พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 832


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๓๒

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ การที่จะสามารถที่จะมีธาตุที่จำจำทุกอย่างจำหมดแม้แต่นิมิตก็จำจึงสามารถที่จะมีความรู้ในสิ่งที่ปรากฏโดยอาการนั้นๆ ว่าเป็นอะไรที่ใช้คำว่าบัญญัติ หรือปัญญัติถ้าไม่มีสภาพธรรมเลยนิมิตต่างๆ ก็ไม่มีเลยเมื่อมีสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมากปรากฏเป็นนิมิตแต่ว่าถ้าไม่มีความหลากหลายจะรู้ไหมว่าต่างกันโดยอาการนั้นๆ จึงเป็นปัญญัติของแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งนั่นเองจะพูดก็ได้ไม่พูดก็ได้ก็ต่างกันอยู่แล้วดอกไม้จะเป็นใบไม้ได้ยังไงดอกกล้วยไม้จะเป็นดอกดาวเรืองก็เป็นไปไม่ได้ก็เป็นปัญญัติที่สามารถที่จะรู้ได้โดยอาการนั้นๆ แม้ไม่เรียกเลยแต่ว่าถ้าไม่พูดอะไรเลยจะเข้าใจอะไรได้ไหมไม่ได้ เพราะฉะนั้นโสตประสาทก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สามารถจะทำให้กระทบเสียงแล้วเสียงแต่ละเสียงเหมือนกันที่ไหนเสียงดนตรีก็เป็นเสียงดนตรีเสียงคนก็เป็นเสียงคนเสียงกบก็เป็นเสียงกบรู้อย่างนั้นแม้แต่อะไรสักนิดสักหน่อยนิมิตก็ทำให้สามารถเป็นปัญญัติที่เข้าใจได้โดยอาการนั้นๆ ว่าเป็นหนึ่งๆ เป็นแต่ละอย่างไป

    เพราะฉะนั้น ต้องฟังเพื่อคลายความไม่รู้อย่าคิดที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมประจักษ์การเกิดดับของสิ่งที่กำลังปรากฏโดยไม่มีความเห็นถูกความเข้าใจถูกใดๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏจนกระทั่งสามารถคลายการยึดถืออยู่ดีๆ จะไปละความเป็นตัวตน หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลยต้องมีการเข้าใจขึ้นๆ เป็นธรรมดาเป็นปกติ และก็คลายการยึดถือทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าถึงความจริงซึ่งขณะนี้ถูกปิดบังด้วยความติดข้องเพราะความไม่รู้ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องปัญญัตติมีทั้งที่ไม่ใช่เป็นเสียงเป็นอรรถบัญญัติในลักษณะที่ปรากฏก็ได้ หรือว่าเป็นสัททบัญญัติสัททคือเสียงบัญญัติไม่ใช่ภาษาจีนไม่ใช่ภาษาไทยไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นภาษาอังกฤษแค่เสียงเสียงเท่านั้นเองก็ยังสามารถที่จะทำให้มีความหมายต่างๆ กันไปได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งสามารถที่จะเข้าใจความจริงของธรรมว่าลึกซึ้งต้องอาศัยความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่เราพูดจนคุ้นหูปรมัตถ์บัญญัติอะไรๆ ต่างๆ นิมิตแต่ต้องเป็นความเข้าใจว่า ขณะนี้เราเข้าใจคำที่เราพูดเคยพูดมามากน้อยแค่ไหนเวลาที่เข้าใจขึ้นก็จะรู้ได้ว่าพอพูดถึงปรมัตถธรรมพูดถึงสิ่งที่มีจริงไม่ได้พูดถึงนิมิต แต่เวลาพูดถึงนิมิตสิ่งที่กำลังปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็รู้ว่าถ้าไม่มีปรมัตถธรรมสิ่งนี้ก็ไม่มี และที่ปรากฏเป็นอย่างนี้เป็นนิมิตเหมือนถาวรไม่ดับไปเลยเพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมากแล้วมีธาตุที่จำความหลากหลายก็สามารถที่จะเข้าใจความหลากหลายโดยอาการของความหลากหลายนั้นเป็นปัญญัติคือรู้ได้โดยอาการที่หลากหลายที่ปรากฏอีกนานไหมกว่าจะรู้ความจริงแต่เมื่อความจริงเป็นความจริง และก็ได้มีความเข้าใจแล้วด้วยแม้เล็กน้อยความเข้าใจอันนี้ถ้าไม่ละเลยก็สามารถที่จะเข้าใจเพิ่มขึ้นได้

