พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 831


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๓๑

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ ทั้งโลกถ้าไม่มีจิตนี้โลกจะปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ จะมีคนอื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ จะมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพราะจิตนี้เองต่างหากเฉพาะจิตนี้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาแล้วสนใจจิตนี้ไม่ใช่ไปใส่ใจคำก่อนแต่ให้สนใจความจริงที่กำลังปรากฏแล้วคำที่จะอธิบายค่อยตามมาตรงนี้เป็นเรื่องที่ถ้าฟังไม่มากพอก็จะยากมากค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังแล้วไตร่ตรองไม่เช่นนั้นก็ไม่เข้าใจอย่างพูดเรื่องจริงอย่างนี้ และก็ไม่รู้จักจิต และเดี๋ยวนี้ก็มีจิตก็ในเมื่อเดี๋ยวนี้กำลังมีจิต และพูดถึงจิตที่กำลังมีจนกว่าจะเข้าใจจิตเช่นเห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นแต่ในขณะที่เห็นต้องมีธาตุ หรือธรรม หรือสิ่งหนึ่งจะเรียกอะไรไม่เรียกอะไรก็แล้วแต่กำลังเห็นที่กำลังเห็นนี้มีนั่นแหล่ะที่เรากำลังกล่าวถึง เพราะฉะนั้นจะชื่ออะไรดีก็ชื่อจิตจิตเห็นเวลาได้ยินเสียงปรากฏเสียงมีแต่ต้องมีสิ่งหนึ่งที่กำลังได้ยินเสียงสภาพที่กำลังได้ยินนั่นแหละก็เรียกว่าจิตได้ยินก็เป็นธาตุรู้ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุที่รู้ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะทางตาเห็นก็คือจิตได้ยินเสียงปรากฏก็ต้องมีจิตที่ได้ยินกำลังคิดนึกเป็นเรื่องราวต่างๆ ก็ต้องมีจิตไม่อย่างนั้นก็คิดไม่ได้แล้วจะไปรู้จิตไหน

    ผู้ฟัง ก็ต้องจิตนี้

    ท่านอาจารย์ จิตนี้

    ผู้ฟัง จิตนี้ค่ะ

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์สำหรับการจำคำเพราะว่าผู้ที่ศึกษาใหม่ส่วนใหญ่ก็จะคุ้นเคยกับคำแต่การที่จะไตร่ตรองความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ไม่คุ้นเคยเลยพอศึกษาธรรมแล้วก็เต็มไปด้วยเรื่องคิดแม้แต่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะที่ลืมตากับหลับตาก็ยังคิดแม้แต่หลับตาทั้งๆ ที่หลับตาก็ต้องมีธาตุรู้ และก็มีสิ่งที่ถูกรู้แต่ดูเหมือนว่าเราก็ยังคุ้นเคยกับความคิด และจำคำจำเรื่องราว

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเพียงจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงก็ยากไม่ง่ายเดี๋ยวนี้ไม่เคยรู้เรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏเลยว่าเป็นสิ่งที่มีจริงปรากฏจริงๆ ว่ามีแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งที่จะเข้าใจอย่างนี้ก็ยังยากแล้วยังจะคิดถึงอย่างอื่นเช่นขอให้อ่านจดหมาย

