พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 797


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๙๗

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕


    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะนัยของสังขารโลก ก็มีความละเอียดลึกซึ้งเพราะว่าเป็นสิ่งที่จริงแท้ และควรรู้ยิ่ง สังขารโลกก็มีอรรถว่า ย่อยยับ คือ ผุพังกราบเรียนท่านอาจารย์ถึง อรรถของสังขารโลกที่ว่าย่อยยับ คือ ผุพัง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจธรรม ก็ เข้าใจคำนี้เลย ถูกต้องไหม เพราะว่าขณะนี้ มีสิ่งที่เกิดแล้วดับ ถ้าไม่ใช้คำว่าโลกได้ไหม

    อ.กุลวิไล ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช้คำว่าสังขาร ได้ไหม

    อ.กุลวิไล ได้

    ท่านอาจารย์ แต่เพื่อที่จะให้รู้ว่า สิ่งที่มีขณะนี้ไม่เที่ยง แม้กำลังปรากฏอย่างนี้ความจริง ก็คือ การเกิดแล้วก็ดับไป นี่คือสิ่งที่เราจะต้องฟังให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ พอได้ยินคำว่าสังขารโลก เราไม่ต้องไปคิดถึงคำแปลใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่มีความเข้าใจแล้ว สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่งไม่มีเหตุสมควรที่จะให้เกิด ก็เกิดไม่ได้ และขณะนี้เกิดเป็นอย่างนี้ ทันทีที่ปรากฏไม่เป็นอย่างอื่นเลย ก็หมายความว่า มีเหตุแล้วที่จะให้เป็นอย่างนี้แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น การเข้าใจอย่างนี้ ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัย โดยคำใดๆ ก็ตาม ก็มีความเข้าใจว่า แม้คำว่าสังขารโลกก็ไม่ได้หมายความถึงขณะไหนเลย นอกจากขณะนี้ ที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ธรรมทั้งหลายเพื่อเข้าใจ และกำลังสิ่งที่ปรากฏ และก็ฟัง และเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่าเป็นอย่างนี้แน่นอนในขั้นการฟัง เพราะว่า ทั้งๆ ที่มีเห็น ก็ยังมีได้ยิน แต่ว่าตามความเป็นจริง คือ ได้ยินกับเห็นพร้อมกันไม่ได้เลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้ว ถ้ายังไม่ดับไป สิ่งหนึ่งจะปรากฏไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า เป็นคนละลักษณะ หมายความว่าเป็นคนละ วาระ จะพร้อมกันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ในขณะนี้เอง สังขารโลก คือ สิ่งที่เกิดแล้วดับ