    อ.อรรณพ ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงนะครับ ที่ท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจคำที่เราพูดกันเรียกว่าติดปาก และติดหูแต่ว่าไม่ได้เข้าใจ และขณะนี้ก็กำลังมีอยู่ก็คือความจริงจริงๆ คือปรมัตถ์ซึ่งเกิดดับสืบต่อจึงมีนิมิต และบัญญัติ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะเมื่อฟังท่านอาจารย์แล้วก็เกิดคิดไปว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวก็ไตร่ตรองตามได้ว่าเป็นเช่นนั้นแต่เป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริงๆ ว่าขณะนี้มีเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา และสิ่งนี้ก็เกิดดับเร็วมากทั้งเห็น และทั้งสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นนิมิตนิมิตนี่ก็ชัดเจนว่าเป็นเครื่องหมายของสิ่งที่เกิดดับเร็วมากเมื่อเป็นเช่นนั้น และบัญญัติให้รู้ว่าเป็นอะไรเป็นเช่นนั้นซึ่งการฟังแล้วไตร่ตรองเข้าใจตามที่ท่านอาจารย์กล่าวเช่นนี้ก็เป็นปัญญาที่ไม่ใช่จะง่ายๆ ที่ฟังแล้วไตร่ตรองตามเข้าใจเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็ยากไม่มีใครว่าง่ายเลยสักอย่างเดียวลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจได้ใครคิดว่าธรรมง่ายๆ คือไม่รู้จักธรรมเพราะความจริงของธรรมลึกซึ้งที่ขณะนี้ไม่เห็นการเกิดดับไม่รู้อะไรเลยว่าแท้ที่จริงก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีลักษณะหลากหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเป็นแต่ละธาตุแล้วก็ดับไปไม่ได้เคยคิดเลยเป็นเราทั้งหมดเป็นเขาทั้งหมดเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แต่ลองคิดเปรียบเทียบตามลำดับขั้นรูปเวลานี้ตอนนี้รู้เกิดดับสืบต่อเร็วมากไม่ว่ารูปใดๆ ทั้งนั้นถูกต้องไหมจิตยิ่งเร็วกว่านั้นลองคิดดูแล้วจะยังไงที่จะรู้ความจริงว่าแม้แต่รูปที่กำลังปรากฏให้เห็นอย่างนี้ก็เกิดดับเร็วไม่มีใครรู้เลยกว่าจะมาต่อเป็นนิมิตต่างๆ แล้วไปคิดรวมเป็นบัญญัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งนั้นต้องเกิดดับนับไม่ถ้วนแต่จิตที่กำลังรู้สิ่งนั้นยิ่งเกิดดับเร็วกว่ารูปอีก เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของความไม่รู้อะไรทั้งสิ้นมากน้อยแค่ไหนแต่จากการฟังรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นนี่คือประโยชน์ของการฟังเข้าใจตามที่เป็นจริงที่ได้ฟังว่าขณะนี้มีการรู้สิ่งที่กำลังปรากฎว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะนิมิตสิ่งที่ปรากฏปรากฎรวมกันหลากหลายเป็นสีนั้นสีนี้เป็นรูปร่างสัณฐานอย่างนั้นอย่างนี้แต่ถ้าไม่มีธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราเคยเข้าใจไม่ใช่โต๊ะไม่ใช่เก้าอี้ไม่ใช่คนแข็งเป็นแข็งเสียงเป็นเสียงเห็นเป็นเห็นคิดเป็นคิดแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแต่เพราะความเร็วมากก็จึงปรากฎให้ไม่รู้ความเป็นจริงว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงฟังแค่นี้จนกว่ามีความเข้าใจที่มั่นคงว่าไม่มีอะไรเลยที่เที่ยงมีสิ่งที่มีจริงเพราะเกิดขึ้นปรากฏแต่สิ่งนั้นก็ดับแล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะถึงการเข้าใจการเกิดดับที่จะละความเป็นเราเพราะว่าสิ่งนั้นมีแล้วก็เกิดแล้วก็ดับไปก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นวันนี้เข้าใจเพิ่มจากวันก่อนใช่ไหมคะแม้เพียงเล็กน้อย

