พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 817


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๑๗

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ คนที่ทำขนมทำไม่เป็นอาจจะแข็งกระด้างถ้าทำเป็นก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นพอจับดูก็รู้ว่าแข็งไม่อร่อย หรือที่ควรจะเป็นเขาก็มีความรู้ในแข็งนั้นแต่ว่าขณะนั้นแข็งเกิดดับไม่ได้ปรากฎด้วยดี เพราะฉะนั้นการที่สภาพธรรมที่เป็นลักษณะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาที่จะเป็นผู้ตรงว่าเดี๋ยวนี้แข็งก็ปรากฎแต่แข็งไม่ได้ปรากฎกับสติ เพราะฉะนั้นแม้แข็งเป็นแข็งแต่ความเป็นลักษณะที่แข็งไม่ได้ปรากฎด้วยดีเหมือนกับขณะที่กำลังปรากฎกับสติถูกต้องมั้ยคะแข็งเปลี่ยนไม่ได้จริงแต่ว่าแข็งปรากฎด้วยดี หรือว่าแข็งปรากฎไม่ใช่แข็งแต่เป็นดอกไม้เป็นคนเป็นสัตว์เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ถ้าขณะใดที่แข็งปรากฏเป็นอย่างนั้นแข็งปรากฏด้วยดี หรือเปล่าไม่ได้แสดงความเป็นแข็งอย่างชัดเจนกับการที่สามารถเข้าใจถูกได้ว่าแข็งเกิดขึ้นแล้วแข็งก็ดับไปยังสงสัยไหมในความเกิดขึ้นของสภาพธรรมนั้นในความดับไป

    อ.วิชัย ก็ถ้าหลังจากนั้นมีปัจจัยก็จะเกิดได้ครับ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าปัญญาเพิ่มขึ้นคือชินต่อสภาพที่เป็นนามธรรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่าเดี๋ยวนี้เกิดแล้วเพราะปัจจัยไม่ต้องทำเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็สามารถที่จะมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดแล้วไม่สงสัยเลยว่าเราจะต้องไปทำให้เกิด หรือเราอยากรู้เราก็ทำเพื่อที่จะได้รู้ถ้าอย่างนั้นก็คือว่าไม่ได้เข้าใจ

    อ.กุลวิไล กราบเรียนถามท่านอาจารย์การรู้ธรรมโดยคิดนึกเพราะฟังพระธรรมทั้งจดทั้งจำเรื่องราวชื่อธรรมได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นอย่างนี้กันทุกคน หรือเปล่า หรือว่าฟังแล้วก็ยังจดยังจำไม่ได้ยังไม่ได้คิดบ่อยๆ ก็แล้วแต่บุคคล เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาฟังแล้วจะจำได้มากน้อยเท่าไหร่ ท่านพระอานนท์แสดงธรรมตามที่ได้ฟัง และได้ศึกษาเล่าเรียนมาท่านพระอานนท์แสดงธรรมท่านไม่ได้กล่าวเองแต่แสดงธรรมตามที่ได้ฟังได้ศึกษาได้เล่าเรียนมาความจำต้องมีแต่ว่าไม่ใช่ด้วยความไม่เข้าใจเมื่อจำแล้วยังสอนธรรมตามที่ได้ฟัง และที่ได้เล่าเรียนมาการแสดงตามเพิ่มเติมไม่ได้แต่การที่ท่านจะชี้แจง หรือว่าพร่ำสอน หรือว่าช่วยให้คนอื่นเข้าใจไม่ใช่เพียงการแสดงธรรมตามที่ได้ฟัง และได้เล่าเรียนมาแต่เป็นการสอนคนอื่นให้เข้าใจธรรมที่ได้ฟัง และได้เล่าเรียนมา และท่านพระอานนท์สาธยายธรรมตามที่ได้ฟัง และได้เล่าเรียนมา คนนี้กำลังจะเข้าใจว่าฟังแล้วจำแล้วแต่จริงๆ แล้วแต่ละคำไม่ใช่หมายความว่าจบแล้วแต่ว่าแม้ฟังแล้วสอนแล้วก็ยังสาธยายด้วยสาธยายคือกล่าวเป็นลำดับด้วยดีไม่ขาดตกบกพร่องจึงจะเป็นสาธยาย เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะคิดถึงธรรมข้อหนึ่งข้อใดหมวดหนึ่งหมวดใดอินทรีย์ห้าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเป็นสาธยาย หรือเปล่าเพราะว่ากล่าวเป็นลำดับด้วยดีแต่ว่าถ้าเราไม่ได้กล่าวตามลำดับด้วยดีปัญญา วิริยะ ศรัทธา สติอย่างนี้ก็ไม่ใช่กล่าวเป็นลำดับด้วยดีนอกจากนั้นยังตรึกตรองถึงธรรมที่ได้ฟัง และได้เรียนมาแล้วท่านผู้นี้ท่านกล่าวว่ายังไงคะ

    อ.กุลวิไล การรู้ธรรมโดยคิดนึกเพราะฟังพระธรรมทั้งจดทั้งจำเรื่องราวชื่อธรรมได้จึงมีความคิดว่าธรรมก้าวหน้ารวดเร็วค่ะ

    ท่านอาจารย์ รวดเร็วไปถึงไหนถ้ากล่าวว่ารวดเร็วรวดเร็วไปถึงไหนพระสูตรมีเท่าไหร่ข้อความในพระสูตรเท่าไหร่อังคุตตรนิกายเท่าไหร่สคาถวรรคเท่าไหร่กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากตาธรรมา หรือว่าเหตุปัจจะโยอารมณปัจจโย หรืออะไร

    อ.คำปั่น จะกราบเรียนท่านอาจารย์ถึงประเด็นนี้ก่อนเลยครับว่าศึกษาเพื่อเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ

    ท่านอาจารย์ ก็มีธรรมอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นมีจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นภาษาบาลีใช้คำว่าธรรมแต่ก็คือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมีจริงๆ เพราะฉะนั้นในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นสิ่งนั้นก็มีจริงๆ เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ควรที่จะเข้าใจให้ตรงตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใครทำให้เกิดขึ้น หรือเปล่าไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่กำลังมีในขณะนี้ปรากฏเพราะเกิดขึ้นแล้วแล้วใครทำให้เกิด หรือเปล่าเมื่อไม่มีใครทำสิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ได้อย่างไรเพราะเหตุว่าถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจในความเป็นจริงในเหตุ และในผลก็สามารถที่จะทราบได้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิด เพราะฉะนั้นต้องมีเหตุที่จะทำให้เกิดสิ่งนั้นจึงเกิดขึ้นได้ ขณะนี้มีทั้งเห็นมีทั้งได้ยินมีทั้งคิดนึกมีทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตามีทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตายที่เกิดขึ้นจริงๆ มีจริงๆ แล้วก็หมดไปจริงๆ ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นธรรมถ้าพูดบ่อยๆ ให้เข้าใจความจริงจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคงละเอียดขึ้นเช่นจิตมีจริงๆ แน่ๆ ใช้คำนี้เมื่อไหร่ก็ทราบได้ว่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดที่มีชีวิตก็เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ถ้าไม่มีธาตุรู้จะเป็นชีวิตได้อย่างไร เพราะฉะนั้นที่ใช้คำว่าชีวิต หรือว่าเป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเป็นนกทั้งหมดมีเห็นมีได้ยินก็หมายความว่ามีธาตุที่รู้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นจึงเป็นสิ่งที่มีชีวิตด้วยเหตุนี้สิ่งที่มีจริงก็มีลักษณะที่เป็นจริงตามความเป็นจริงซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยขณะนี้เห็นกำลังเห็นใครรู้บ้างว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้เลย และเพียงแค่เห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องเข้าใจจริงๆ ขณะนี้เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นเห็นเท่านั้นเพื่อจะได้พิจารณาว่าเป็นความจริง หรือเปล่าเมื่อเป็นความจริงก็เป็นความเห็นถูกของแต่ละคนที่ได้ฟัง และได้พิจารณาเข้าใจมั่นคงขึ้นนี่ก็คือสิ่งที่มีจริงตลอดเวลาแต่ว่าเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วดับไปโดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นดับไป และไม่กลับมาอีกเลย

