พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 775


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๗๕

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ พระองค์ที่ทรงตรัสรู้ด้วยปัญญา และทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นมีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นปัญญาของผู้ฟังเอง เพราะฉะนั้น ถ้าจะคิดว่าตั้งแต่เริ่มมาฟังธรรมนั้นประโยชน์อยู่ที่ไหน ก็คือประโยชน์ที่ เข้าใจสิ่งที่มีจริงยิ่งขึ้น เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าประโยชน์อยู่ที่อื่น แต่ถ้าไม่เข้าใจ ฟังกี่ปีแล้วประโยชน์อยู่ที่ไหน มากหรือน้อยใครรู้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ รู้ คือสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้กำลังฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ จนกว่าจะเข้าใจคือ รู้จัก รู้ลักษณะของสิ่งนั้นที่กำลังเป็นอย่างนั้น ด้วยความเข้าใจถูก

    ขอยกตัวอย่างง่ายๆ บางทีผู้ฟังก็บอกว่า เดี๋ยวตาเดี๋ยวอะไร ก็แข็งก็บ่อยมากเหมือนกันกับทางตา กระทบแข็งวันนี้ใช่ไหม รู้อะไรบ้างตามที่ได้ศึกษา เห็นไหม ต้องตามที่ได้ศึกษาด้วย ถ้าไม่ใช่ตามที่ศึกษาก็คือว่า เหมือนเดิม เป็นช้อน เป็น โต๊ะ เป็น เก้าอี้ เป็น แข็ง ก็ได้ ถามว่าแข็งไหม ก็แข็ง แต่ที่ได้ฟังมาแล้ว หลายครั้งมากถ้าจะนับจำนวนครั้ง และจำนวนคำ แต่ว่าเข้าใจความจริงของ แข็ง ปกติธรรมดาเหมือนเดิมที่เคยกระทบ หรือว่ามีความเริ่มเข้าใจลักษณะตามที่ได้ยินได้ฟังว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงเท่านั้นเอง และก็ไม่ใช่ของใคร เพียงเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็หมดไป

    นี่คือ เราไม่ใช่เป็นผู้ที่เผิน แต่เป็นผู้ที่จะเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่า แม้สภาพธรรมจะปรากฏ กว่าจะรู้กว่าจะเข้าใจ ก็เริ่มเข้าใจใช่ไหมว่า ทำไมต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะรู้ลักษณะที่มีจริงๆ นั้นว่า ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่ามีลักษณะเฉพาะสิ่งนั้นซึ่งเกิด แล้วก็หมดไป แม้ว่าการเกิดดับยังไม่ปรากฏ แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้จะปรากฏเมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นไกลแสนไกล ปฏิจจสมุปปาทหรืออะไรเลย แต่ว่าลักษณะของธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งถ้าไม่มีธรรมที่มีจริงอะไรๆ ก็ไม่มีทั้งหมดเลย แต่ที่มากมายหลายเรื่องเพราะก็มีธรรมที่มีจริง แล้วไม่รู้ความเป็นจริงของธรรมนั้นว่าเพียงเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วหมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงรู้แข็งตามที่ศึกษา เพราะว่าแข็งต้องมีจริง และแข็งเป็นธรรมด้วย แข็งปรากฎได้ทางกาย และแข็งก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะที่แข็งปรากฏเพียงแข็งเท่านั้น ซึ่งนี่คือ ๒ สัจจะแรก ท่านอาจารย์ก็ยกตัวอย่างไว้แม้แต่แข็งในชีวิตประจำวัน แม้แต่ธรรมที่มีในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน หรือว่า เสียง หรือว่าแข็ง ก็เป็นทุกขอริยสัจจ์ ลึกซึ้งเพราะเห็นได้ยากนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ถ้าใครพูดเรื่องจำนวน ตอนนี้ไม่สงสัยแล้วใช่ไหม ธรรมดาที่สุด คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงนี่แหละ แล้วก็มีเหตุมีผลด้วย เพราะฉะนั้น จะพูดหรือไม่พูดก็คือว่า อะไรที่ควรที่จะเข้าใจ เมื่อพูดแล้วก็เข้าใจด้วย นั่นก็เป็นประโยชน์ แต่พอเข้าใจแล้วก็ไม่เห็นว่าจำเป็นต้องพูด เพราะอะไรๆ ก็เป็นทุกขอริยสัจจะที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ก่อนที่จะได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระภาค ผู้ฟังไม่เคยรู้ว่าจิตคืออย่างไร ก่อนที่เราศึกษาธรรม เราชาวโลกเราก็รู้ว่าจิต มีจิตใจดี จิตใจไม่ดี จิตเศร้าหมอง จิตใจเป็นสุข เราก็รู้จิตว่าจิตมันเป็นอย่างไร ทำไมท่านอาจารย์ถึงกล่าวว่าก่อนจะศึกษาธรรม เราไม่รู้ว่าจิตเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เขารู้ไหมว่าจิตอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง จิตก็อยู่ในร่างกาย