    ผู้ฟัง จริงๆ ท่านอาจารย์ก็จะกล่าวย้ำๆ ซ้ำๆ เช่นนี้ตลอดเพราะถ้าเริ่มศึกษาก็จะเข้าใจสามคำนี้ยากมากอย่างยกตัวอย่างบางคนบอกว่าพวกเราปรกติ หรือเปล่าที่บอกว่าไม่มีคนไม่มีต้นไม้ไม่มีโต๊ะไม่มีเก้าอี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นก็ถามเขาได้เลยแล้วเห็นเป็นคน หรือเปล่าแล้วเสียงเป็นคน หรือเปล่ากลิ่นเป็นคน หรือเปล่ารสเป็นปลาเป็นเนื้อ หรือเปล่าก็ถามได้เลยค่ะสนทนาธรรมคือการที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้องในเหตุในผลในความจริงซึ่งพิสูจน์ได้แข็งเป็นคน หรือเปล่าแล้วอะไรเป็นคน

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะโดยเหตุผลที่จะบอกว่าใช่ หรือไม่ใช่ต้องสะสมมาที่จะฟังจริงๆ ว่าคือปรมัตเพราะว่าถ้าไม่ได้สะสมมาเช่นนี้ไม่มีทางที่จะคุยกันรู้เรื่องจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ด้วยเห็นนี้นะคะ ผู้ที่ฟังพระธรรมจึงน้อย

    ผู้ฟัง เพราะกล่าวเช่นนี้ก็เหมือนกับว่าไปพูดอะไรสูงๆ ที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้

    ท่านอาจารย์ อะไรสูงล่ะเห็นก็ธรรมดาได้ยินก็ธรรมดาแต่ไม่รู้ต่างหากไปเอาอะไรสูงๆ ที่ไหนเดี๋ยวนี้กำลังมีปรกติธรรมดา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะที่ว่าสูงๆ หมายถึงว่าก็เห็นเป็นคนเห็นเป็นดอกไม้แล้วมาบอกว่าไม่มีคนไม่มีดอกไม้

    ท่านอาจารย์ แล้วหลับตาล่ะหลับตาล่ะไหนคนพอหลับตาแล้วไหนคนที่กำลังเห็นคุณอรวรรณยืนอยู่นี้คนหลับตาไหนล่ะคุณอรวรรณยืนอยู่ตรงนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าสิ่งนี้ปรากฏให้เห็นได้ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้นเพราะเหตุว่าสิ่งนี้สามารถกระทบตาต้องมีจักขุประสาทรูปพิเศษที่สามารถกระทบได้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้นพอกระทบแล้วจิตก็เกิดขึ้นธาตุรู้เกิดขึ้นไม่ให้เกิดไม่ได้เพราะกำลังเห็นเดี๋ยวนี้กำลังเห็นแล้วจะไปบอกว่าไม่ให้เกิดเห็นได้ยังไงก็กำลังเห็นอยู่แล้วก็แสดงความจริงว่าเห็นเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าไม่มีปัจจัยเห็นก็เกิดไม่ได้เลยสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้นี่ก็สูงที่ไหนก็เดี๋ยวนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้ก็พูดให้เข้าใจเท่านั้นเองเราคงไม่รู้จักคนอื่นแน่นอนใช่ไหมคะแต่เราสามารถที่จะรู้ได้ว่าฟังเรื่องเห็นมาหลายครั้งแล้วก็ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็หลายครั้งความเข้าใจเพิ่มขึ้นเข้าใจขึ้นบ้างไหมในเมื่อเป็นสิ่งที่จริงไม่ใช่คำเท็จเป็นวาจาสัจจะ และสิ่งนี้ก็กำลังปรากฏด้วยแล้วก็พิสูจน์ได้รู้ได้ว่าเป็นความจริงแค่หลับตาคุณอรวรรณที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีแล้วใครๆ ที่นั่งอยู่ในห้องนี้ก็ไม่มีสักคนแค่นั้นเองพอลืมตามาจากไหนเร็วๆ จังนั่งกันอยู่เต็มเพียงแค่หลับตากับลืมตาเท่านั้นเองแสดงให้เห็นว่าความไม่เข้าใจความไม่รู้ความจริงของแต่ละสิ่งที่ปรากฏยังต้องฟังต่อไปแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นอย่างเดียวค่ะฟังเพื่อเข้าใจแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นจริงๆ