    อ.กุลวิไล ซึ่งก็ไม่พ้นขณะนี้ เพราะว่า ทั้งหมดก็ คือ ธรรมนั่นเอง สิ่งใดที่เกิดขึ้นสิ่งนั้นก็ต้องดับไป เป็นสังขารธรรม เป็นสังขารโลก ซึ่งคนสัตว์ไม่มี เพราะฉะนั้น สิ่งที่จริงแท้ ก็คือ ตัวธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งข้อความในอรรถกถา ท่านกล่าวถึงสังขารโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลกหนึ่งได้แก่ สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ด้วยอาหาร กราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เมื่อเช้านี้ ใครไม่รับประทานอาหารบ้าง แค่เมื่อเช้า และถ้าทุกวันไม่ใช่เพียงเช้าเดียว จะเป็นอย่างไร ดำรงอยู่ไม่ได้แล้ว นี่ก็คือ เป็นธรรมดา แต่ความจริงไม่ใช่ให้เราตามตัวหนังสือ แต่หมายความว่า ให้เราสามารถที่จะเข้าใจจริงๆ โดยที่ว่า เราไม่สามารถที่จะคิดเองได้ ว่าสัตว์โลกทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหารที่เป็นคำๆ ในภูมิที่ยังต้องบริโภคอาหารเป็นคำๆ แต่ว่าอาหารก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะที่บริโภคเป็นคำๆ เพราะเหตุว่า ภูมิอื่นอย่างอื่นเป็นอาหาร เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะพูดคำไหนแต่ละคำก็ควรที่จะเข้าใจคำนั้นจริงๆ ว่าอาหาร คือ สิ่งที่นำมาซึ่งผล เพราะฉะนั้น ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะอาหารที่รับประทานเท่านั้น ยังมีอาหารอื่นที่แม้ในภูมิอื่นไม่ต้องบริโภคอาหารเป็นคำๆ แต่ก็ยังต้องอยู่ด้วยอาหาร ขาดอาหารก็อยู่ไม่ได้ แต่ว่าอาหารนั้นเป็นสิ่งอื่นเช่น มโนสัญเจตนาหารนี่ชื่อภาษาบาลี แต่ถ้าจะเข้าจริงใจจริงๆ ก็คือด้วยกรรม ที่ยังเป็นเหตุที่จะให้มีการเกิด ยังไม่หมดกรรม เพราะฉะนั้น ทุกคนก็มีความมั่นคงว่าเกิดอีกแน่นอน หรือมีใครที่จะไม่ต้องเกิดอีก เพราะเหตุว่า กรรมได้กระทำแล้วด้วยเหตุนี้ การฟังธรรม คือ เข้าใจธรรมก่อน และพอเข้าใจธรรมก็สามารถที่จะเข้าใจข้อความอื่นๆ ด้วย แต่ถ้าเรามุ่งที่จะตามพยัญชนะไปเท่านั้น โดยที่ไม่เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เราก็จะไม่เข้าใจโดยทั่วถึง เช่น คำว่าเจตนา หรือมโนสัญเจตนาหาร วิญญาณอาหาร ถ้าไม่มีจิต ทุกอย่างก็ไม่มี สัตว์โลกจะอยู่ได้ หรือไม่ ยังคงเป็นสัตว์โลก หรือป่าวถ้าไม่มีจิต แต่เพราะมีจิตนั่นเอง ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นสัตว์โลก คือ ไม่ใช่เพียงรูปที่ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหว และก็ไม่มีธาตุรู้ใดๆ รูปไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่เป็นปัญหา แต่ว่าเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้น เมื่อนั้นก็แสดงให้เห็นว่าต้องเป็นสัตว์โลก ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม และแม้ในขณะนี้ ก็ไม่ขาดผัสสาหาร นี่คือ แม้แต่คำว่าอาหารคำเดียว ผู้ที่เข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจทั่วถึง แต่ว่าก่อนที่จะเข้าใจอย่างนั้นได้ ต้องเข้าใจธรรมตามลำดับก่อน

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้พอได้ยินคำว่าผัสสาหาร คนที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้มาก่อน ก็ไม่ทราบว่าขณะนี้ ที่แต่ละขณะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนี้ เพราะผัสสเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตขณะนี้ สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ แสดงให้เห็นว่ามีผัสสะกระทบสิ่งนั้น และจิตเกิดขึ้นรู้ สิ่งนั้นจึงปรากฏได้ นี่คือชั่วขณะหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น เราจะพูดแต่ละเรื่องโดยย่อจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าจะพูดก็ละเอียดมากขึ้น ในแต่ละอย่าง เช่น เจตนาที่เป็นกรรม มีกรรมอะไรบ้างเป็นต้น แต่ให้ทราบตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างต้องมีเหตุ การที่แต่ละคนยังมีชีวิตนั่งอยู่ เพราะอาหาร และพรุ่งนี้ก็มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกก็เพราะยังมีอาหารอยู่ ต่อเมื่อใดไม่มีอาหาร ก็อยู่ต่อไปไม่ได้

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์นัยของสังขารโลก นัยที่เป็นโลกสอง ท่านอาจารย์ ท่านกล่าวว่า ได้แก่นาม และรูป

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่พ้นเดี๋ยวนี้อีกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่จำชื่อ ได้ยินชื่อ แล้วก็ตอบชื่อ แต่ต้องรู้ว่า ขณะนี้ลักษณะที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ต่างกันแน่นอน เมื่อมีลักษณะที่ต่างกันก็ต้องรู้ความต่าง ลักษณะหนึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ก็พูดบ่อยๆ และขณะนี้ ก็กำลังมีด้วย ที่พูดบ่อยๆ ไม่ใช่ให้ผ่านรูปที่เกิดแล้วดับโดยไม่เข้าใจ แต่ที่พูดบ่อยๆ ก็คือว่า เมื่อไหร่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะทางหนึ่งทางใด ความจริงถึงที่สุดก็เป็นสภาพธรรมหนึ่ง ที่ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ในขณะนี้ เห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ต่างกันแล้วใช่ไหมในขั้นฟัง เรียกชื่อได้ใช่ไหม ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่รู้อะไร

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม มั่นคง หรือยัง ข้อสำคัญที่สุด เพียงได้ยินอย่างนี้ และกำลังเห็นอย่างนี้ และสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถกระทบตา และปรากฏให้เห็นได้ เป็นธรรมอย่างเดียวเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นได้ เมื่อกระทบตา และต้องมีจิตเห็นเกิดขึ้น ฟังอย่างนี้เพื่อที่จะได้เริ่มรู้ความจริงว่า ขณะนี้ไม่มีเรา ขณะที่เห็นก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏ ฟังอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้มากกว่าเมื่อวาน หรือเปล่า ถึงจะมากกว่าก็ไม่ปรากฏให้รู้ได้ เหมือนจับด้ามมีด คำพูดที่ได้ยินซ้ำๆ และก็บ่อยๆ ชินแต่ในขณะที่ชิน ชินอย่างไร ชินด้วยการพิจารณาแล้วเข้าใจขึ้นในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ชินเพราะได้ยินอีกก็จำได้ ตอบไม่ผิดยังไงๆ ก็ตอบไม่ผิด แต่ชินกับลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ว่าสิ่งนั้นไม่ต้องไปตามหาที่ไหนเลย เพราะขณะใดก็ตาม เมื่อเห็นมีสิ่งนี้ปรากฏ เพราะเหตุว่า ธาตุรู้เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ในขณะที่เห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงสิ่งที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจขึ้น นี่คือประโยชน์ของการฟังเพื่อที่จะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง

    วันก่อน ก็เป็นวันอาสาฬหบูชาวันเพ็ญเดือนแปด เป็นปฐมเทศนาที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระปัญจวัคคีย์ เรื่องของทางสายกลาง รู้สึกทุกคนก็คุ้นหู คำนี้เป็นหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพียงเท่านี้ที่คุ้นหูแล้วก็จำได้ แต่ไม่รู้ว่า ขณะที่กำลังพูดเรื่องเห็นนี่เพื่ออะไร เพื่อว่าผู้ที่ไม่ใช่พระปัญจวัคคีย์จะได้เริ่มมีความเข้าใจถูกต้องสะสมไป พร้อมที่เมื่อไหร่มีการได้ยินได้ฟังคำนี้ ก็พร้อมที่จะเข้าใจทันที และก็รู้เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏเกิดขึ้น และดับไป