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม อยู่ในร่างกายถูกหรือเปล่า หรือจิตเกิดที่รูป แต่ละหนึ่งรูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต จิตจะไปเกิดที่ที่ไม่ใช่รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น รู้จักจิตไหม รู้แต่เพียงว่าจิตใจดี ถามจริงๆ ก็ไม่รู้อะไร อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าไม่ศึกษา มิฉะนั้นแล้ว ไม่ต้องศึกษาพระธรรมก็รู้ความจริงได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น แต่นี้จะเห็นได้เลยว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องฟังพระธรรมโดยละเอียดเพื่อเข้าใจ ต้องไม่ลืมว่าเพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ขณะนี้คุณนิรันดร์ เข้าใจในขณะที่กำลังเห็นไหม เดี๋ยวนี้เห็น เข้าใจในขณะที่เห็นนี้ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าเห็นดอกไม้ เห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ อันนั้นไม่ใช่ เห็นไหม คิดเองก็เห็นดอกไม้ แล้วใครเห็น

    ผู้ฟัง ก็เป็นผมที่เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังพระธรรมก็คืออย่างนี้แหละ คือไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วใครจะรู้ได้ ถ้าไม่ได้บำเพ็ญบารมีจริงๆ มีพระมหากรุณาที่จะไม่ตรัสรู้ธรรมเพียงด้วยพระองค์เองเท่านั้น แต่ก็ยังประกอบด้วยพระญาณต่างๆ ที่สามารถที่จะอุปการะให้คนอื่นได้เห็นถูกได้เข้าใจถูกด้วย

    เพราะฉะนั้น พระมหากรุณาของพระองค์ตั้งแต่ตรัสรู้ มาถึงเราในขณะนี้ ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดงเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ยากแต่ก็ไม่ได้ท้อถอยเลยที่จะบำเพ็ญพระบารมี สำหรับพระองค์เองก็ยาก และสำหรับที่จะให้คนอื่นเข้าใจก็ยาก แต่ก็ไม่ได้ทรงท้อถอย เพราะเหตุว่า ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่เห็นโทษของความไม่รู้ จะต้องเป็นอย่างนี้ เกิดมาแต่ละชีวิตนี้หลากหลายมากยังไม่ทันไรก็ตายไปซะก่อน หรือเกิดขึ้นมา โตขึ้นมาก็ทำชั่วไปเยอะแยะกว่าจะตายก็มี

    เพราะฉะนั้น ก็มากมายเหลือเกินซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดไม่จบ เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็เริ่มเข้าใจ แต่ไม่ได้มีความเป็นเราที่จะทำ แต่ว่าละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยเข้าใจขึ้น จึงสามารถที่จะรู้ความจริงว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ก็มีมาก เพราะว่านานมาแล้วที่ไม่รู้ แต่ว่ากำลังเข้าใจขึ้นนี่ก็ไม่ท้อถอย เพราะเหตุว่า ความจริงพร้อมที่จะให้ปัญญาสามารถเห็นถูก เข้าใจถูกได้ เมื่อมีการฟัง และเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ถ้ายังไม่ได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้แต่เรื่องของจิต เราก็จะเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เดี๋ยวนี้จิตอยู่ที่ไหน ถ้าจิตมี จิตอยู่ที่ไหน ตอบได้ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่ศึกษาก็ยังตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่เรามาศึกษาธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เพื่อให้เข้าใจ เห็นถูกตามความเป็นจริงอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง จนถึงที่สุด