    อ.วิชัย ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ครับถ้ากล่าวถึงว่าความเห็นก็มีสองอย่างหนึ่งคือความเห็นชอบ หรือว่าถูกสองก็คือความเห็นที่ผิดบุคคลที่มีความเห็นผิดย่อมไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นความเห็นผิดการที่จะฟังพระธรรมให้เกิดความเข้าใจที่จะมีความเข้าใจถูกว่าความเห็นของแต่ละบุคคล หรือแม้ตัวเราเองที่สะสมมาอย่างไรชื่อว่าถูกอย่างไรชื่อว่าผิดครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องของการฟังคำแต่ว่ายังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าขณะนี้กำลังเห็นถูก หรือว่าเห็นผิดแสดงว่าคำทั้งหลายเราได้ยินได้ฟังบ่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่าใครเห็นผิดเห็นถูกถ้าไม่สนทนากันไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าคนนั้นมีความเห็นว่าอย่างไรมีความคิด และมีความเชื่ออย่างไรถ้าความเห็นนั้นไม่ตรงตามความเป็นจริง และไม่ตรงตามเหตุผลความเห็นนั้นจะถูกต้องได้ไหมคะ

    อ.วิชัย ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้แม้แต่เรื่องธรรมดาๆ มีความเห็นผิดคือไม่ตรงตามความเป็นจริง และมีความเห็นถูกเมื่อสิ่งนั้นเป็นเหตุเป็นผล และเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ เป็นสิ่งที่รู้ยากเพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ละเอียด และลึกซึ้งแม้แต่ความเห็นถ้าไม่สนทนากันนั่งเฉยๆ จะรู้ได้ไหมว่าใครเห็นผิดใครเห็นถูกสองคนคุยกันแล้วจะรู้ได้ยังไงคะว่าความเห็นของใครถูก หรือว่าความเห็นของใครผิดต้องตรงตามความเป็นจริง และเหตุผลในขณะนี้กำลังนั่งกันอยู่เห็นถูก หรือเห็นผิดถ้ากล่าวตามตำรารู้ทุกอย่างเห็นผิดมีอะไรบ้าง และเห็นถูกคืออย่างไรแต่เดี๋ยวนี้เองเห็นถูก หรือเห็นผิดพอถึงอย่างนี้ไม่รู้แล้ว เพราะฉะนั้นความเห็นก็มีหลายอย่างตั้งแต่อย่างตามความเป็นจริงทั่วไปคือดีไม่ใช่ชั่วชั่วไม่ใช่ดีพูดอย่างนี้ก็ง่ายอีกเพราะว่าจะรู้ได้ยังไงว่าดีเมื่อไหร่ชั่วเมื่อไหร่ยังต้องมาตัดสินวิจัยพิพากษาพยายามที่จะรู้ว่าอันนี้ถูก หรือผิดดี หรือชั่วแต่ถึงแม้ว่าเป็นสิ่งซึ่งชาวโลกเข้าใจว่าดีถูกต้องแต่ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่าแม้แต่สิ่งที่ทุกคนเข้าใจว่าดีความไม่โกรธ หรือว่าการที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกัน และกันแต่ว่าตามความเป็นจริงที่ละเอียดกว่านั้นก็คือว่าไม่เข้าใจถูกเลยว่าขณะนั้นเป็นอะไรทั้งๆ ที่สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าที่พึ่งแท้จริงคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าใครจะพูดจะคิดยังไงความเห็นหลากหลายต่างกันแต่ความจริงต้องเป็นความจริง และสิ่งที่เป็นสิ่งนั้นตามความเป็นจริงเปลี่ยนไม่ได้ให้เป็นสิ่งอื่นไม่ได้ขณะนี้กำลังเห็นถูก หรือเห็นผิดกำลังฟังเพื่อให้เข้าใจว่าถูกคืออย่างไร และผิดคืออย่างไรตามลำดับขั้นขณะที่กำลังฟังธรรมดีเป็นกุศลเป็นสิ่งที่ดีงามเพราะว่าเป็นความรู้ซึ่งยากที่จะได้ยินได้ฟัง