ไม่ดีเป็นอกุศลประเภทต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ หรือธรรมที่เป็นกุศลก็มี เป็นศรัทธาบ้าง สติบ้าง ปัญญาบ้าง ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง อันนี้ก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมที่มีจริงๆ แต่ว่าสามารถที่จะเมื่อฟัง เข้าใจธรรม คือสิ่งที่มีจริงแค่ไหน

    เพราะเหตุว่า สิ่งที่เราฟังทั้งหมดเป็นเรื่องราวต่างๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง และทรงแสดง แต่ธรรมที่ฟังทั้งหมด เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ฉะนั้นทุกท่านที่มาในที่นี้ เพราะเหตุว่า ระลึกได้ใช่ไหม ที่จะมีโอกาสได้มีการฟังพระธรรม ได้มีโอกาสที่จะเข้าใจพระธรรม อันนี้ก็เป็นกาลในการฟังพระธรรม เป็นกาลที่จะมีการใส่ใจพิจารณาธรรม คือสิ่งที่มีจริง เพราะเหตุว่า แม้บุคคลที่เป็นคนดี คืออาจจะมีอุปนิสัยที่สั่งสมมาเป็นคนดี กับไม่เข้าใจธรรม แต่บุคคลบางครั้งก็มีสั่งสมอกุศลมา แต่ก็เริ่มมีความที่จะเห็นประโยชน์ของการศึกษาให้เข้าใจธรรม จะเข้าใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เรื่องที่ดูเหมือนง่าย แต่ถ้าจะเข้าใจจริงๆ ก็ยาก แม้แต่เพียงคำว่า “ดี” กับ “ชั่ว” ๒ คำนี้ คิดกันเอาเองก็ต่างคนก็ต่างว่า อย่างนี้ดี อย่างนั้นชั่ว แต่ว่าตามความเป็นจริง ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสภาพนั้นที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น เช่นบอกว่า นั่งเฉยๆ ดี หรือ ชั่ว

    อ.กุลวิไล ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็เข้าใจว่า ดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า แม้แต่เดี๋ยวนี้ ก็ยังรู้ยากใช่ไหมว่าดีหรือชั่ว ทั้งๆ ที่ก็มีทั้งธรรมที่เป็นฝ่ายดี และธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดี ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมก็เพื่อให้มีความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่คิด แล้วก็นานกว่าจะรู้ แต่ว่าถ้าโดยผลที่เกิด เราจะรู้ได้สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เกิดความทุกข์ สิ่งนั้นจะดีไหม

    อ.กุลวิไล ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ เกิดมาดีไหม เห็นไหม ต้องอาศัยการฟังพระธรรมแล้วถึงจะรู้ว่า เกิดมาดีไหม แค่ดีกับชั่ว ๒ อย่าง ใช่ไหม เกิดมาดีไหม ดีที่เกิดหรือ เป็นมนุษย์แล้วก็ มีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่นแต่ทุกอย่างก็ผ่านไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น แม้แต่คำที่เราใช้ว่า ดี ชั่ว ก็ต้องเป็นสิ่งที่หมายความถึงธรรม ซึ่งมีจริงๆ และใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนสภาพธรรมนั้นได้

    ด้วยเหตุนี้ แม้แต่คำที่รู้สึกว่าจะง่ายคือ ดีกับชั่ว แต่กว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าผลที่ไม่ดีทั้งหมด ความทุกข์ ความเจ็บ ทุกอย่างที่ไม่น่าปรารถนาต้องมาจากเหตุที่ไม่ดีแน่นอน แต่กว่าจะรู้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม และก็รู้ว่าไม่ใช่เฉพาะในขณะนั้น เหตุนี่ (นาทีที่ ๓๘ แก้เป็น "ที่") มีมานานแล้วก็มี หรือเหตุที่ขณะนั้นเกิดเป็นอย่างนั้นก็มี และสำหรับความดีก็เช่นเดียวกัน วันหนึ่งๆ ดีตอนไหน นั่งอยู่อย่างนี้ ดีไหม ฟังธรรมเข้าใจหรือเปล่า ฟังเพื่ออะไร ทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก

    เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้น คือรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงจากการที่ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่คิดเอา อย่างเราถามกันว่า อะไรดี อะไรชั่ว ต่างคนก็ต่างคิด แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพที่เป็นอย่างนั้นๆ ไม่เป็นอย่างอื่น แล้วก็ทรงแสดงตามความจริงโดยละเอียด ซึ่งต้องเข้าใจให้ถูกต้องในเบื้องต้นว่า เป็นธรรม เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง มีปัจจัยเกิดแล้วเดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่มีใครไปทำให้เกิดได้เลย มีการเกิดขึ้น แล้วก็มีการดับไป นี่คือการฟังพระธรรม เข้าใจอย่างนี้ ดีหรือชั่ว ถ้าจะถาม ใช่หรือไม่ ความเข้าใจ ดีหรือชั่ว ถ้าไม่เข้าใจ ตรงกันข้าม ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่เราจะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ แต่ต้องไม่ลืมว่าการฟังพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จากการที่ทรงตรัสรู้ต้องให้เกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ตั้งแต่ต้น คือให้รู้ว่าเป็นธรรม มิฉะนั้นแล้ว ฟังเท่าไหร่ก็ยังเป็นเรา ไม่ได้เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ก็จะไม่เข้าใจเลยว่า แท้ที่จริงสิ่งที่มีของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วก็รู้ว่า เป็นลักษณะของธาตุหรือสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง ซึ่งเกิด และดับไปอย่างรวดเร็ว และก็ทรงแสดงด้วยให้รู้ว่า ธรรมที่เป็นฝ่ายดีมีอะไรบ้าง และธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดีขณะไหน เป็นอย่างไร

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กรุณาได้กล่าวถึงความดี และความชั่ว ถ้าคิดถึงขณะที่โกรธหรือว่าขณะที่โลภจัดๆ ก็รู้ว่านั้นชั่ว แล้วก็ถ้าเข้าใจธรรมก็เป็นความดี แต่ที่ท่านอาจารย์ว่านั่งเฉยๆ อย่างนี้ เป็นความดีหรือความชั่ว ขอความกรุณา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมจะตอบได้ไหม

    อ.วิชัย ไม่ได้ เพราะไม่รู้

    ท่านอาจารย์ นอกจากคิดเอง ต่างคนก็ต่างคิด ผิดๆ ถูกๆ

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ที่ได้สนทนากับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์กล่าวคำหนึ่ง คือว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งคำนี้ต้องเป็นไปตามจริงทุกสูตร แม้จะกล่าวในเรื่องของศีล และบุคคลที่มีศีล แล้วก็จะรู้ว่าศีลเป็นธรรม คือจะรู้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ คุณวิชัยก็พูดถึงคำที่ทุกคนได้ยิน ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ศีลเป็นเรา หรือว่าเป็นธรรมในขณะนั้น

    อ.วิชัย ต้องเป็นธรรม เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ถ้าจิตเป็นกุศลขณะนั้นมีกุศลศีล ถ้าจิตเป็นอกุศลขณะนั้นก็เป็นอกุศลศีล ถ้าขณะนั้นเป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีทั้งกุศล และอกุศล ก็เป็นอัพยากตศีล เพราะว่าถ้าไม่มีกาย วาจา มีอะไรที่จะต้องสนใจไหมในวันหนึ่งๆ ไม่มีการแสดงออกของกุศล และอกุศลเลย แต่ว่าในภูมิภพซึ่งมีทั้งรูปขันธ์ และนามขันธ์ ไม่ได้มีแต่เฉพาะจิตเป็นธาตุรู้ และเจตสิกคือ นามธรรมซึ่งเกิดกับจิต แล้วก็ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต ตามที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว แล้วก็เข้าใจกันแล้วด้วย แต่ว่าในภูมิที่มีทั้งรูปธาตุ และนามธาตุ ต้องอาศัยกัน และกัน

    เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะรู้อากัปกิริยาแม้การเคลื่อนไหว หลังจากที่ได้ฟังแล้วว่า ถ้าจะกล่าวโดยนัยของศีลคือ การกระทำทางกาย ทางวาจาขณะนั้นเป็นอะไร ทั้งหมดเป็นปัญญา ต้องไม่ลืม การฟังเพื่อเข้าใจถูก ซึ่งหมายความถึงปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา (น อตฺตา) ไม่ใช่อัตตาคือ อนัตตา เพราะฉะนั้น ก็แม้แต่ที่คุณวิชัยกล่าวว่า เป็นเรา หรือเป็นเขา หรือว่าเป็นอะไร ทั้งหมดก็คือธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ ซึ่งสามารถที่จะฟังให้เกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้องได้