    ผู้ฟัง นี่คือการเริ่มต้นในการศึกษา อริยสัจจ์แรกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ คือต้องรู้ว่า ที่ภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม กับชาวมคธนี้ เวลาเราพูดภาษาไทยหมายความถึงอะไร ก็หมายความถึง มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้ จนกว่าจะได้ฟังเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นอริยสัจจ์แรกคือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจความจริงก่อน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ฟัง ก็ยังไม่รู้ความจริง จะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อให้สัตวโลกละความเห็นผิด เราอาจจะเห็นเป็นดอกไม้เห็นผู้คนมากมาย แท้จริงก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตานั่นเอง และธรรมแท้จริงแล้วเพียง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ที่เป็นปรมัตถธรรม ๔ เรากล่าวถึง ๒ สัจจะแรก ซึ่งก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก และรูปที่มีในขณะนี้ ลึกซึ้งจึงเห็นได้ยาก

    เพราะสิ่งเหล่านี้มี ดูเหมือนเที่ยง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่แท้จริง สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน และสิ่งเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง สิ่งเหล่านี้เกิดแล้วดับไปด้วย แต่เราไม่เห็นตามความเป็นจริงนั่นเอง ต้องอาศัยปัญญาที่อบรม สะสมความเห็นถูกนั่นเอง ๒ สัจจะหลังท่านกล่าวว่า ทุกขนิโรธอริยสัจจ์ กับทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์ เป็นธรรมที่เห็นได้ยาก เพราะลึกซึ้งอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เห็นยากแน่ๆ อยู่ไหน อริยสัจจ์ที่ ๓ ไม่ปรากฏ แต่มี เพราะฉะนั้น จะเห็นเมื่อปัญญาเกิดขึ้น จึงสามารถที่จะเห็นได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญาใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะไปเห็นได้เลย เพราะไม่ใช่สิ่งที่กำลังมีแล้วลึกซึ้งจึงเห็นยาก แต่ยังไม่ได้มีเลย ใช่ไหม ยังไม่ได้ปรากฏเลย จึงเห็นยากจริงๆ เพราะว่า ไม่ได้มีอยู่ทุกวันที่จะให้เห็นหรือว่าเข้าใจได้ นี่คือนิโรธอริยสัจจะ ทุกขนิโรธอริยสัจจะซึ่งได้แก่นิพพาน เป็นธาตุที่มีจริง เป็นธาตุเดียวซึ่งสามารถที่จะดับกิเลสเมื่อปัญญารู้แจ้งธาตุนั้น ถ้าไม่มีธาตุนี้ ดับกิเลสไม่ได้ เพราะเป็นธาตุซึ่งไม่เหมือนธาตุอื่นๆ ธาตุอื่นๆ มีปัจจัยปรุงแต่งเกิด แต่ธาตุนี้มีจริง แต่ไม่เกิดเพราะไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง แค่นี้ก็ยากแล้วใช่ไหม

    เพราะฉะนั้น ที่จะเห็นจริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ จะยากกว่าที่กำลังฟังสักแค่ไหน และสำหรับอริยสัจจ์ที่ ๔ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หนทางที่จะทำให้ดับทุกข์ได้ เดี๋ยวนี้หรือเปล่า ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยสักนิดนึง สักนิดนึง จะมีหนทางไหม ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ใครจะเห็นการปรุงแต่งของหนทางที่เกิดจากความเห็นถูก ปัญญาที่เห็น นำไปสู่การที่จะเห็นยิ่งขึ้น ถูกต้องยิ่งขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้น ละคลายความติดข้องจนหมดความติดข้องได้ แต่ต้องด้วยปัญญา

    เพราะฉะนั้น มรรคอริยสัจจะ ๘ เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังเห็นถูก แล้วเมื่อไหร่จะรู้แจ้ง แต่ต้องรู้แจ้งแน่ถ้ามีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น และก็เป็นความเห็นถูกจริงๆ ไม่ผิดไม่คลาดเคลื่อน ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ เห็นไหมว่าความเห็นถูกแม้เดี๋ยวนี้ ก็เป็นมรรคอริยสัจจ์ เมื่อได้รู้แจ้งอริยสัจจ์ ๔ แต่ถ้ายังไม่ได้รู้แจ้งสภาพธรรม ก็ไม่มีทาง

