พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 818


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๑๘

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๕


    ท่านอาจารย์ พื้นฐานพระอภิธรรมไม่ใช่ให้ฟังเพื่อจำชื่อไม่ใช่ให้ฟังเพียงให้รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงแต่ต้องถึงการรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกล่าวถึงพระสูตรโดยนัยต่างๆ เพราะพระมหากรุณาที่เห็นว่าแต่ละจิตที่สะสมความไม่รู้ความจริง และกิเลสมากมายในแต่ละขณะที่เป็นทุติยจิตมากมายเหลือเกินแล้วอะไรที่จะสามารถทำให้อกุศลทั้งหลายที่สะสมมาค่อยๆ ลดน้อยลงไปได้ถ้าไม่ใช่ปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้องจริงๆ ในความเป็นจริงของขณะที่เป็นทุติยจิตซึ่งมากมายกุศลก็มีอกุศลก็มีสารพัดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็หมดไปแล้วก็ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นด้วยพระมหากรุณาที่ทรงแสดงความละเอียดยิ่งค่อยๆ เห็นความจริงว่าเป็นสาระ หรือเปล่าถ้ายังไม่ถึงการที่จะเข้าใจว่าไม่เป็นสาระแล้วเมื่อไหร่จะถึงปัจฉิมจิตไม่มีวันที่จะเป็นไปได้เลยแต่เมื่อรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แต่ปัญญาไม่พอที่สามารถจะเห็นความจริงนี้ได้สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแม้พูดจริงก็เหมือนไม่จริงจนกว่าจะรู้ว่าทุกคำจริงเมื่อนั้นก็จะรู้ได้จริงๆ ว่าไม่มีเราแต่มีธรรม และขณะนี้ก็ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้เป็นอย่างอื่นได้ถ้าเป็นเห็นก็ต้องเป็นเห็นถ้าเป็นคิดก็ต้องเป็นคิดถ้าเป็นก็โกรธก็ต้องเป็นก็โกรธถ้าเป็นง่วงก็ต้องเป็นง่วงเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนี่คือฟังไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นอย่าคิดที่จะหมดกิเลสโดยการที่ว่ายังไม่สามารถที่จะซาบซึ้งแม้แต่คำว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตากำลังปรากฏจริงๆ ว่ามีจริงๆ แต่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนไหมคะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แต่กว่าจะถึงการรู้จริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก็จะต้องอาศัยการฟังฟังแล้วลืมฟังแล้วลืมฟังแล้วลืมเพราะเหตุว่าฟังเรื่องอื่นไว้มากในสังสารวัฏฏ์ หรือในชาตินี้ เพราะฉะนั้นก็ไปจำเรื่องอื่นที่ได้ฟังมากกว่าเรื่องที่เพียงได้ยินได้ฟังไม่นานไม่บ่อยเท่ากับเรื่องอื่นกว่าจะสะสมที่ใช้คำว่าสัญญาคือความจำที่มั่นคงถึงความเป็นสัจจญาณแม้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ท้อถอยมีความอดทนมีความมั่นคงว่าจริงตามที่ได้ฟังจนกว่าขณะที่กำลังได้ฟังเรื่องใดก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นแต่กำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนั้นสิ่งนั้นก็ปรากฏด้วยดีเพราะเหตุว่าไม่มีอวิชชาความไม่รู้ และไม่มีความติดข้องปิดบัง เวลานี้เพียงเห็นว่าเป็นดอกไม้อวิชชามีแล้วความติดข้องก็มีแล้วเพราะเหตุว่าขณะนั้นเกิดแล้วดับก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ปรากฎด้วยดีได้ไหมในเมื่อตามความเป็นจริงสิ่งนี้สั้นมากเพียงกระทบปรากฏแล้วหมดไปถ้าเป็นอย่างนี้สิ่งนั้นปรากฏด้วยดีขณะนี้แข็งกำลังปรากฏปรากฏด้วยดี หรือเปล่าคะหมดแล้วไม่ทันรู้เลยจะปรากฏด้วยดีได้ยังไงแต่รู้ว่าแข็งใครๆ ก็รู้ว่ามีแข็งปรากฎทางกายตั้งแต่ตื่นนอนเมื่อมีการกระทบสัมผัสแต่ละย่างก้าวแต่ละขณะที่จับสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็มีแข็งปรากฎแต่แข็งนั้นๆ ไม่ได้ปรากฏด้วยดีเพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะปรากฏด้วยดีเพราะเหตุว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมากแม้แต่ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามมีกาลที่แข็ง หรือว่าเสียง หรือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้จะปรากฏด้วยดีเมื่อมีความเข้าใจ และไม่มีอวิชชา และโลภะเป็นเครื่องกั้นโดยไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมคะแค่เห็นเป็นดอกไม้อวิชชา และโลภะความติดข้องกั้นไม่ให้เห็นสภาพที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นโลภะก็เป็นเครื่องเนิ่นช้าแม้แต่การที่พยายามจะรู้สิ่งที่แข็งขณะนั้นหมดแล้วแล้วก็เป็นตัวตนเป็นเราที่กำลังพยายามที่จะรู้แข็ง และพระธรรมก็ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่าโลภะเป็นเครื่องเนินช้าแต่ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นที่เนิ่นช้าเนิ่นช้าเมื่อไม่ได้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแล้วเข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั่นก็คือว่าเนิ่นช้าอยู่ตรงสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นแม้แต่ความเนิ่นช้านี่ก็ละเอียดมากคิดว่าเนิ่นช้าไปมัวแต่เพลิดเพลินสนุกสนานไม่ฟังธรรมแต่จริงๆ แม้ขณะเพียงเห็นก็เนิ่นช้าด้วยความไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    อ.คำปั่น การมีโอกาสได้ฟังในสิ่งที่มีจริงไม่ว่าจะเป็นคำใดก็เพื่อเตือนให้ไม่ลืมซึ่งความจริงที่กำลังมีจริงในขณะนี้กว่าที่สภาพธรรมจะปรากฏด้วยดีจะต้องค่อยๆ สะสมความรู้ความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาความไม่รู้ความจริงไปตามลำดับจนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏด้วยดีกับปัญญาที่เข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงครับ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังเห็นแล้วจำได้ชื่อภาษาบาลีว่าจักขุวิญญาณเห็นปรากฏด้วยดี หรือเปล่าเพราะว่าขณะนั้นชื่อต่างหากที่กำลังคิดถึงไม่ใช่รู้สภาพเห็นที่กำลังเห็นด้วยการที่ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    อ.วิชัย สำหรับธรรมก็เป็นสิ่งที่ยากเพราะเหตุว่ากว่าพระองค์จะตรัสสรู้ และทรงแสดงพระธรรมก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายที่จะตรัสรู้ เพราะฉะนั้นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงก็คงเป็นเรื่องที่ละเอียดแต่ว่าการเริ่มที่จะเข้าใจถูกต้องก็เป็นหนทางที่จะดำเนินสู่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกต้องอย่างเช่นที่เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าสภาพธรรมที่จะปรากฏด้วยดีก็คือตามความเป็นจริงเพียงแค่ฟังว่าสภาพธรรมขณะนี้เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับได้ยินขณะนี้เกิดแล้วดับเพียงเข้าใจว่าขณะนี้เห็นก็มี และได้ยินก็มีแต่เข้าใจเพียงเรื่องเพราะเหตุว่าลักษณะที่เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็นยังไม่ปรากฏ และธาตุรู้ที่กำลังได้ยินเสียงก็ยังไม่ปรากฏเลยแต่เพียงเริ่มที่จะมีความเข้าใจว่าแต่ก่อนเราคงไม่มานั่งคิดเรื่องเห็นเรื่องได้ยินอะไรต่างๆ ก็เป็นเราทั้งหมดเลยโดยที่ไม่รู้ก็มีการดำเนินชีวิตไปที่เป็นปฐมจิตบ้างที่เป็นทุติยจิตบ้างก็เป็นการเป็นไปของจิตปฐมจิตคือจิตเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ และก็มีปัจจัยที่ให้ทุติยจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะฉะนั้นความเป็นไปคือยังเป็นไปด้วยความไม่รู้แม้จะเห็นแต่ก็ยังไม่ปรากฏตามความเป็นจริงแต่เริ่มที่จะได้ยินได้ฟังว่าสิ่งที่ขณะนี้ที่กำลังปรากฏเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้ และไม่ใช่เราด้วยมีปัจจัยเกิดขึ้นเมื่อเกิด และดับทันทีเพียงฟังแค่นี้ความรู้ความเข้าใจก็เพียงฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังฟังสักครู่นี้ก็หมดแล้วด้วยเพียงเข้าใจขณะนั้นแล้วก็หมดไปแต่ว่าเมื่อฟังอีกความเข้าใจจากการเริ่มฟังครั้งแรกแม้ดับไปก็จริงแม้เล็กน้อยมากแต่ว่าเริ่มสะสมเพิ่มขึ้นจะเห็นได้ว่าบุคคลแต่ละท่านที่ฟังพระธรรมมาครั้งแรกจนนานเป็นหนึ่งปีสองปีห้าปีสิบปียี่สิบปีต่างๆ เริ่มสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกถ้าเทียบกับเพียงชาติเดียวกับบุคคลที่ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วตรัสรู้ก็ยังห่างอีกมากแม้กล่าวตามพระธรรมที่พระผู้มีพระทรงแสดงเรื่องของตาหูจมูกลิ้นกายใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจถูกต้องตรงในลักษณะของธาตุที่กำลังเกิดขึ้นที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้บุคคลทีฟังรู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ว่ายากที่จะรู้เพราะเหตุว่าต้องสะสมปัญญาที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น

    ผู้ฟัง ขอความอนุเคราะห์ท่านอาจารย์เกี่ยวกับผู้ที่มีความทุกข์เพราะว่าใกล้จะถึงจิตสุดท้ายเกิดขึ้นก็มีความทุกข์มากขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์ผู้ฉลาดในกาลเกิด และกาลตาย

    ท่านอาจารย์ ได้ยินแล้วก็ไม่ใช่เพียงฟังเฉยๆ แต่ต้องมีความเข้าใจตามลำดับด้วยไม่ใช่ว่าพอได้ยินแล้วก็ฉลาดเลยในกาลที่จะตายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แต่ต้องรู้ว่าเกิดคืออะไร และตายคืออะไรเพราะว่าก่อนอื่นต้องไม่ลืมว่าพุทธคือปัญญา เพราะฉะนั้นคำสอนที่ทำให้มีความเข้าใจในแต่ละคำที่ได้ยินก็เป็นปัญญาของผู้ที่ได้ฟัง และไตร่ตรองการเกิดเป็นธรรมดาเพราะว่าทุกคนเกิดมาแล้วไม่ต้องสงสัยเลยในเรื่องการเกิดแต่ไม่รู้ว่าอะไรเกิดเข้าใจว่าเป็นเราเกิด เพราะฉะนั้นการเกิดก็มีต่างกันเกิดเป็นคนก็มีเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีเมื่อเห็นความแตกต่างความหลากหลายของการเกิดแม้แต่คนก็หลากหลายกันไปสุดที่จะประมาณได้ทั้งรูปร่างความสูงความต่ำอัธยาศัยใจคอต่างๆ แม้สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ได้เหมือนกันทั้งๆ ที่จะเป็นผีเสื้อ หรือว่าจะเป็นนก หรือว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็มีความต่างกันไป เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นความต่างของการเกิดก็ย่อมจะรู้ว่าที่เกิดต่างกันเพราะอะไรต้องมีเหตุปัจจัยด้วย และเมื่อเกิดมาแล้วก็ยังต่างกันไปอีกเพราะเหตุว่าตอนที่เป็นเด็กๆ ก็ดูจะไม่ต่างกันมากเหมือนๆ กันน่ารักน่าเอ็นดูตัวแดงๆ หรืออะไรก็แล้วแต่พอโตขึ้นต่างกันหลากหลายมากสุดที่จะประมาณได้แสดงถึงการสะสมว่าอะไรทำให้ต่างกันถึงอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ว่าใครอยากจะเลว หรือใครอยากจะดีก็เป็นอย่างนั้นได้แต่ว่าทุกอย่างต้องมีเหตุด้วย และเมื่อเกิดมาแล้วความละเอียดก็คือว่ายังไงๆ ต้องตายคนที่เกิดแล้วไม่ตายไม่มี