พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 823


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๒๓

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับในชีวิตประจำวันผมอยู่แฟลตห้องแคบๆ แต่บ้านผมอยู่ใกล้สวนลุมซึ่งดอกไม้สวยงามมากความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตที่ผมแทบไม่มีเลยคือบางครั้งต้องดูแลแม่ดูแลงานต่างๆ อาจจะมีเวลาว่างที่เดินผ่านสวนลุมไปซื้อของซื้ออะไรบ้างเห็นดอกไม้สวยๆ งามๆ มันทำให้ผมปิติผมมีความสุขแต่หลังจากอาจารย์พูดอย่างนั้นเนี่ยความสุขผมหายหมดเลยเห็นดอกไม้ก็ปิติก็ไม่ได้บอกเป็นภัยต้องมีหิริ และโอตัปปะไม่งามไม่เที่ยงความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตมันจะมีอยู่ที่ตรงไหนอะไรต่างๆ ก็เป็นภัยไม่สวยไม่งามชีวิตคนเราไม่ได้มีความสุขเหมือนๆ กันทุกคนบางคนก็ลำบากยากเย็นการได้เห็นดอกไม้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งทำไมจะต้องเห็นว่ามันเป็นภัยเป็นอกุศลแม้เล็กน้อยด้วยครัยท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ดิฉันบอกให้คุณนิรันดร์ทำอะไรเหรอคะ หรือว่าแสดงธรรมตามความเป็นจริงส่วนใหญ่คนฟังแล้วบอกว่าดิฉันให้มีสติบอกได้ยังไงให้มีสติในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าสติเป็นอนัตตาถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมฟังเพื่อให้เข้าใจถูกไม่ใช่ว่าเขาบอกเราเขาให้เราทำอย่างนี้ทำอย่างนั้นนั่นไม่ใช่การที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ได้อย่าคิดว่าดิฉันบอกให้ใครทำอะไรเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกให้ใครทำอะไรแต่พูดสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงให้พิจารณาให้เข้าใจได้ไม่ได้ห้ามคุณนิรันดร์ว่าพอฟังแล้วคุณนิรันดร์หายชอบดอกไม้ หรือว่าเห็นดอกไม้แล้วก็เลยกลายเป็นไม่มีความสุขไปคุณนิรันดร์มองดอกไม้หน่อยสิคะ

    ผู้ฟัง ก็สวยครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะใครห้ามคุณนิรันดร์ได้ใครบอกคุณนิรันดร์ว่าอย่าให้เห็นดอกไม้สวยนะ หรือใครบอกคุณนิรันดร์ว่าเห็นดอกไม้สวยแล้วอย่าชอบนะมีใครบอกอย่างนี้ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็วันที่ผมเห็นดอกไม้แล้วผมก็นึกถึงคำพูดของอาจารย์อารมณ์ที่มันจะสวยงามมันก็ไม่มีเลย

    ท่านอาจารย์ แต่ดิฉันไม่ได้พูดอย่างนี้ไม่ได้พูดอย่างนี้เลยไม่ได้บอกคุณนิรันดร์ว่าอย่าดูดอกไม้สวยแล้วก็ไม่ได้บอกว่าคุณนิรันดร์เห็นดอกไม้สวยแล้วอย่าชอบไม่ได้พูดอย่างนี้เลยค่ะพูดอย่างนี้ได้ยังไงในเมื่อรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยก็เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยแต่ให้เข้าใจถูกว่าเห็นอะไรถามบ่อยๆ ว่าคุณนิรันดร์เห็นอะไรแต่ไม่ได้บอกว่าอย่าดูดอกไม้สวย หรือว่าอย่าชอบดอกไม้สวยจะไม่มีอย่างนั้นเลยเพราะนั่นเป็นไปไม่ได้ใครก็บอกให้ใครทำอะไร หรือให้อะไรเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นฟังธรรมต้องเข้าใจฟังแล้วก็พิจารณาว่าที่พูดเป็นวาจาสัจจะเป็นความจริง หรือเปล่าสวยเห็นชอบเป็นธรรม หรือเปล่า หรือเป็นคุณนิรันดร์