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่ากำลังเป็นทางอยู่ ก็มองไม่เห็น เหมือนไม่ใช่ทาง เพราะเข้าใจว่าแค่นี้หรือ แล้วก็จะไปรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏได้ แต่แค่นี้คือ จากในสังสารวัฎฏ์ก่อนๆ ที่ไม่เคยได้เข้าใจเลยมาเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงนี่แหละ เป็นสิ่งที่สามารถรู้ความจริงได้เพราะมีจริงๆ

    อ.กุลวิไล มรรคสัจจ์ขณะที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง ๘ เพียงขณะเดียวเองก็ยิ่งเห็นได้ยากมาก แต่จะเห็นได้ว่าแม้แต่สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก และรูป ๒ สัจจะแรกมีในชีวิตประจำวันยังไม่เห็นเลย เพราะว่าเราไม่เห็นถึงการเกิด และดับไปของธรรม แล้วจะเป็นปัจจัยให้เห็นสภาพธรรมที่ต่างกับจิต เจตสิก และรูปได้อย่างไร คือสภาพธรรมที่เป็นพระนิพพาน ซึ่งท่านอาจารย์ก็เคยได้กล่าวถึงวาจาสัจจะ เพราะว่าขณะนี้เป็นการกล่าวถึงคำจริงที่พูด ซึ่งวาจาสัจจะเพื่อญาณสัจจะ เพื่อมรรคสัจจะ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ วาจาสัจจะ หรือวจีสุจริต ไม่เป็นไปในทางทุจริตเลย ก็คือกล่าวถึงธรรมที่มีจริง เพราะฉะนั้น ธรรมที่มีจริงจะพ้นจากอริยสัจจะได้ไหม ก็ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ในขณะนี้สิ่งที่มีจริงก็เป็นจริง เมื่อได้อบรมปัญญารู้ความจริงจึงสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ขณะนี้เป็นวจีสัจจะ เป็นว่าจีสุจริต เพราะเหตุว่า ทุกคำกล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริง พอไหมกล่าวแค่นี้

    อ.กุลวิไล เพียงกล่าว แต่ก็ไม่ได้รู้สภาพธรรม ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพราะว่าเพียงเท่านี้รู้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องทรงแสดงพระธรรมมากมาย เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดก็เป็นกถาวัตถุ ๑๐ ซึ่งเป็นไปในเรื่องของการละโลภะ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมก็ต้องรู้ด้วยว่า เพื่ออะไร จากขณะนี้ ไปไหน ไปสู่อะไร แต่ถ้าไม่รู้จุดมุ่งหมายก็คือว่าเป็นตัวตน เป็นความต้องการ ซึ่งไม่ใช่เป็นการละโลภะ

    ด้วยเหตุนี้ แม้แต่การที่ฟังเรื่องของธรรม เป็นวาจาสัจจะ เป็นวจีสุจริต เพราะเนื่องกับความจริงซึ่งเป็นอริยสัจจะ ก็ยังต้องอาศัยพระไตรปิฏกทั้งหมดที่ทรงแสดง ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรมด้วย ให้รู้ว่า จากการไม่รู้เลยแล้วก็จะให้หมดกิเลสเป็นไปได้อย่างไร เพียงแต่ฟังให้เข้าใจความจริงของแต่ละขณะในชีวิตว่ามากมายด้วยกิเลสอย่างไร ก็เป็นทางที่จะทำให้มีขันติ มีความอดทน มีวิริยะ ทุกอย่างที่จะทำให้ค่อยๆ อบรมไป ซึ่งก็เป็นโพธิปักขิยธรรม ต้องสืบเนื่องกันทั้งหมด ธรรมไม่ใช่ว่าไปหยิบมาตอนหนึ่ง แล้วก็เรียน อีกตอนหนึ่งแล้วก็เรียน แต่ว่าไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ขณะนี้เป็นอย่างนี้ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