เพราะฉะนั้นจะตายเร็ว หรือจะตายช้าก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้อาจจะเป็นวันนี้เอง หรือว่าเดี๋ยวนี้เองก็ได้ หรืออีกสองสามวันก็ได้ เพราะฉะนั้นผู้ฉลาดในการที่รู้ว่าต้องตายแต่ว่าเมื่อตายแล้วก็คือว่าไม่ได้เป็นปัจฉิมจิตคือจิตสุดท้ายที่จะไม่มีการเกิดอีกเลยเพราะเหตุว่ายังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดมาเป็นคนนี้ฉันใดเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วก็มีปัจจัยที่จะต้องทำให้เป็นคนอื่นทันทีจบเรื่องราวทั้งหมดของโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นยังไงมายังไงทุกวันนี้ก็ไม่มีความจำในโลกก่อนเหลือเลย เพราะฉะนั้นเมื่อจะจากโลกนี้ไปโดยที่ว่าไม่มีความผูกพันใดๆ ในฐานะที่เป็นคนนี้อีกต่อไปแต่จะต้องเป็นคนใหม่ทันทีแล้วคนใหม่ที่เกิดมาก็เห็นได้ว่าต่างกันอีกแล้วจะไม่มีการเหมือนกันเลยแล้วแต่บุญกรรมที่ได้ทำไว้ เพราะฉะนั้นอยากเป็นอะไรอยากเป็นทุกข์มากๆ เกิดมาแล้วก็เต็มไปด้วยทุกข์ หรือว่าไม่มีทุกข์ และมีความสะดวกสบายพอสมควรแต่ก็ไม่มีปัญญาเพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่าเกิดแล้วต้องตายแต่ก่อนจะตายก็ต้องเห็นต้องได้ยินต้องคิดนึกต้องมีทั้งปฐมจิต และทุติยจิตไปเรื่อยๆ โดยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งไม่ให้ขณะต่อไปเกิดอีกได้เลยต้องเกิดแน่นอนเป็นธรรมตาคือธรรมดาของสิ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นก็ต้องเป็น เพราะฉะนั้นชอบแบบไหนเลือกได้ไหมคะแต่เหตุมีที่จะให้เป็นอย่างที่ต้องการถ้าจะเป็นผู้ที่มีปัญญาเกิดมีปัญญาเองไม่ได้เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ความจริงของสิ่งที่มีคืออะไรก็ยังไม่รู้แล้วจะไปรู้อะไร เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าเป็นปัญญาเป็นปัญญาจริงๆ หรือ หรือว่าไม่ใช่ปัญญาเพราะเหตุว่าถ้าเป็นปัญญาต้องสามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ทุกขณะเป็นสิ่งที่มีจริง และสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงด้วยแต่ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เข้าใจคิดเองไม่ได้ทางเดียวคือมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งโดยฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นก็รู้ด้วยตัวเองว่าจะเป็นบุคคลไหนต่อไปเป็นคนที่เกิดมาแล้วก็ทุกข์บ้างสุขบ้างแล้วก็จากโลกนี้ไปด้วยความติดข้องด้วยความไม่รู้เหมือนเดิมที่ผ่านมา หรือว่ามีโอกาสที่จะได้สิ่งที่ต้องการตามเหตุตามปัจจัยถ้าถามทุกคนต้องการอะไรเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วคิดไตร่ตรองด้วยความถูกต้องในเหตุในผลไม่ว่าจะเป็นใคร เพราะฉะนั้นอยากเป็นอะไรอยากได้อะไรอยากเป็นอะไรคะวันนี้

    อ.อรรณพ ก็แล้วแต่ว่าจะมีอะไรปรากฏให้ความอยาก อยากครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ อยากมีเพื่อนดีไหมคะเพื่อนดีมีประโยชน์ยังไงไม่ได้ทำร้ายให้สิ่งที่เป็นประโยชน์มีความหวังดี เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่อยากเป็นได้ไหมเป็นเองได้ไหมแล้วเมื่อไหร่จะดีล่ะคะอยากมีเพื่อนดีแต่ไม่ยอมเป็นเพื่อนดีก็แสดงให้เห็นว่าอยากได้อะไรไม่ใช่อยากแล้วก็เป็นอย่างที่อยากแต่มีเหตุที่จะให้เป็นทุกคนมีความอยากอยากได้รูปอยากได้เสียงอยากได้กลิ่นอยากได้รสอยากได้สิ่งที่กระทบสัมผัสอยากมีเรื่องดีๆ ฟังแล้วสบายใจอยากมีเพื่อน