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ยินได้ฟังไม่ใช่เพียงเท่านี้ และวันนี้ แต่ก็จะต้องสะสมความเข้าใจอันนี้มั่นคงต่อไป เพราะรู้ว่า นอกจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจแล้ว จะไม่มีอะไรปรากฏได้เลย เช่น นอนหลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏ แม้ว่าจะมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ แต่ขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แล้วอะไรจะปรากฏได้ ก็ปรากฏไม่ได้เลย แต่เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้ว ไม่รู้ก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเห็นเมื่อไหร่วันไหนกี่ครั้ง ก็ไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ และในเห็น แต่เวลาที่พูดถึงเรื่องเห็น ก็มีความเข้าใจถูกต้อง ว่าสิ่งนี้มีจริงๆ เป็นอย่างนี้จริงๆ สามารถที่จะฟังแล้วละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา แล้วก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ มิฉะนั้น คำว่าทางสายกลาง หรือทางสายเอกทางสายเดียว ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะไม่รู้ว่า รู้อะไร และก็ละการยึดถือสภาพธรรมนั้นอย่างไร เช่น เห็นแล้วชอบ หรือไม่ชอบ ได้ไหม อย่างหนึ่งอย่างใด แล้วก็บอกให้ละชอบ หรือไม่ชอบ ได้ไหม ไม่ได้ เพราะเหตุว่า ที่จะต้องละทุกขสมุทยอริยสัจจะ เหตุของทุกข์ ก็คือ ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏ ธรรมทั้งหมดไม่ใช่ไปละตอนอื่นที่ยังไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจประโยชน์ของการฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ว่าฟังเพื่อเข้าใจความจริง และเวลาที่ละความติดข้อง ไม่ได้หมายความว่า ละโลภะ ละโทสะ แต่ละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นไหม เพราะฉะนั้น คนที่ไม่รู้ก็บอกว่าติดข้องก็ไม่ติดเสียละเสีย โกรธก็อย่าโกรธละเสีย แต่ว่าไม่ได้พูดถึงการละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น แม้แต่การฟังก็ต้องตามลำดับจริงๆ ว่าสมุทัย ความติดข้องเป็นสิ่งที่ควรละ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ละก็ติดข้องอยู่นั่น ใช่ไหม แต่ว่าไม่ใช่ละความพอใจติดข้องทั้งหมด แต่ละการติดข้องด้วยว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือในขณะที่เห็นก็เป็นเราที่เห็น เพราะฉะนั้น คำว่าละที่นี่ สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชนก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าสำหรับการละทุกข์สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยรู้แจ้งพระนิพพาน หรืออริยสัจเลย จะละไม่ได้จนกว่า ในขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ ละด้วยความรู้ความเข้าใจในขณะนั้นด้วย ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงสามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปด้วย

    ด้วยเหตุนี้ แม้แต่การที่จะได้ยินได้ฟังว่าทางสายกลางมัชฌิมาปฎิปทา ท่านพระปัญจวัคคีย์ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ ก็ต้องเข้าใจด้วยถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้มาก่อน ในชาติก่อนๆ จะมีการที่จะสามารถเข้าใจสภาพธรรมในขณะนั้น แล้วละการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรม ซึ่งขณะนี้ยังไม่เป็นอย่างนั้น แต่ว่าสัมมาทิฏฐิเป็นมรรคมีองค์ ๘ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิเป็นมรรคองค์แรก องค์ที่ ๑ ของมรรคมีองค์ ๘ หนทางใดๆ ก็ไม่ใช่หนทางของการที่จะรู้ความจริง เพราะเหตุว่า สัมมาทิฏฐิเป็นความเห็นถูกต้อง เป็นความจริง

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เองยังไม่ได้เห็นอย่างนั้น แต่กำลังฟังเพื่อเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น จนกว่าสามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ ว่า ในขณะนี้เอง ถ้าเป็นผู้ที่ได้อบรมปัญญามาแล้ว เห็นต่างกันแล้วใช่ไหม ผู้ที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญามา ฟังคำเดียวกันเรื่องเดียวกัน แต่ความเข้าใจต่างกัน เพราะฉะนั้น การที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็จะถึงการที่สามารถฟังคำเก่าๆ ที่เคยได้ยินซ้ำๆ แต่ขณะนั้น ก็สามารถที่จะเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง แล้วละด้วยปัญญาไม่ใช่เรา ปัญญาที่เข้าใจในขณะนั้น จึงละการยึดถือสภาพนั้นว่าเป็นตัวตน เพราะเหตุว่า ละทุกข์ที่นี่ หมายความถึง ละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเกิดดับแต่ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เริ่มเข้าใจขณะใดที่ค่อยๆ รู้ขึ้น ก็สามารถที่จะเมื่อประจักษ์ความจริง ก็ละการที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แต่ต้องตั้งแต่ขั้นการฟัง เพราะจะมีปัญญาระดับนั้นทันทีเป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่า คนที่ฟังธรรมกี่คน รู้แจ้งสภาพธรรมกี่คน แม้แต่ในวันแรกที่ทรงแสดงปฐมเทศนา พระปัญจวัคคีย์กี่คน แต่ว่ารู้แจ้งหนึ่ง ก็เป็นเรื่องของการอบรมจริงๆ เป็นเรื่องของความตรง ที่ว่าโอกาสที่จะได้มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็เพราะอาศัยการฟัง ซึ่งมั่นคง ไม่ละเลยเพราะรู้ว่า ละเลยเมื่อไหร่กิเลสมามากมายเกินกว่าการที่ได้ฟัง และก็เป็นอย่างนั้นเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะพูดถึงมรรคมีองค์ ๘ ก็จะละเลยมรรคที่เป็นสัมมาทิฏฐิไม่ได้เลย และขณะนี้ก็เป็นการที่มีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูก ทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะถึงกาลที่พร้อมด้วยองค์ของมรรคอื่นๆ ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    อ.กุลวิไล มีผู้เขียนมาเรียนถามท่านอาจารย์ว่า จากข้อความประโยคที่ว่า ไปหนทางอื่นย่อมไม่พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงความละเอียด

    ท่านอาจารย์ อยากทราบว่าจะไปทางไหน พูดถึงทางอื่นแต่ไม่มีทาง แล้วก็บอกว่าทางอื่นได้ หรือไม่ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดทางอื่นนั่นหมายความถึงทางไหน เพราะเหตุว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏแล้วใครสามารถที่เข้าใจถูกต้องในความจริงของสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ทางอื่น ก็คือ ทางที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีของจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ และผู้ที่ศึกษาธรรมจะรู้ หรือไม่ว่าทางนั้น ไม่ใช่ทางที่จะไปรู้ในสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องแล้วแต่คำว่าศึกษาธรรม ถ้าศึกษาตัวหนังสือจำนวน และจะรู้ไหม ว่าเดี๋ยวนี้กำลังปรากฏให้เข้าใจว่า ทุกคำที่ได้ยินที่ได้ฟังเพื่อให้เข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม คิดว่าศึกษาเรื่องของธรรมแล้วก็ต้องไปปฏิบัติ เพื่อที่จะไปรู้อย่างอื่นที่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างนั้นชื่อว่าเข้าใจธรรม หรือไม่ ไม่เข้าใจแม้แต่ว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมที่สามารถที่จะรู้ได้เข้าใจได้ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ เห็นคิดเรื่องอื่นไม่ต้องไปถึงไหนยังไม่ออกไปจากที่นี่ สามารถที่จะเข้าใจเห็นไหม กำลังได้ยินเสียงแล้วก็คิดเรื่องอื่น สามารถจะเข้าใจได้ยินกับเสียงได้ไหม ก็ไม่ได้ ก็ดับไปหมดแล้วด้วยความไม่รู้ตลอด