    อ.คำปั่น เป็นความจริงอย่างนั้นว่าธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยไม่มีใครที่จะบันดาล หรือว่าบังคับให้สภาพธรรมเกิดขึ้นได้เลยธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นการได้ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วก็มีความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ซึ่งก็สอดคล้องกับพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตาคำว่าทั้งปวงไม่มีเว้นเลยสิ่งที่มีจริงๆ ทุกอย่างเป็นอนัตตาไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตนก็มีประเด็นต่อเนื่องครับท่านอาจารย์ครับชั่วโมงนี้ก็เป็นชั่วโมงพื้นฐานพระอภิธรรมมีคำว่าพื้นฐานซึ่งเมื่อวานท่านอาจารย์กล่าวว่าพื้นฐานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมกราบเรียนท่านอาจารย์กับข้อความประโยคนี้ด้วยครับว่าพี้นฐานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ เวลานี้เห็นใครรู้ความจริงของเห็นแล้วบ้างเวลานี้ได้ยินใครรู้ความจริงของได้ยินแล้วบ้าง

    กำลังคิดนึกใครรู้ความจริงของคิดนึกบ้างทุกอย่างมีจริงแต่ว่าไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงนั้นเลย เพราะฉะนั้นฟังเพื่ออะไรคะฟังเพื่อที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้

    ไม่ว่าจะเป็นข้อความใดๆ ทั้งสิ้นที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อให้เข้าใจความจริงนั้นให้ถูกต้องจนสามารถที่จะรู้แจ้งความจริง ของสิ่งนั้น

    อ.คำปั่น จนกว่าจะรู้แจ้งความจริงของสิ่งนั้นซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมฟังในสิ่งที่มีจริงไม่ได้เลยจริงๆ เพราะว่าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น การศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งก็จะมีการได้ยินได้ฟังคำในแต่ละคำอยู่เสมอๆ ก็เพื่อความเป็นผู้ไม่ประมาทในการฟังพระธรรมเมื่อได้ยินคำอะไรก็มีความละเอียดมีความพิจารณาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงในคำนั้นๆ ที่ได้ยินได้ฟังเพราะว่าคำแม้คำเดียวก็สามารถที่จะให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้แม้แต่คำว่าจิตนะครับ ซึ่งก็จะเป็นคำถามที่จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจธรรมยิ่งขึ้นเป็นลำดับต่อไปว่าถ้ากล่าวถึงจิตแล้วทุกขณะจะไม่ปราศจากจิตเลยมีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่อย่างไม่ขาดสายแต่ก็มีข้อความที่แสดงถึงจิตสามประเภทก็คือปฐมจิต ทุติยจิต และปัจฉิมจิตคำสามคำนี้แสดงถึงสิ่งที่มีจริง และจะนำมาสู่ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้อย่างไรครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ท่านที่มาใหม่อาจจะไม่คุ้นหูนะคะ คุณคำปั่นช่วยทบทวนเรื่องจิต๓ จิตนี้ด้วยค่ะชื่ออะไรบ้าง