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่ต่างหากคะที่จะให้คุณนิรันดร์เข้าใจตามความเป็นจริงไม่ได้บังคับ เพราะฉะนั้นใครก็ตามคิดว่าจะทำอย่างนั้นจะห้ามอย่างนี้จะไม่ทำอย่างนั้นนั่นคือผิดเพราะว่าไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงเลยว่าใครมีอำนาจจะทำอะไรได้แต่ว่าสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้เพียงชั่วคราวแล้วก็ดับไปไม่ใช่หมายความว่าไม่ให้รับประทานอาหารอร่อยอาหารอร่อยไม่ใช่บอกว่าอย่าชอบไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยแต่ให้รู้ว่าทุกอย่างเกิดแล้วเป็นจริงอย่างนั้นตามเหตุตามปัจจัยแต่เข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอะไรความติดข้องเป็นอะไรทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอะไรไม่ใช่เรามีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปชั่วคราวสั้นมากให้รู้ความจริงอย่างนี้ไตร่ตรองว่าถูก หรือผิดฟังแล้วไม่ใช่ให้เชื่อไม่ใช่ว่าต้องทำตามไปบอกให้ใครทำเป็นไปไม่ได้เลยแต่ให้เขาฟัง และไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจถูกเป็นความเข้าใจของเขาเอง เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกตามความเป็นจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้คุณนิรันดร์ไม่โกรธ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้บอก

    ท่านอาจารย์ แล้วคนอื่นจะบอกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ต้องเป็นการเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นผมไปผ่านสวนลุมเห็นดอกไม้สวยๆ ผมก็สามารถมีความสุขกับมันได้

    ท่านอาจารย์ นี่คิดใช่ไหมคะนี่คิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ก็ท่านอาจารย์บอกว่าผมสามารถมีความสุขกับดอกไม้สวยๆ งามๆ ได้

    ท่านอาจารย์ คิดใช่ไหมถามว่าคิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ คิดแล้วก็ดับไป และถึงเวลาจริงๆ คุณนิรันดร์จะทำอะไรไม่ใช่คุณนิรันดร์แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คุณนิรันดร์ดูดอกไม้ค่ะให้ไม่ชอบได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะแล้วใครจะไปบอกคุณนิรันดร์ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้คนนั้นต้องผิดแน่ๆ คนที่ไม่รู้ความจริงคนที่เข้าใจผิดจึงพูดว่าอย่างนั้นละเสียไม่ต้องชอบละได้ไหมละอะไรก็ไม่รู้ไม่รู้สักอย่าง เพราะฉะนั้นฟังไม่ใช่ฟังเผินฟังเพื่อรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนั้น หรือเปล่าเป็นวาจาสัจจะเป็นคำจริงตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมในขณะนั้น หรือเปล่าไม่ใช่ว่าต้องไปเชื่อแต่ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับในขณะที่เห็นดอกไม้ว่าสวยงาม และมีความสุขกับมันขณะนั้นหิริก็ไม่เกิดโอตัปปะก็ไม่เกิดที่เห็นเป็นภัยก็ไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจถูกแล้วไงคะหิริโอตัปปะไม่เกิดกับอกุศลจิตยังไงๆ ก็เกิดไม่ได้กับอกุศลจิตมีแต่อหิริกะอโนตตัปปะซึ่งมีจริงๆ เพราะไม่รู้ความจริงทั้งหมดมาจากการไม่รู้ความจริง