หรือแม้ไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นคนที่ช่วยเหลือก็ยังอยากคืออยากได้ทุกอย่างที่ดีแต่มีเหตุไม่ใช่ว่าจะได้อย่างที่ต้องการด้วยเหตุนี้การที่จะเป็นคนที่ตรง และมีเหตุมีผลนั่นคือการเริ่มต้นของการที่จะเข้าใจความจริงเพราะเหตุว่าความจริงไม่ใช่สิ่งซึ่งใครจะสามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้เดี๋ยวนี้พิสูจน์ได้เลยค่ะแม้แต่เพียงเห็นก็ไม่มีใครสามารถที่จะเห็นสิ่งที่อยากจะเห็น หรือว่าอยากเห็นเมื่อไหร่ก็เห็นเมื่อนั้นก็ไม่ใช่แต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่อยาก หรือไม่อยากเมื่อมีปัจจัยที่จะให้เห็นเห็นก็ต้องเห็นเช่นขณะนี้เห็น และได้ยินตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นชาตินี้เป็นยังไงสุขแค่ไหนทุกข์แค่ไหนลำบากแค่ไหนโกรธมากแค่ไหนโลภมากแค่ไหนยังอยากจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก หรือเปล่าถ้าอยากจะเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่ได้มีการเข้าใจประโยชน์ของการเกิดมาแล้วต้องจากโลกนี้ไปแน่นอนแต่จะจากไปโดยฐานะที่เต็มไปด้วยความโลภความโกรธความริษยาความผูกโกรธความมานะสำคัญตน หรือว่าจากไปโดยการที่รู้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีเมื่อไหร่เป็นทุกข์เมื่อนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าจากการฟังพระธรรมโดยละเอียดขึ้นโดยละเอียดขึ้นก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้แต่แต่ละคำที่ได้ยินจากพระไตรปิฎกทั้งหมดก็ไม่มีโอกาสจะได้ยินเลย เพราะฉะนั้นก็เห็นประโยชน์ว่าการเกิดมามีทรัพย์สมบัติสูญหายเมื่อไหร่ก็ได้มีรูปสมบัติก็ต้องแก่ชรามีอุบัติเหตุที่ทำลายให้สูญไปก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดไม่พ้นจากความดี และการเข้าใจพระธรรมเพราะเหตุว่าถ้าเป็นอกุศลคือสิ่งที่ไม่ดีจะเข้าใจได้อย่างไรเกิดมาแล้วก็ตายไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์ที่สุดไม่ใช่ลาภยศสรรเสริญสุข หรือว่าความติดข้องในลาภยศสรรเสริญสุขแต่เป็นความเข้าใจยามยากยามลำบากยามทุกข์ใจลาภช่วยได้ไหมยศสรรเสริญสุขช่วยได้ไหมก็ไม่ได้เลยแต่ว่าความเข้าใจธรรมไม่ว่าจะกำลังเป็นทุกข์เจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าได้รับภัยพิบัติต่างๆ ขณะนั้นปัญญาก็ไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์เลยเพราะว่าสามารถที่จะเข้าใจความจริงในขณะนั้นได้จนถึงที่สุดว่าทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งหมดก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยต้องตายทุกคน เพราะฉะนั้นจะฉลาดในกาลก่อนตายคือหมายความว่าถ้าก่อนตายดีตายแล้วผลดีก็ต้องเกิดขึ้น หรือว่าชาตินี้ดูดีๆ ละเอียดๆ แล้วแย่มาก หรือเปล่าคะอกุศลทุกวัน และมีทั้งอย่างน้อยบ้างมากบ้างทับถมมาเรื่อยๆ แล้วจะเป็นยังไงมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง หรือเปล่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็คือว่าไม่ได้พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

    ผู้ฟัง ความติดก็ทำให้เกิดเป็นทุกข์แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือยังยึดถือความเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตัวตนก็ทุกข์เข้าไปอีก

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจถูกจะไม่ยึดถือ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องยึดถือ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567