    อ.คำปั่น สำหรับจิตสามจิตนะครับ โดยชื่อก่อนนะครับ ปฐมจิตรคืออะไรคือถ้าโดยศัพท์หมายถึงจิตที่หนึ่งซึ่งในอรรถกถาของพระอภิธรรมก็แสดงว่าหมายถึงภวังคจิตอันนี้กล่าวโดยชื่อก่อนครับท่านอาจารย์ครับ และจิตประการที่สองคือทุติยจิตเป็นจิตที่สองซึ่งในอรรถกถาท่านก็ขยายความ ไว้ว่าเป็นอาวัชชนจิต และปัจฉิมจิตคือจิตขณะสุดท้ายท่านแสดงว่าหมายถึงจุติจิตของพระอรหันตครับ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ก็ย่อทั้งหมดเลยนะคะ ทุกประเภทเหลือเพียงสามคำเพราะว่าบางคนชอบย่อๆ ไม่ชอบยาวแต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเป็นชีวิตจริงๆ ซึ่งไม่ว่าจะเมื่อไหร่ยังไงก็สรุปลงไปได้ว่าปฐมจิตหมายความถึงจิตที่ไม่รู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดเลยไม่เห็นไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นไม่ลิ้มรสไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่คิดนึกใดๆ ทั้งสิ้นมีไหมคะจิตนี้จิตไม่เห็นไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นไม่ลิ้มรสไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่คิดนึกทุกคนทราบว่าจิตเป็นสภาพรู้ยังไงๆ เมื่อเกิดขึ้นจะไม่รู้ไม่ได้เลยเพราะเหตุว่าเป็นธาตุรู้ด้วยเหตุนี้จิตเกิดเมื่อไหร่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่จิตก็ยังต่างกันขณะที่จิตไม่ได้เห็นไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นไม่ได้ลิ้มรสไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่ใด้คิดนึกมีไหมมีแน่นอนที่เห็นได้ชัดคือขณะที่กำลังหลับสนิท เพราะฉะนั้นขณะนั้นอะไรก็ไม่ปรากฏเลยแต่จิตก็เกิดขึ้นดำรงภพชาติสืบต่อส่วนอารมณ์ที่ไม่ปรากฏจะปรากฏได้อย่างไรในเมื่อไม่ใช่เห็นไม่ใช่ได้ยินไม่ใช่ได้กลิ่นไม่ใช่ลิ้มรสไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่ใช่คิดนึกแต่สิ่งที่แน่นอนคือจิตเป็นธาตุรู้เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ เพราะฉะนั้นทุกคนก็รู้ว่าหลับไม่ใช่ตาย เพราะฉะนั้นในขณะที่หลับยังต้องมีจิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติแต่ไม่ใช่จิตที่อาศัยทางหนึ่งใดทางหนึ่งในหกทางเกิดขึ้นรู้ว่ากำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้เองค่ะไม่เป็นอย่างอื่น หรือว่าเสียงขณะนี้ก็เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นในขณะที่สิ่งใดๆ ก็ตามไม่ปรากฏเลยแต่จิตขณะนั้นเกิดแล้วดำรงภพชาติเป็นปฐมจิต ชาติก่อนมีปฐมจิตไหมคะมีหลายแสนชาติมาแล้วมีปฐมจิตไหมคะก็มี เพราะฉะนั้นปฐมจิตก็คือจิตที่ยังไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏทางหนึ่งทางใดแต่จะเป็นอย่างนั้นตลอดไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุติยจิตต่อจากปฐมจิตก็คือว่ามีการเห็นมีการได้ยินมีการได้กลิ่น มีการลิ้มรสมีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสมีการคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ต่างกับขณะที่เป็นปฐมจิตเพราะว่าเกิดรู้สิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆ มากมายทุกวัน เมื่อเช้านี้ก็เรี่องเยอะเพราะเห็นหลายอย่างได้ยินหลายเสียงหลายรสที่กำลังรับประทานทั้งหมดกี่ภพกี่ชาติก็เป็นอย่างนี้คือว่าหลังจากที่ไม่รู้อารมณ์ใดๆ แล้วก็เกิดการรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดทุกชาติเหมือนกันจึงเป็นทุติยจิตเพราะเหตุว่าไม่ใช่ภวังคจิต และสิ่งที่ทุติยจิตคือรู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็ผ่านไปหมดไปไม่เหลือเลยเหมือนกันทุกชาติไม่ได้ต่างไปเลยชาติก่อนก็มีเรื่องวุ่นวายมีเรื่องสุขมีเรื่องทุกข์มากมายก็หมดไปแล้วก็ไม่เหลือเลยแสนชาติแล้วก็เป็นอย่างนี้แม้ชาตินี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นทุติยจิตก็คือขณะที่ไม่ใช่ภวังคจิตหมดไปหมดเลยไม่ว่าจะเป็นจิตทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจชาติไหนเหมือนกันหมดแม้ชาตินี้ขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ต่างกับภวังคจิตเป็นอย่างนี้เรื่อยไปทุกชาติจนกว่าจะถึงจิตขณะสุดท้ายของพระอรหันต์ซึ่งเมื่อเกิดแล้วดับจะไม่มีการที่จะมีทุติยจิต หรือเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นสืบต่อแม้แต่ภวังคจิตก็ไม่มีเป็นการสิ้นสุดคำว่าปัจฉิมะก็สุดท้ายจากนั้นก็จะไม่มีอะไรอีกเลยนี่ก็คือจิตทั้งหมดเลยทุกชาติทุกวันก็เท่านี้เองคือจากไม่มีอะไรปรากฏหลับสนิทแล้วก็เกิดขึ้นมาวุ่นวายแล้วก็หลับสนิทแล้วก็เกิดมาวุ่นวายแล้วก็หลับสนิททุกชาติ เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวโดยย่อจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงจิตอื่นใดทั้งหลายโดยละเอียดเพราะเหมือนกันหมดคือจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นไม่ขาดสายจนกว่าจะถึงจิตขณะสุดท้ายของพระอรหันต์คือปัจฉิมจิต