    ผู้ฟัง ขณะนั้นก็ไม่ได้เห็นโทษภัยเลย

    ท่านอาจารย์ ถ้าความจริงเป็นความสุขขณะนั้นเปลี่ยนความสุขให้เป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ แต่เข้าใจได้ไหมว่าเกิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้วตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็หมดไปจริงๆ ก็คือเพื่อลืมการที่จะไม่ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนกระทั่งสะสมไว้มากๆ ก็โดยสะสมความจริงทีละเล็กทีละน้อยเพื่อวันหนึ่งจะได้เป็นอย่างนั้นตามความเข้าใจตามความเป็นจริงว่าทั้งหมดลืมแล้วเมื่อวานนี้ลืมหมดแล้วเมื่อกี้นี้ก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้เดี๋ยวก็ลืมแล้วแน่นอนที่สุดทำไมถึงจะต้องคอยไปจนถึงชาติหน้าแล้วจะลืมในเมื่อความจริงเดี๋ยวนี้ก็ลืมแล้วพูดไปทุกวันบ่อยๆ เพื่อเป็นสังขารขันธ์จนกว่าผู้ที่ฟังจะค่อยๆ เข้าใจน้อมมาสู่ความจริงที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมขณะนั้นก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นการฟังธรรม และการเข้าใจธรรมก็มีหลายขั้นขั้นฟังเรื่องราวเข้าใจเรื่องราวแต่ก็ยังเป็นตัวตนคือเรา เพราะฉะนั้นแม้แต่การฟังตั้งตนไว้ชอบก็คือปัญญาที่รู้ว่าฟังเพื่อรู้ว่าไม่มีเราไม่ใช่ฟังเพื่อเราเข้าใจธรรมที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับแล้วจุดประสงค์ของการฟังพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงในเรื่องของโทษภัย

    ท่านอาจารย์ เพื่อรู้ความจริงเพื่อรู้ความจริง

    ผู้ฟัง เพื่อให้รู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ ความจริงคืออะไร

    ผู้ฟัง ความจริงคืออกุศลเป็นภัย

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก

    ผู้ฟัง ความเกิดเป็นภัยความแก่ความตายเป็นภัย

    ท่านอาจารย์ รู้หมด หรือยัง

    ผู้ฟัง ยังไม่หมดครับ

    ท่านอาจารย์ ก็ค่อยๆ รู้ไป

    ผู้ฟัง แสดงให้เห็นความจริงว่าเป็นภัย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    ผู้ฟัง แล้วมากกว่านั้นล่ะครับ

    ท่านอาจารย์ ๔๕ พรรษาพระวินัยปิฎกพระสุตันตปิฎก

    ผู้ฟัง หมายถึงเพื่อให้รู้เท่านั้น หรือว่ามันเป็นภัยแล้วก็ไม่ทำอะไรไม่ได้เตรียมพร้อมไม่ได้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์ชอบภัยไหม

    ผู้ฟัง ไม่ชอบครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วยังสะสมภัย หรือเปล่าก็ว่าไม่ชอบแต่ก็สะสม เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาจริงๆ ฟังไปไม่ใช่เราจะหมดกิเลสหาทางหน่อยบอกหน่อยให้กิเลสลดน้อยนั่นไม่จริงเลยเป็นไปไม่ได้นั่นคือผู้ที่ไม่ได้รู้ความจริง และฟังธรรมก็ไม่รู้ว่าฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ จะรู้ความจริงนั้นมากน้อยแค่ไหนเมื่อไหร่ก็ไม่ใช่เราแต่เป็นการสะสมความเห็นถูกเพิ่มขึ้น

    อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความปลอดภัย และหนทางแห่งความปลอดภัยสักนิดหนึ่งครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจธรรมเลยเหมือนคนตาบอดปลอดภัยไหมคะ

    อ.อรรณพ ไม่ปลอดภัย

    ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงปลอดภัยไหมคะ

    อ.อรรณพ ปลอดภัยครับ เพราะฉะนั้นหนทางก็คือปัญญาก็คงจะจบด้วยข้อความในพระไตรปิฎกซึ่งก็เตือนดีมากว่าบุคคลผู้ถูกกิเลสกลุ้มรุมเมื่อหนทางอันปลอดภัยมีอยู่แต่ไม่แสวงหาทางนั้นนั่นไม่ใช่ความผิดของทางนั้นเปรียบเหมือนบุรุษถูกข้าศึกล้อมไว้เมื่อทางสำหรับจะหนีมีอยู่แต่ไม่หนีไปจะโทษหนทางนั้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขอเพิ่มอีกเล็กน้อยกำลังมีความสุขมากปัญญาเกิดได้ไหมกำลังมีความทุกข์มากปัญญาเกิดได้ไหมเมื่อเป็นปัญญาแล้วมีความเข้าใจก็เกิดได้ไม่ใช่ไปห้ามสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้ว