    อ.กุลวิไล ท่านที่มาจากเชียงใหม่โลภะที่อยากฟังธรรมให้เข้าใจ และเมื่อฟังแล้วเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ เท่านี้ก่อนนะคะ โลภะรู้จักโลภะ หรือยังธรรมรู้จักธรรมแค่ไหน เพราะฉะนั้นที่ว่าอยากให้เข้าใจขึ้นมีจริงๆ หรือเปล่าคะความอยากมีจริงเป็นเราอยาก หรือว่าขณะนั้นเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งติดข้องต้องการซึ่งเป็นธรรมก่อนอื่นคือให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมเพื่อที่จะได้รู้ว่าไม่ใช่เราไม่ว่าจะรู้มากมายสักเท่าไหร่ชื่อสักเท่าไหร่แต่ยังคงเป็นเรารู้ก็คือว่าไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะฉะนั้นฟังธรรมรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ของใครเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปต้องมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เกิดมีความอยากอยากมีจริงไม่ใช่ต้องไม่อยากอย่าอยากบอกให้ไม่อยากอย่างนั้นไม่ใช่เลยแต่ว่าอยากเกิดแล้วเป็นอยากเข้าใจไหมว่ามีจริงๆ ขณะนั้น และเป็นธรรมอย่างหนึ่งก่อนอื่นยังไม่ต้องไปรู้เรื่องมากมายในพระไตรปิฎกอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดอะไรเพียงแค่ให้รู้ว่าขณะนี้สิ่งที่มีจริงมีจริงชั่วคราวแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีความต้องการเกิดขึ้นขณะนั้นรู้ หรือเปล่าว่าเป็นธรรมยังไม่ต้องไปถึงอะไรเลยทั้งสิ้นแค่เข้าใจว่าไม่ใช่เราลักษณะของความติดข้องเป็นอย่างนี้ก็จะรู้จักโลภะตัวจริงไม่ใช่ชื่อโลภะอะไรก็ไม่รู้แล้วก็เรียกว่าโลภะแต่โลภะจริงๆ คือขณะใดที่มีความต้องการมีความติดข้องมีความเพลิดเพลินมีความยินดีนั่นเป็นลักษณะของธรรมอย่างหนึ่งเป็นธรรมไม่ลืมว่ามีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้วอยากเข้าใจธรรมไม่อยากอย่างอื่นแล้วอยากไปหมดเว้นนิพพานเพราะว่าถ้าอยากนิพพานหมายความว่าไม่รู้จักนิพพานจึงอยากกว่าจะรู้ความจริงว่าแม้แต่ความอยากอยากไปหมดจริงๆ ในขณะที่ถามอย่างนี้ก็ยังอยากเห็น และอยากได้ยินอยากได้กลิ่นอยากคิดนึกอยากรู้โน่นอยากรู้นี่รวมทั้งอยากเข้าใจธรรม

    อ.กุลวิไล ดิฉันจะอ่านอีกทีว่าโลภะที่อยากฟังธรรมให้เข้าใจ และเมื่อฟังแล้วเข้าใจเพิ่มขึ้นแบบนี้เป็นปัจจัยที่ว่าอกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล หรือไม่ครับ

    ท่านอาจารย์ อยาก หรือเปล่าคะถามอย่างนี้อยาก หรือเปล่า หรือว่าเข้าใจความต่างกันคือเข้าใจไม่ใช่อยากเป็นความเข้าใจจริงๆ แต่เวลาอยากขณะนั้นไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นอยากฟังธรรมให้เข้าใจขึ้นต่างกันแล้วอยากคือตัวอยากแต่อยากยังไงจะฟังธรรมให้เข้าใจเป็นไปไม่ได้เลยแต่ว่าเข้าใจคือขณะนั้นไม่ได้อยากละความยากเพราะเข้าใจเช่นละความติดข้องว่าเป็นเราเพราะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ละความอยากว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พอใจเพราะรู้ว่าสิ่งนั้นเพียงปรากฏแล้วหมดไปกว่าจะละได้ เพราะฉะนั้นการละด้วยความรู้ไม่ใช่ความอยากขณะที่ไม่รู้ก็ปะปน และเกิดความสงสัยพอสงสัยก็ไม่พ้นอยากยังไงก็มีอยากไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นอริยสัจจะที่สองคือสมุทัยคือความอยากแต่ถ้ายังอยากอยู่อย่างนี้อยากเข้าใจอยากก็ยังเป็นอยากเพราะไม่เข้าใจเข้าใจกับไม่เข้าใจก็ต่างกัน

    อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ครับความเข้าใจที่จะเป็นพื้นฐานให้เข้าใจว่าขณะนี้ทำไมถึงมีการรู้สิ่งต่างๆ ตั้งแต่เริ่มว่าถ้าไม่มีปรมัตถซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ก็จะไม่มีการสมมติว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็สื่อสารกันได้เลย