    อ.คำปั่น คำสามคำก็มีความละเอียดลึกซึ้งแต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่คำแต่ว่าเป็นคำที่ส่องให้เข้าใจถึงสภาพธรรมที่มีจริงคือสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งซึ่งอารมณ์อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นทุกภพทุกชาติจะไม่ขาดจิตเลยนะครับ มีจิตเกิดดับสืบต่ออย่างไม่ขาดสายซึ่งกล่าวประมวลชีวิตของแต่ละคนก็มีวิถีจิตคือจิตที่อาศัยทางหนึ่งทางใดในการรู้อารมณ์ก็คือทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย และทางใจสลับกับภวังคจิตนี่คือชีวิตเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วสาระสำคัญของการมีชีวิตอยู่เพียงชั่วคราวคืออะไรนี่เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาว่าประโยชน์จริงๆ ก็คือการมีโอกาสได้ฟังความจริงได้ฟังในสิ่งที่มีจริงเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงเพราะว่ากล่าวถึงธรรมที่มีจริงแม้จะกล่าวเพียงแค่คำสามคำแต่ก็กล่าวหมายรวมความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงที่พอจะทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษานั้นเข้าใจได้ตามกำลังปัญญาของแต่ละคนกระผมขอกราบเรียนท่านอาจารย์อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาจริงๆ ก็ว่าจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ถึงข้อความที่กล่าวถึงสภาพธรรมปรากฏด้วยดีอย่างไรจึงจะชื่อว่าสภาพธรรมปรากฏด้วยดีครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ก็น่าคิดนะคะ ขณะนี้มีสภาพธรรมปรากฏแต่ไม่รู้แล้วจะปรากฏด้วยดี หรือเปล่าซึ่งความจริงสภาพธรรมเกิด และดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ปรากฏด้วยดี หรือยังความจริงเป็นอย่างนี้แต่ว่าที่ปรากฏไม่ได้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพูดสิ่งที่จริงเหมือนไม่จริงเพราะว่าขณะนี้ไม่ได้มีคนเลยสิ่งที่มีจริงคือสิ่งที่กำลังปรากฎให้เห็นได้เท่านั้นเองจริงๆ นี่คือความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วเกิดขึ้น และก็ดับไปด้วยแต่เหมือนไม่จริงใช่ไหม สิ่งที่จริงเป็นอย่างนี้แต่ว่าพูดสิ่งที่มีจริงเหมือนไม่จริงใครจะรู้ตามได้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นแต่ละคำอาศัยความเข้าใจที่เกิดจากการค่อยๆ พิจารณาจนกระทั่งเห็นความจริงละเอียดขึ้นเช่นแม้จะกล่าวว่าปฐมจิต ทุติยจิต ปัจฉิมจิตเดี๋ยวนี้จิตอะไรถ้าไม่คิดก็ผ่านไปแต่ว่าเดี๋ยวนี้จิตอะไรตอบไม่ยากเลยใช่ไหมคะภวังคจิตมีแน่นอนเป็นปฐมจิตก่อนที่จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏทางตา หรือทางหู หรือทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจให้รู้จักแม้คำว่าปฐมจิตที่ใช้คำนี้ก็กล่าวถึงจิตซึ่งขณะนั้นไม่ได้มีอะไรปรากฏเลยแต่จิตก็เกิดดับดำรงภพชาติสืบต่อ เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็นเป็นปฐมจิต หรือเปล่าคะ ไม่ใช่ได้ยินเป็นปฐมจิต หรือเปล่าคิดนึกเป็น หรือเปล่าเรื่องทั้งวันเป็นปฐมจิต หรือเปล่าแต่ก็มีปฐมจิต และทุติยจิตแล้วก็หมดไปฟังแค่นี้สาระ หรือเปล่าเกิดมาเป็นอย่างนี้ทุกวันๆ ในแสนกัปมาแล้วก็เป็นอย่างนี้ๆ สาระ หรือเปล่าถ้ายังไม่เห็นความไม่ใช่สาระก็จะไม่เข้าใจความหมายของปฐมจิต ทุติยจิต และปัจฉิมจิตมีเท่านี้เองไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรทั้งกุศล และอกุศลทั้งโลภะโทสะ มานะเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ทุติยจิตที่ไม่ใช่ภวังคจิตแล้วก็หมดไปถ้าสามารถจะมีความเข้าใจในขั้นต้นเป็นอย่างนี้ก็สามารถจะเห็นความละเอียดของธรรมแต่ละหนึ่งในชีวิตประจำวันได้ชัดเจนขึ้นว่าไม่มีสาระเพราะเหตุว่าเห็นเมื่อกี้นี้ดับแล้วสาระอยู่ที่ไหนคิดนึกเมื่อกี้นี้ก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงปัจฉิมจิตยากไหมคะกว่าจะถึงปัจฉิมจิตไม่ให้เป็นอย่างนี้ได้ไหมใครก็ตามที่ไม่มีปัญญาไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฎในขณะนี้ทีละเล็กทีละน้อยจนเป็นความเข้าใจที่มั่นคงชัดเจนขึ้นถูกต้องไม่เปลี่ยนแปลงคือไม่มีสาระอะไร เพราะฉะนั้นสาระที่มีในแต่ละชาติก็คือความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีแต่ไม่เคยรู้เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่รู้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจะถึงปัจฉิมจิตแล้วคิดว่าสมควรที่จะถึงปัจฉิมจิต หรือยัง หรือว่าเป็นอย่างนี้ไปอีกแสนกัปก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คือไม่ได้เห็นความจริงของธรรมแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังแต่ก็ยังไม่ถึงการที่จะเห็นความไม่เป็นสาระของสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นพื้นฐานพระอภิธรรมไม่ใช่ให้ฟังเพื่อจำชื่อ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567