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะสำหรับคำว่ากามความเข้าใจในสภาพธรรมที่เป็นกามแล้วเป็นทุกข์อย่างไร และทำไมถึงไม่มีสาระคะ

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นสิ่งที่ต้องฟังบ่อยๆ ฟังแล้วก็ลืมทั้งๆ ที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ และก็ฟังแล้วแต่ก็ลืมอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟังก็ควรที่จะได้เข้าใจในความหมาย และลักษณะของธรรมที่กำลังกล่าวถึงจริงๆ ในขณะที่กำลังปรากฎเพราะว่าสิ่งใดก็ตามที่ไม่ปรากฏ และกล่าวถึงความเข้าใจก็ไม่ชัดเจนเท่ากับขณะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ยินคำว่ากาม กา-มะมีความหมายสองอย่างคือการที่เป็นรูปธรรมได้แก่รูปที่กำลังปรากฏให้เห็นเสียงกลิ่นรส และสิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสกายเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่น่าใคร่เป็นสิ่งที่น่าพอใจพิสูจน์ได้เลยตั้งแต่เกิดมา และมีความติดข้องมีความพอใจในอะไรใครยังไม่รู้ว่าแท้ที่จริงก็คือพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้แหละต้องการที่จะเห็น และมีความยินดีพอใจแล้วแต่ว่าสะสมมาที่จะพอใจในรูปร่างสัณฐานอย่างไรเสียงก็เช่นเดียวกันถ้าไม่มีเสียงเลยใครจะไปติดข้องแต่เมื่อเสียงมีเสียงก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าพอใจอย่างยิ่งมิฉะนั้นก็คงจะไม่มีดนตรีต่างๆ ไม่มีการร้องเพลงไม่มีการใช้เสียงแต่ก็จะเห็นได้ว่าแม้เสียงธรรมดาๆ เสียงไม่ใช่สภาพรู้เสียงไม่รู้อะไรเสียงไม่ได้หวังให้ใครติดข้องพอใจในเสียงไม่มีเจตนาอย่างนั้นเลยแต่ก็ยังมีธาตุที่เกิดขึ้นไม่รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราวแต่เพราะความหลากหลายของเสียง หรือแม้แต่เพียงเสียงเดียวก็เป็นที่พอใจที่จะได้ยินมีใครพอใจที่จะได้ยินเสียงเดียวทั้งวันบ้างไหมเรื่อยๆ ไม่สูงๆ ต่ำๆ ก็เป็นไปไม่ได้แต่ความละเอียดยิ่งก็คือว่าแม้เสียงไม่ได้มีการสูงๆ ต่ำๆ หลากหลายขณะใดที่เสียงก็เป็นที่ปรากฏขณะนั้นก็เป็นที่ตั้งของความพอใจแสดงให้เห็นชีวิตตามความเป็นจริงว่าถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโลกมืดแน่นอนไม่รู้ว่าแต่ละขณะมีการเกิดขึ้นไม่เที่ยง และการดับไปไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาทางหูจมูกชอบกลิ่นไหมคะน้ำหอมมีมากหลายชนิดรสยิ่งมากตั้งแต่เกิดเด็กเล็กๆ ก็ยังคงไม่รู้หรอกว่าอะไรสวยงามเสียงอะไรไพเราะแต่รสได้แล้ว เพราะฉะนั้นยิ่งเติบโตขึ้นมารสก็ยังเป็นที่ต้องการจนกระทั่งถึงไม่ว่าจะล่วงกาลผ่านวัยรสก็ยังเป็นที่ติดข้องอยู่เสมอสำหรับการกระทบสัมผัสก็ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์กายแน่นอน เพราะฉะนั้นทางกายก็จะมีการกระทบสัมผัสสองอย่างคืออย่างหนึ่งกระทบแล้วเป็นทุกข์อีกอย่างนึงกระทบแล้วเป็นสุขบางคนก็บอกว่าไม่เห็นมีเลยทุกข์ก็ไม่มีสุขก็ไม่มีดูธรรมดาๆ ไม่เห็นเลยเพราะว่าจริงๆ แล้วชั่วขณะที่สั้นมากไม่สามารถที่จะปรากฏลักษณะที่ทำให้เกิดทุกข์ หรือลักษณะที่ทำให้เกิดสุขได้แต่ถ้ามากๆ อย่างแข็งมากๆ นั่งอยู่บนก้อนหินนานนาน