    ฟังดูเหมือนคนละเรื่อง แต่เรื่องเดียวกันหรือเปล่า วจีสัจจะหรือวาจาสัจจะ ญาณสัจจะ มรรคสัจจะ ก็เรื่องเดียวกัน พาไปสู่หนทางที่จะทำให้ดับกิเลส วจีสุจริต แล้วก็เป็นเรื่องของอริยสัจจ์ ๔ แล้วก็ต้องอาศัยกถาวัตถุด้วย เพื่อที่จะเป็นโพธิปักขิยธรรม เพราะฉะนั้น จะแสดงธรรมที่มีอยู่โดยประการใดๆ ได้ทั้งนั้น แล้วแต่ว่าทรงแสดงอย่างไรให้เข้าใจขึ้น

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ล้วนเป็นผู้ตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ ตามความเป็นจริง เราอยู่ในโลกของความมืด เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงถ้าไม่ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเป็นแสงสว่างส่องให้เห็นลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ได้แม้นไม่ได้ปรากฏที่ตา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะคิดเองหรือว่าจะไตร่ตรองให้เข้าใจคำที่ได้ยินยิ่งขึ้น

    อ.กุลวิไล คำถามข้อต่อไป ในการฟังธรรมก็ได้ยินคำว่า อนัตตา อยู่เสมอ จริงๆ แล้วคำนี้มีอรรถที่กว้างขวางลึกซึ้งแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้จักธรรมจริงๆ จะรู้จักอนัตตาไหม

    อ.กุลวิไล ต้องรู้จัก

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้แยกกันเลย ไม่ใช่ “ธรรม” คำหนึ่ง “อนัตตา” อีกคำหนึ่ง ขณะนี้อะไรปรากฏมีหรือไม่ หรือไม่มีเลยสักอย่าง มี สิ่งที่ปรากฏต้องเกิด ใช่ไหม ใครทำให้เกิด อนัตตาแล้วใช่ไหม ไม่มีตัวตนที่จะไปทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้ และสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับแล้ว เป็นใครหรือเปล่า เป็นอัตตาหรือเปล่า เป็นของใครหรือเปล่า ทุกคำก็แสดงความเป็นอนัตตาอยู่แล้วทั้งหมดเลย ไม่ใช่ว่าต้องไปหาอนัตตาอื่นจากธรรมที่กำลังปรากฎ

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักธรรมจริงๆ จะไม่รู้จักอนัตตา เพราะว่าธรรมเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง อย่าง แข็ง ที่เราสนทนากันมาตั้งแต่เช้า เป็นเราหรือเปล่าที่แข็ง ลองค้นหาดูที่ตัวเรา ที่ตัวเราก็ต้องมีลักษณะแข็งที่ปรากฏให้รู้ได้เมื่อกระทบสัมผัส แข็งที่ตัวก็มี แข็งภายนอกก็มี แข็งนี้หรือคือเรา

    ท่านอาจารย์ จะเห็นได้ว่าฟังธรรมแล้วไตร่ตรองให้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง อย่างไรก็ต้องเข้าใจ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วสงสัยแแล้วไม่คิดเลย ไม่ไตร่ตรองเลย แล้วจะหายสงสัยได้อย่างไร ถ้าเข้าใจคำว่าธรรม ชาวมคธใช้คำนี้ แต่เราใช้คำว่า สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เกิดจึงปรากฏว่ามีจริงๆ สั้นมาก แล้วก็หมดไป แล้วหายไป ไปอยู่ไหน หายไปอยู่ไหน ดับ หมายความว่า ไม่เหลืออะไรอีกเลยทั้งหมด ก็แสดงว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้เลยสักอย่างเดียว ก็ยิ่งเข้าใจขึ้นมาทั้งหมดไม่เว้นเลย ว่าเป็นอนัตตา

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น สัพเพ ธัมมา อนัตตา นี้คือพุทธพจน์ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงไม่สงสัยอนัตตา