    ท่านอาจารย์ ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ยากยากมากเพราะเหตุว่าแม้กำลังปรากฎแต่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงเป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถที่จะคิดเองได้เข้าใจเองได้ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมอันนี้ทุกคนก็มั่นใจเพราะว่าผู้ที่ทรงตรัสรู้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพระปัญญาคุณถ้าไม่มีปัญญาจะรู้ความจริงไม่ได้เลยแล้วเมื่อรู้ความจริงแล้วประโยชน์อะไรจากการที่ได้รู้ความจริงเป็นผู้ที่มีพระบริสุทธิคุณเพราะว่าความจริงที่รู้แล้วประจักษ์แจ้งแล้วก็จะทำให้เป็นผู้ที่หมดจดจากกิเลส และความเห็นผิดทั้งปวง และทรงพระมหากรุณาคุณถ้าไม่ทรงแสดงธรรมหลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้วจะไม่มีใครได้ยินคำที่เราได้ยินทั้งสามคำนี้เลย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องอาศัยคำ หรือภาษาแต่ละภาษาที่จะรู้ว่าใครจะเข้าใจด้วยภาษาอะไรคนไทยแน่นอนจะเข้าใจโดยภาษาอื่นไม่มีความชัดเจนลึกซึ้งแต่สามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งความจริงด้วยภาษาที่ใช้กันอยู่ด้วยเหตุนี้ก็ต้องพูดถึงความจริงตามลำดับขั้นความจริงขณะนี้มีแน่นอนถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงๆ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกล่าวถึงแต่ว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ใครสามารถที่จะรู้ว่าความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฎทางหนึ่งทางใดเช่นขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจึงละใครรู้ใครรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้จริงแค่คำถามสั้นๆ แต่ว่าไม่ใช่คำที่เราเคยใช้อยู่ไม่ใช่คำว่าคนมีจริงดอกไม้มีจริงแต่ใครรู้บ้างว่าสิ่งที่กำลังปรากฎให้เห็นขณะนี้มีจริงๆ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยแต่เป็นสิ่งที่กำลังปรากฎให้เห็นได้แค่นี้หนึ่งประโยคสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ความจริงของสิ่งกำลังปรากฎให้เห็นได้คืออะไรไม่ใช่ว่าเราจะไม่ไตร่ตรอง และก็เพียงฟังเฉยๆ เพราะฉะนั้นการกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจว่าลึกซึ้งยากแก่การที่จะรู้ได้ บางคนฟังแล้วก็บอกว่าทำไมถึงยากเหลือเกินที่จะรู้ได้ก็เพราะสภาพที่มีจริงๆ ลึกซึ้งถ้าไม่มีการตรัสรู้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงได้