หรืออะไรก็ได้ความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้นนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งมีจริงเป็นชีวิตจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือว่าเพียงชั่วคราว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกล่าวถึงอุปธิโดยนัยใดก็ตามเป็นทุกข์เพราะเป็นสภาพที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์คือลักษณะนั้นต้องไม่เที่ยงเกิดแล้วจะดำรงอยู่ยั่งยืนนานไม่ได้เลยเพียงชั่วคราวจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ความไม่เที่ยงความเล็กน้อยความชั่วคราวของทุกสิ่งการติดข้องก็ย่อมจะน้อยลงแต่ถ้าไม่มีปัญญายังไม่สามารถที่จะแม้เข้าใจอย่างนี้ในขณะที่กำลังเห็นบ้างกำลังได้ยินบ้างก็ยากที่จะรู้ความจริงที่จะค่อยๆ คลายความติดข้อง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่น่าพอใจคือรูปบ้างเสียงบ้างกลิ่นบ้างรสบ้าง และโผฏฐัพพะใช้คำนี้หมายความถึงเย็น หรือร้อนหนึ่งรูปอ่อน หรือแข็งหนึ่งรูปตึง หรือไหวหนึ่งรูปสามรูปสามารถกระทบสัมผัสกายแล้วปรากฏจึงรวมเรียกว่าโผฏฐัพพะทั้งวันติดข้องอยู่แค่นี้ไม่ไปไหนเลยวนเวียนเดี๋ยวทางต่างเดี๋ยวทางหูเดี๋ยวทางจมูกเดี๋ยวทางลิ้นเดี๋ยวทางกายเป็นรูปธรรมแต่สภาวะ หรือความติดข้องไม่ใช่รูปไม่ใช่เสียงไม่ใช่กลิ่นแต่เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดเมื่อไหร่จะมีการติดข้องในสิ่งที่กำลังรู้เช่นเห็นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็นเท่านั้นแต่ในขณะใดที่เห็นมีความไม่รู้ไม่เข้าใจเกิดกับจิตซึ่งหลังจากที่เห็นดับไปแล้วจิตอื่นก็รู้สิ่งที่ปรากฏต่อด้วยความติดข้อง หรือว่าด้วยความขุ่นเคืองก็แล้วแต่ก็เป็นชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงกามอีกความหมายหนึ่งก็คือความยินดีความเพลิดเพลินความติดข้องไม่ว่าในอะไรทั้งสิ้นจะเห็นได้ไม่ว่าจะเป็นความยินดีติดข้อง หรือสิ่งที่ถูกยินดีติดข้องทั้งหมดเป็นอุปธิเพราะเหตุว่าในลักษณะที่ทรงไว้ซึ่งความทุกข์ทั้งความติดข้องก็ไม่เที่ยง และสิ่งที่ติดข้องก็ไม่เที่ยงทั้งหมดสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับไม่เหลือเลยนี่คือการที่จะเข้าใจพอได้ยินคำว่าอุปธิสภาพซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ก็ไม่ต้องไปหาที่ไหนเพราะเหตุว่าทุกอย่างเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นเป็นขันธูปธิขันธ์นี่แหละเป็นอุปธิเพราะเหตุว่าทรงไว้ซึ่งทุกข์ และในบรรดาขันธ์ทั้งหลายถ้าเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะก็เป็นกามูปธิทุกขณะเดี๋ยวนี้มีใครไม่รู้จักอุปธิบ้างคะทุกอย่างหมดที่เกิดแล้วดับทรงไว้ซึ่งทุกข์เพราะเหตุว่าจะไม่ดับไม่ได้ด้วยเหตุนี้เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเป็นอุปธิแล้วแต่ว่าจะกล่าวถึงกามูปธิในลักษณะใด หรือว่าจะใช้คำว่าขันทูปธิก็ได้ทุกอย่างที่เกิดดับทรงไว้ซึ่งลักษณะที่เป็นทุกข์นี่คือการศึกษาธรรมให้เข้าใจไม่ไช่ว่าเพียงแต่จำว่ามีสี่อย่างแต่ว่าต้องเข้าใจความหมายอรรถต่อไปนี้พอได้ยินคำว่าอุปธิแม้คำเดียวก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าจำแนกออกไปได้หลายอย่างด้วย