    อ.วิชัย กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์

    อ.กุลวิไล ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า ศีลนั้นเป็นธรรม เพราะว่าทั้งหมดในธรรม และท่านอาจารย์ให้เราเข้าใจว่า ศีลที่เป็นอกุศลศีลก็มี กุศลศีลก็มี และอัพยากตศีลก็มี กาย และวาจา เป็นทางออกของอกุศลจิตรึกุศลจิตในชีวิตประจำวัน เพราะว่าการพูดก็ตาม หรือการเคลื่อนไหวก็ตาม ด้วยจิตเป็นปัจจัย หรือจิตนั้นเป็นสมุฏฐาน ให้กายหรือว่าวาจานั้นเกิดขึ้น ด้วยจิตอะไร เพราะว่าเราก็พูดกันทั้งวัน แต่ถ้าไม่มีการแสดงออก ทางกาย ทางวาจา จะทราบไหมว่าด้วยจิตประเภทใด ถ้าหากเราไม่รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง แม้แต่คำพูดเป็นทางออกของอกุศลธรรมมากมาย พูดไม่จริงบ้าง พูดให้คนเดือดร้อนบ้าง พูดคำหยาบบ้าง นี่คือชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม ไม่รู้ว่า แม้แต่การกระทำ ทางกาย ทางวาจา เป็นไปด้วยอกุศลศีลมาก ในชีวิตประจำวัน

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงประโยคหนึ่ง ซึ่งก็ควรที่จะได้พิจารณาเพิ่มเติม ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า ขณะนี้กำลังฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเราไม่สามารถคิดเอาเองได้

    ท่านอาจารย์ ใครจะรู้ว่า ศีลเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ถ้าไม่ฟังพระธรรม จะไม่ได้ยินคำว่า “อนัตตา” และ “ธรรม” ซึ่งไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ฟังพระธรรมไม่ว่าจากพระวินัยปิฏก พระสุตตันปิฏก พระอภิธรรมปิฏก หรืออรรถกถา ก็ให้ทราบว่ากำลังฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมดว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุ สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่เกิด จึงปรากฏ เป็นลักษณะต่างๆ เฉพาะแต่ละลักษณะ

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ เห็นมี เห็นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย มีจริงๆ เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยที่ทำให้จิตนี้เกิดขึ้น แล้วก็หมดไป เมื่อวานนี้ก็หมดไป เพราะฉะนั้น ความละเอียดของธรรมที่มี เพียงหนึ่งขณะในสังสารวัฏฏ์ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก เพราะว่า ขณะนี้นับขณะไม่ได้ ว่ามากเท่าไร แต่ว่าจะมีมากเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วก็เข้าใจความละเอียด แต่ต้องไม่ลืมตั้งแต่คำแรกที่ว่าสิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราหรือว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจว่าเที่ยง ไม่ดับ แล้วก็อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วใครทำให้เกิด แล้วก็ดับแล้วด้วย ใครทำให้ดับ

    เพราะฉะนั้น ก็กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จนกว่าจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งจะใช้ภาษาบาลีว่า “ธรรม” เข้าใจธรรม คือ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏมีจริง แล้วก็ไม่เคยเข้าใจ เมื่อสักครู่นี้ก็ไม่เข้าใจ เมื่อสักครู่นี้ก็เห็นใช่ไหม เข้าใจเห็นเมื่อสักครู่นี้หรือเปล่า ก่อนที่เห็นจะดับไป ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ก็เห็น ก็ยังไม่ได้เข้าใจความจริงของเห็น จนกระทั่งเห็นความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ของใคร และไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นการศึกษาเพื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ด้วยความอดทน ด้วยความเห็นประโยชน์ ว่าทุกคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้เลย ทุกคำที่ตรัสเป็นความจริง ซึ่งผู้ที่ได้ฟังแล้ว รู้ว่ากำลังฟังความจริง ซึ่งมีจริง และเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็ฟังต่อไป อบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกต่อไป จนกว่าจะรู้จริง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    16 มี.ค. 2567