    เพราะฉะนั้น จะไม่ข้าม และจะไม่เผินที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฎให้เห็นว่ามีจริงๆ ต้องฟังอีกมากกว่าจะเริ่มคลายความไม่รู้ และความติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ เพราะว่าไม่มีใครคิดถึงเลยถึงความจริงอันหนึ่งซึ่งจริงยิ่งกว่าอื่นคือว่าเป็นสิ่งเดียวที่สามารปรากฎให้เห็นอย่างอื่นไม่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้เลยแข็งไม่ปรากฎให้เห็นเสียงไม่ปรากฎให้เห็นคิดไม่ปรากฎให้เห็นสิ่งอื่นใดทั้งหมดนอกจากสิ่งที่กำลังปรากฎให้เห็นปรากฎให้เห็นไม่ได้เลยนี่คือความจริงกว่าจะรู้ได้ว่าสิ่งนี้มีจริงๆ ใครทำให้สิ่งนี้เกิดได้ใครทำให้สิ่งนี้ปรากฎได้มีแล้วพอลืมตาเกิดมาก็เห็นแล้วก็เห็นทุกวันแต่ก็ยังไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่เพียงปรากฎให้เห็นได้แม้คำเดียวถ้าเบื่อไม่มีทางเลยที่รู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างละเอียดยิ่งแต่ละหนึ่งตรงตามความเป็นจริง ซึ่งสามารถจะค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรอง และเข้าใจได้ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฎขณะนี้มีจริงๆ โดยเพียงปรากฎให้เห็นแต่คิดว่าเห็นสิ่งที่มีรูปร่างสัณฐานต่างๆ หลากหลายมาก และก็มีสีต่างๆ ซึ่งไม่ต้องเรียกก็ได้ไม่ต้องเรียกสีเหลืองว่าสีเหลือง ไม่ต้องเรียกสีเขียวว่าสีเขียว แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก็มีสิ่งที่ต่างกันเขียวไม่ใช่เหลืองไม่ใช่ม่วงไม่ใช่ดำไม่ใช่ขาวไม่เรียกชื่อเลยมีจริงแต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้กว่าเราจะเริ่มคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะไม่มีทางใดเลยที่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงจะเจริญขึ้นได้ถ้าขาดการไตร่ตรองพิจารณาแม้แต่ละคำเช่นเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาลืมไปแล้วว่าปรากฏให้เห็นแต่ว่าไปคิดถึงรูปร่างสัณฐานต่างๆ ถูกต้องไหมคะถ้าไม่มีการปรากฏให้เห็นจะไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้นแต่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้มีรูปร่างสัณฐาน และมีสีสันต่างๆ ทำให้จำเป็นสิ่งที่มีลักษณะต่างๆ กัน เช่น ทำไมรู้ว่าดอกไม้ไม่ใช่ใบไม้รู้ได้ยังไงคนก็ไม่ใช่รูปภาพเป็นสิ่งที่ปรากฏแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งซึ่งความละเอียดทำให้สามารถที่จะรู้ความหลากหลายอย่างยิ่งของสิ่งซึ่งมีจริงแต่ความลึกซึ้งก็คือว่าหารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุประสาทเรายังไม่คิดถึงอะไรเลยแต่สิ่งนี้ที่จะปรากฏว่ามีจริงๆ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องมีตา และรูปหนึ่งสามารถกระทบตาแล้วก็เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นจึงเห็นสิ่งที่กำลังปรากฎแค่นี้ก็เหมือนกับว่าเราไปไกลมากตั้งแต่เกิดเกิดมาก็เป็นญาติพี่น้องเรื่องราวต่างๆ แต่ลืมสิ่งที่ใกล้ที่สุดคือเห็นแล้วก็มีสิ่งปรากฎให้เห็นได้ยังไม่ต้องไปไกลถึงเป็นคนเป็นสัตว์อะไรเลยเพียงแค่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้แต่ว่าเนื่องจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ได้ประจักษ์แจ้งสิ่งที่รู้ยากยิ่งคือสิ่งที่กำลังปรากฎให้เห็นได้ขณะนี้เกิดดับลองคิดดูความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎให้เห็นได้ก็คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนี้แหละเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแต่เร็วมากถ้าเร็วอย่างนี้ใครจะรู้ความจริงได้ถ้าไม่เป็นผู้ที่สะสมความสะอาดของจิตที่จะไม่หลงเข้าใจผิดในสิ่งที่มีจริงๆ และสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีได้ตามลำดับทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมที่จะให้เข้าใจจริงๆ แต่ละภพแต่ละชาติไม่ข้ามเลยแม้แต่สิ่งเดียวที่ได้ยินได้ฟังจนกว่าจะตรงกับความจริงที่ได้ยินได้ฟังว่าถูกต้องไหมเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้กว่าจะอบรมจนกระทั่งสามารถที่เมื่อเห็นก็รู้ได้ทันทีคิดดูนะคะ เข้าใจถูกได้ทันทีเพราะเหตุว่าฟังมามากแล้วฟังมานานแล้วไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกไม่ลืมที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้เพียงแค่หลับตาปรากฏ หรือเปล่าคนนั้นคนนี้นั่งอยู่ตรงนั้นตรงนี้เป็นดอกไม้เป็นโต๊ะไม่มีเหลือเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นการยืนยันแน่นอนเพียงหลับตาก็ไม่ได้ปรากฏเป็นอย่างนี้แต่เมื่อลืมตาทำไมถึงได้มีคนหลายคนมีสิ่งต่างๆ มากมายถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งซึ่งมีความหลากหลายแต่ว่าเกิดดับสืบต่อจนไม่ปรากฏการเกิดดับสืบต่อไม่ประจักษ์การเกิดแล้วดับจึงเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ทันทีที่ลืมตาก็เป็นอย่างนี้แต่ลืมตาแล้วจะเป็นอย่างนี้ทันทีไม่ได้หลับตาแล้วไม่มีเลยอยู่ดีๆ พอลืมตาจะมีปรากฎอย่างนี้ได้ยังไงตั้งมากมาย ก็แสดงว่าแต่ละหนึ่งปรากฏกระทบตาแล้วแต่ละหนึ่งกว่าจะเป็นรูปร่างสัณฐานให้รู้ความหลากหลายก็เกิดดับสืบต่อนับไม่ถ้วนถ้าไม่มีใครสักคนในห้องนี้ไม่มีเลยแล้วก็เกิดมีคนเดินเข้ามาในห้องนี้เพียงหนึ่งสิ่งนั้นเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานสีสันวรรณทำให้จำได้หมายรู้ว่านี่เป็นคิ้วตาจมูกปากเป็นคนนี้ลักษณะนี้ไม่ใช่โต๊ะไม่ใช่เก้าอี้ นี่คือความรวดเร็วหนึ่งเข้ามาอีกหนึ่งเข้ามาอีกหนึ่งจนกระทั่งเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ได้ก็ต้องมีแต่ละหนึ่งที่เกิดดับสะสมสืบต่อจนปรากฏเหมือนพร้อมกันเลย แสดงให้รู้ว่าการเกิดดับของธาตุรู้ที่รู้ทีละขณะรวดเร็วสักแค่ไหนไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งเลย