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับคือผมทุกวันพฤหัสศุกร์ในช่วงโมงถึง ๑๑ โมงผมติดซีรีส์เกาหลีเรื่องสงครามชีวิตของโอชินมากเลยแล้วผมก็ไม่สามารถดูได้เคเบิ้ลผมก็โทรไปตามทวงก็ไม่ได้ทุกวันนี้ก็ยังเร่าร้อนอยู่เพราะไม่ได้ดูสงครามชีวิตของโอชินท่านอาจารย์ครับมันเร่าร้อนแต่มันเป็นความทุกข์แต่ก็ยังอยากที่จะอยู่ในความทุกข์นั้นเพราะมันมีความสุขเจือปนอยู่ด้วยนี่คือชีวิตจริงๆ ของคฤหัสถ์ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ลืมนะคะ ไม่มีคุณนิรันดร์ไม่มีโอชินไม่มีอะไรแต่มีคิดสนุกกับความคิดใหญ่เลยใช่ไหมคะถ้าไม่มีเรื่องโอชินคุณนิรันดร์สนุกกับความคิดของคุณนิรันดร์เรื่องอื่นแล้วแต่จะคิดให้สนุกยังไงไม่มีโอชินแต่มีฟุตบอลก็ไปสนุกอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของความคิดจากเห็นจากได้ยินจากได้กลิ่นจากลิ้มรสจากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทำให้เกิดการคิดนึกเรื่องนั้นถ้าไม่เห็นไม่มีใครนำเรื่องนี้มาเลยให้คุณนิรันดร์ดูคุณนิรันดร์จะติด และเร่าร้อนอย่างนี้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ถ้าได้ดูทีแรกก็ไม่เร่าร้อนอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แต่จะมีเรื่องอื่นได้ที่ไม่ใช่เรื่องนี้ไม่พ้นไปจากความติด หรือความต้องการ เพราะฉะนั้นแสดงลักษณะของความทุกประการหนึ่งคือทุกข์เพราะความอยากที่แรงมากจนกระทั่งเป็นความเร่าร้อนแต่ลองคิดดูถ้าไม่มีเสียเลยตรงกันข้ามแล้วใช่ไหมคะแล้วใครทำให้คุณนิรันดร์เร่าร้อนโทษใครที่ไหนได้ไหมคะไม่ได้เลยนี่คือพระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ให้เกิดปัญญาปัญญาไม่ใช่ไปรู้จิตมี ๘๙ เจตสิกมี ๕๒ ไม่ใช่แต่สภาพธรรมใดที่กำลังปรากฏปัญญาคือเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงตั้งแต่ขั้นการฟังซึ่งยากเพราะเหตุว่าเพียงฟัง และเข้าใจเท่านั้นก็ยังไม่สามารถที่จะไถ่ถอนการที่เคยไม่รู้ และเห็นผิด และยึดมั่นไม่ว่าจะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก่อนเรื่องโอชินคุณนิรันดร์เร่าร้อนเพราะติดอย่างอื่น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ไม่เท่ากับเรื่องโอชินครับเพราะว่าชอบมากๆ