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้พระธรรมที่ทรงแสดงในเรื่องของความเห็นถูก ต้องมีสิ่งที่ปรากฏ และทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้น ให้ผู้ที่ฟัง ไตร่ตรองเป็นความเข้าใจจึงเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ตรงตามที่ได้เข้าใจ และตรงกับความจริงที่กำลังปรากฏ ฟังอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้ว นานพอสมควร รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ หรือยัง ก็ยัง แต่เป็นผู้มีปัญญาที่รู้ว่ายัง ที่รู้ว่ายัง ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา มีสติสัมปชัญซะที่รู้ว่าไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ตามที่ได้ฟังจึงต้องฟังอีก ฟังอย่างนี้แล้วทำไมไปคิดเรื่องอื่น ฟังอย่างนี้ ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่ปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ฟังอย่างนี้แล้วทำไมคิดเรื่องอื่น บังคับบัญชาไม่ได้แน่นอน เพราะอะไร วิตกเจตสิก ชื่อนี้สำคัญ สำคัญไหม เพราะเหตุว่า เป็นมรรคด้วยในมรรคมีองค์ ๘ เมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เป็นมรรค ๑ องค์ ๑ ก็มีสัมมาสังกัปปะด้วย เพราะเหตุว่า เราไม่ได้มีปัญญา ที่จะเห็นว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ถ้ามีปัญญาที่สามารถค่อยๆ เข้าใจอย่างนี้ แทนที่จะวิตกเที่ยวคิดไปเรื่องอื่น เที่ยวจริงๆ ไม่ได้อยู่กับที่เลย กำลังเห็นก็ไม่ได้อยู่ที่ลักษณะที่เห็น ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เข้าใจถูกต้อง แต่เที่ยวไปแล้ว เพราะฉะนั้น จึงมีอีกคำหนึ่งซึ่งแสดงลักษณะของวิตกเจตสิกว่า เป็นเท้าของโลก ไปตลอด แล้วแต่ว่าจะไปไหน เช่นในขณะนี้ ถ้าศึกษาธรรมโดยละเอียดจะทราบได้ว่า ทันทีที่จิตเห็นดับไป จิตอื่นเกิดสืบต่อ มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วยทันที วิตกเจตสิกไม่เกิดกับจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าเห็นสิ่งที่ดีเป็นกุศลวิบาก ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นอกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น จิต ๑๐ ดวง หรือ ๑๐ ประเภทนี่ก็ได้ ไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเห็นความที่ว่า ธรรมต้องเป็นไป มีเจตสิกที่ต้องเกิดแน่นอน ๗ ประเภทขาด ๑ ใน ๗ ไม่ได้เลย ที่เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นในขณะนี้ ตามปัจจัยที่ถึงเวลาที่จะต้องเกิดเห็นเท่านั้นเอง ใครก็ยับยั้งไม่ได้ ถึงเวลาที่จะต้องเห็นก็เห็น แล้วเห็นก็ดับ แต่การดับไปของเห็น เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปมีวิตกเจตสิกเกิดแล้ว แต่ว่าสำหรับรูปที่ยังไม่ดับไป วิตกไปไหนไม่ได้ วิตกที่เกิดกับสัมปฏิจฉันนจิต ก็รู้รูปนั้น รับรู้ต่อจากจักขุวิญญาณ นี่แสดงให้เห็นว่า เพราะรูปยังมีอยู่ เพราะจิตเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป และรูปยังไม่หมดก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปรู้รูปนั้น จนกว่ารูปนั้นจะดับไป และหลังจากนั้น ก็เป็นการที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่แม้ขณะนั้น ในขณะที่รูปยังไม่ดับ แต่ว่าจักขุวิญญาณดับ และจิตที่เกิดต่อ ก็มีวิตกเจตสิกเกิด แต่วิตกเจตสิกขณะนั้น ไม่ได้รู้อย่างอื่นไม่ได้ไปที่อื่น แต่ไปที่รูปที่กำลังปรากฏที่กระทบกับทวารนั้นๆ หรือทางนั้นๆ จนกว่ามีปัจจัยที่วิตกจะคิดเรื่องไหน เพราะว่าคุ้นเคยกับเรื่องที่คิด โดยมากก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ก็คิดแต่ในเรื่องนั้นๆ ขณะนั้นไม่ได้คิดที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นอย่างนี้ หรือเปล่า แม้ว่าวิตกนี่เอง จะเป็นสัมมาสังกัปปะ แต่ต้องเมื่อสัมมาทิฏฐิเกิด ที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะสัมมาสังกัปปะ หรือวิตกเจตสิก ไม่ได้ไปสู่อารมณ์อื่นเลย ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จิต และเจตสิกเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา และหลายวาระต่อจากนั้น วิตกก็ไม่ได้ไปที่ไหนเลย นอกจากฟังแล้วก็รู้ลักษณะที่เห็นในขณะนั้น ด้วยปัญญาที่เกิดพร้อมกัน ที่เริ่มเข้าใจว่าลักษณะนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ยับยั้งวิตกได้ไหม ไม่ได้ ปรกติเป็นอกุศลวิตกแน่นอนทั้งวัน แล้วกว่าจะเป็นกุศลวิตก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    29 ธ.ค. 2566