    การฟังพระธรรมต้องเป็นผู้ที่ละเอียดเพื่อเข้าใจไม่มีการที่จะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรมโดยไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงที่ปรากฏแต่ละหนึ่งได้อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ฟังมานานแต่ว่าพิจารณาแค่ไหนที่จะเริ่มเข้าใจจริงๆ เพียงปรากฏให้เห็นแต่ว่าเป็นคนที่เราชอบเป็นคนที่เราชังได้ยังไงกับสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นแต่ว่าไม่ใช่แต่มีสีสันวรรณแต่พอเป็นคนต้องมีธาตุรู้ซึ่งได้แก่ธาตุซึ่งเราใช้คำว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็นเดี๋ยวนี้เป็นจิตแต่นามธาตุที่เกิดพร้อมกันดับพร้อมกันก็ยังมีธาตุรู้ซึ่งไม่ใช่จิตแต่มีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งที่ชื่อว่าเจตสิกแค่นี้ก็ลึกซึ้งว่าแม้แต่ธาตุเห็นขณะนี้ก็ต้องมีนามธาตุซึ่งอาศัยเกิดขึ้นพร้อมกันรู้สิ่งเดียวกันแต่ว่าลักษณะของธาตุรู้ต่างกันบางธาตุก็เป็นธาตุที่ติดข้องบางธาตุก็เป็นถ้าที่ขุ่นเคืองบางธาตุก็เป็นธาตุที่มีความเมตตามีความเห็นใจมีความเข้าใจทั้งหมดของชีวิตแต่ละคนก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดรวมกันพอเห็นคนนี้จำได้ เห็นคุณอรรณพก็จำได้ คุณอรรณพพูดธรรมเรื่องนั้น เรื่องนี้ วันนั้นไปนั่นไปนี่ ก็แสดงให้เห็นว่าช่างหลากหลายเหลือเกิน เพียงแค่เห็นก็นำความคิดเรื่องราวอีกตั้งหลายอย่างมาจากไหนรวดเร็วเหลือเกินของสภาพธรรมที่เกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ประการหนึ่งก็คือว่าสภาพธรรมใดที่กำลังปรากฎในขณะนี้สภาพนั้นไม่ใช่ไม่มีมีจริงเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็ดับไปจริงๆ แต่ว่าเกิดดับสืบต่อไร้รอยต่อไร้ร่องรอยที่จะรู้ว่าดับแล้วก็เกิดแล้วก็ดับจึงลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งซึ่งเหมือนเที่ยงแล้วก็ทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานจำได้หมดเลยคนใหม่มาแล้วคนนี้ไม่เคยเห็นยังรู้ด้วยว่าไม่เคยเห็นเลยคนนี้แค่มีตามีหูมีจมูกอย่างธรรมดาๆ แต่ความจำซึ่งเกิดหลากหลายมากในสังสารวัฏฏ์เป็นอย่างนี้ซึ่งสภาพธรรมถูกปกปิดไว้สนิทด้วยความไม่รู้เพราะว่าแต่ละหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ หรือไม่ใช่ธาตุรู้ก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากนี่คือต้องมีสิ่งที่มีจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ สืบต่อเร็วจนปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งแม้ไม่เรียกชื่อเลย แต่อาการปรากฏหลากหลายเป็นนิมิตให้รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏต่างกันทำไมคนนี้ไม่ใช่คนนั้น ก็เพราะเหตุว่านิมิตของธาตุที่สามารถกระทบตาเกิดดับสืบต่อเร็ว และไปจำไว้อย่างมั่นคงแม้แต่คนนี้ไม่เคยเห็นก็ยังจำได้ว่าไม่เคยเห็นคนนี้พบสองสามครั้งก็ยังจำได้อีกว่าสองสามครั้งคนนี้เห็นมานานก็ยังจำได้อีก เพราะฉะนั้นโลกจริงๆ คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับเป็นธรรมดารวดเร็วสุดที่จะประมาณได้เกินวิสัยของผู้ที่ไม่ได้ไตร่ตรองไม่ได้พิจารณาไม่ได้สะสมที่จะฟังไม่สะสมการที่จะเข้าใจจริงรู้ความจริงจะเข้าใจได้ เพราะแม้แต่ผู้ที่เห็นว่าน่ารู้เกิดมาก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วก็ตายลืมไม่ได้เลยยังไงๆ ก็ต้องตาย