    ท่านอาจารย์ ไม่เท่ากันแล้วเรื่องโอชินก็หมดไปจบแล้วแน่ๆ วันหนึ่งไม่จบได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จบแล้วเร่าร้อนเรื่องอื่นอีก หรือเปล่าต่อไปอีกชาติก่อนไม่มีโอชินแน่ชาติก่อนนะคะ และก่อนจะมีโอชินก็ไม่มีโอชิน เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดไม่พ้นจากความไม่รู้ และความคิด และความติดข้องเหมือนกับว่าชาตินี้คุณนิรันดร์เป็นทุกข์เพราะความเร่าร้อนที่อยากดูโอชินอย่างนั้นแต่ชาติก่อนคุณนิรันดร์จะรู้ไหมคะว่าเคยเร่าร้อนมากกว่านี้รึเปล่าแต่ไม่ใช่โอชินเป็นอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นชาตินี้เป็นอย่างนี้ชาติหน้าก็ไม่มีโอชินแต่ก็มีโลภะมีความติดข้องมีอุปธิสภาพที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ก็ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงความติดข้องไม่ใช่เห็นคนละขณะเกิดแล้วดับแล้วอย่างเร็วมากแล้วใครจะสามารถทำให้เกิดปัญญาความเห็นที่ถูกต้องที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตายไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวด้วยนานแสนนานมาแล้ว เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าใครที่อยากจะได้ผลของธรรมด้วยการฟังธรรมโดยรวดเร็วเป็นไปไม่ได้เลยเพราะว่าสะสมความไม่รู้มานานมากเทียบไม่ได้กับวัตถุจะเป็นภูเขาสิเนรุ หรือจักรวาลก็ยังน้อยกว่าการที่สะสมความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ และกิเลสอุปธิทั้งหลายจากสิ่งที่เพียงปรากฏชั่วคราวแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นจากพระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่ ไปหวังว่าเดี๋ยวนี้เห็นแล้วต้องไม่ชอบเดี๋ยวนี้ได้ยินแล้วต้องไม่โกรธนั่นไม่ใช่เลยไม่ถูกต้องแต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่ากว่าการเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงความจริงจะค่อยๆ เข้าใจขั้นการฟังว่าเป็นหนทางเดียวที่จะมีความเห็นถูกต้องในความจริงของสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าเมื่อไหร่ขณะไหนในสถานการณ์ใดทำให้จิตซึ่งสะสมสิ่งที่ไม่รู้มานานแสนนาน และอกุศลทั้งหลายค่อยๆ ละคลายออกไปทีละน้อยจนพร้อมที่จะรู้ความจริงเมื่อปัญญาเจริญขึ้นซึ่งไม่รู้ว่าขณะนั้นจะรู้อะไรที่ไหนเมื่อไหร่แต่อย่าหวังว่าเราฟังวันนี้แล้วเราจะไม่โกรธ หรือว่าเราจะไม่ติดข้องจะไม่ดูโอชิน หรืออะไรก็แล้วแต่ก็เป็นความจริงทุกขณะที่สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจโดยอาจหาญร่าเริงที่จะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แต่ติดข้องอยู่ยังละไม่ได้แต่ถ้าละแล้วจะเป็นสุขมากกว่านี้ หรือเปล่าที่ไม่ต้องติดข้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้นไม่ว่าอะไรชาติก่อนหมดไปแล้วเรียกกลับคืนมาไม่ได้เป็นคนเก่าไม่ได้ชาตินี้ก็เหมือนกันพอถึงชาติหน้าก็ใหม่อีกแล้วมาอีกแล้วเรื่องนั้นอีกแล้วเรื่องนี้อีกแล้วก็ไม่พ้นไปจากชาตินี้แต่เป็นเรื่องใหม่ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าพระธรรมเท่านั้นที่เป็นรัตนที่มีค่ายิ่งพระรัตนตรัยอริยะสาวิตรีเป็นเบื้องต้นของพระไตรปิฎก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567