    ผู้ฟัง มีความเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าต้องรู้อริยสัจจ์ ๔ อยู่แล้ว แต่ว่าวิปัสสนาเพิ่งจะเกิดขึ้นในขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนอริยสัจจ์ ๔ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันกับท่านปัญจวัคคีทั้ง ๕ พอสอนตรงนี้แสดงว่าวิปัสสนาจริงๆ พึ่งจะเริ่มขึ้นที่ป่าอิสิปตนคมฤคทายวัน ตรงนี้จะเข้าใจได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจถูกมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ภาษาบาลีจะใช้คำว่า สัมมาทิฎฐิ หรือ ปัญญา ได้ ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ปัญญามีหลายระดับขั้น หรือว่ามีขั้นเดียว

    ผู้ฟัง มีหลายระดับ

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งมีความมั่นคงขึ้น ชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้น จึงมีหลายคำ วิปัสสนา ก็คือปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ หรือจะใช้คำว่าเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีเห็น เข้าใจเห็นจริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่ขั้นฟัง หมายความว่าขณะนี้เห็นจากการฟังรู้ว่าเห็นมี และเห็นก็ไม่มีรูปร่างเลย เห็นอย่างนี้แหละ ลองไม่คิดมาก ธรรมดาๆ อย่างนี้ นั่นแหละคือเห็น ซึ่งจะไปจับต้องเห็นก็ไม่ได้ ไม่มีเสียง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีอะไรเลย แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น กำลังเห็น เกิดแล้วทำอะไร เกิดแล้วเห็น

    เพราะฉะนั้น ความเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น เริ่มมีบ้างไหม ในขณะที่กำลังเห็น ตอนนี้รู้ว่ามีเห็น และรู้ว่าเห็น ไม่มีกลิ่นไม่มีสี ไม่มีเสียง ไม่มีอะไรไม่มีแข็ง ไม่มีอ่อนที่จะไปจับต้องเห็นได้เลยทั้งสิ้น เห็นธรรมดาๆ อย่างนี้กำลังเห็น มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็เห็นเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงที่เห็น ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น เข้าใจแค่นี้ จากขณะที่กำลังเห็น เรื่องราวของเห็นเป็นอย่างนี้ และในขณะที่เห็น เห็นก็เป็นอย่างนี้ เหมือนกับเรื่องราวที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น เริ่มรู้จักเห็น เข้าใจเห็นแล้วหรือยัง

    ผู้ฟัง เริ่มเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจ แล้วรู้จักเห็นที่กำลังเห็นจริงๆ หรือยัง

    ผู้ฟัง ยังไม่ถึงขนาดนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นผู้ที่ตรง เพราะว่าปัญญามีหลายขั้น นี่ต้องเป็นความจริงจากปริยัติ รอบรู้ในสิ่งที่ได้ฟัง คือเข้าใจจริงๆ ฟังแล้วก็เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงที่กำลังฟัง มั่นคงเมื่อไหร่ มีปัจจัยพอที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เทียบกับความเข้าใจขั้นการฟังน้อยหรือมาก เพราะว่า กว่าจะได้เข้าใจก็ต้องฟังมากในเรื่องของสิ่งที่มีจริงที่กำลังเห็น นาน อาจจะหลายปี หลายชาติ ฟังมา กับการที่เริ่มจะรู้จักเห็นว่า จริงอย่างที่ได้ฟังมา ทีละเล็กทีละน้อย ต้องเริ่มจากน้อยอีก จากฟังน้อยไปหาฟังมาก จากการเริ่มรู้ลักษณะของเห็นที่กำลังเห็นจากน้อยไปหามาก ยังไม่ใช่วิปัสสนา ยังไม่ใช่ความรู้ชัด นี่คือสาวก

    แต่ทว่า ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เทียบกันได้ไหม กับขณะที่บารมีที่ได้สะสมมาด้วยการเป็นผู้ที่สละแม้แต่สิ่งที่ให้ยากที่สุด ก็ยังสามารถที่จะสละได้ เพื่อมีกำลังที่จะสละความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หนทางหรือเปล่า ที่ว่าลึกซึ้งเห็นยาก ว่าเป็นหนทางจริงๆ แม้ทีละเล็กทีละน้อยขณะนี้ ก็กำลังสะสมไป ที่จะให้เป็นหนทางที่จะทำให้สามารถสละความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 184
    12 ม.ค. 2567