    เพราะฉะนั้น จากขณะที่ไม่มีอะไรปรากฏเลยหลับสนิท และวันนี้เกิดมีสิ่งต่างๆ มากมายหลากหลายทั้งทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วก็ถึงเวลาที่ไม่เหลือเลยเหมือนไม่เห็นเลยเหมือนไม่เคยจำได้เลยเหมือนไม่เคยรู้เลยแต่ก็ต้องตื่นมาอีกเห็นอีกได้ยินอีกอย่างนี้นานแสนนานมาแล้วหยุดไม่ได้เพราะว่ามีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เป็นอย่างนี้ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยจึงเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นปรมัตถธรรมเกิดดับเร็วมากแต่ละหนึ่งก็ปรากฏเป็นแต่ละหนึ่งโดยนิมิตเพราะเหตุว่าเพียงหนึ่งที่เกิดแล้วดับไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยว่าอะไรแต่เดี๋ยวนี้รู้ไปหมด ก็เพราะเหตุว่าเกิดดับสืบต่อโดยนิมิตที่หลากหลาย และก็มีสภาพทั้งหมดเลยแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งเป็นธรรมทั้งหมดกว่าจะรู้ว่าไม่มีใครนอกจากธรรมซึ่งเป็นอย่างนี้แหล่ะแล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่จบเพราะว่าเป็นอย่างนี้มาแล้วนาน และก็มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดต่อไปอีกนานทีนี้ต่อไปอีกจะนานด้วยความไม่รู้ หรือจะนานด้วยความค่อยๆ เข้าใจขึ้นนี่ก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งแล้วแต่ปัจจัย เพราะฉะนั้นเมื่อมีปรมัตถธรรมเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ การที่จะสามารถที่จะมีธาตุที่จำจำทุกอย่างจำหมดแม้แต่นิมิตก็จำจึงสามารถที่จะมีความรู้ในสิ่งที่ปรากฏโดยอาการนั้นๆ ว่าเป็นอะไร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567