และได้เริ่มเข้าใจความจริงแต่ว่าขณะใดก็ตามที่ฟังแล้วไม่เข้าใจขณะนั้นจะเป็นความเห็นถูกได้ไหมจะเป็นความดีได้ไหมนี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟังก็คือว่าฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงละเอียดขึ้นถูกต้องขึ้นจนสามารถจะรู้ความจริงของคำที่เราพูดอย่างเช่นสัมมาทิฏฐิ และมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิดดูเหมือนไม่ได้เห็นอะไรผิดเลยเวลาที่ทำบุญให้ทาน หรือว่ากุศลประเภทใดๆ ก็ตามสภาพธรรมของจิตที่ดีมีแต่ขณะนั้นมีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกเกิดร่วมด้วย หรือเปล่านี่เป็นเหตุที่ทรงจำแนกจิตซึ่งชาวโลกอาจจะเห็นว่าดีแล้วแต่ดีระดับนั้นเป็นจิตที่ประกอบด้วยสภาพธรรมดีงามมีหิริมีโอตัปปะมีศรัทธามีอโลภะอโทสะแต่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นกุศลก็มีที่ประกอบด้วยปัญญา และที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาสองอย่างอะไรจะดีกว่ากันเริ่มเป็นความเห็นแล้วตั้งแต่ขั้นต้นเพราะเหตุว่าเพราะการขาดการเห็นประโยชน์ของปัญญาคนก็พอใจเพียงแค่กุศลซึ่งขณะนั้นไม่มีโลภะไม่มีโทสะแต่ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องด้วยเหตุนี้ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่มีโอกาสจะได้สะสมความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงซึ่งหาที่อื่นไม่ได้เลยก็คือกำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจความจริงขณะใดที่กำลังเข้าใจความจริงถูก หรือผิด

    อ.วิชัย ถูกครับ

    ท่านอาจารย์ ถูกค่ะ เพราะฉะนั้นภาษาไทยก็เห็นถูกเข้าใจถูกตามความเป็นจริงก็เป็นสัมมาทิฏฐิถ้ากล่าวถึงสัมมาทิฏฐิต้องในขณะที่มีความเห็นถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏเริ่มจากขั้นการฟังแต่ถ้าเป็นความดีอื่นๆ ก็เป็นกุศลซึ่งไม่มีความเห็นถูกเกิดร่วมด้วยนี่กล่าวทางฝ่ายความเห็นถูกแต่ทางฝ่ายอกุศลก็คือว่าขณะใดที่โกรธดี หรือไม่ดีไม่ดีรู้แล้วใช่ไหมคะขั้นหนึ่งที่เข้าใจถูกต้องว่าไม่ดีแต่ว่ามีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยในขณะที่โกรธ หรือเปล่า

    อ.วิชัย ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีแล้วจะรู้ได้ยังไงถ้าไม่ศึกษาพระธรรมนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเห็นได้ว่าที่เราเข้าใจว่าปัญญาๆ ที่พยายามคิดเรื่องศีลธรรมจริยธรรมต่างๆ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมขณะนั้นก็ไม่ได้มีความเห็นถูกต้อง

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับหมายถึงว่าความเห็นถูกคือต้องเป็นการรู้ธรรมคือขณะนี้เท่านั้น หรือครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็มีความเห็นถูกตามลำดับตั้งแต่ตรงตามความเป็นจริงแต่ก็ประกอบด้วยปัญญาระดับนั้นที่ไม่เห็นผิด และก็เห็นตามความเป็นจริงแต่ก็ไม่ใช่ประกอบด้วยปัญญาความเห็นถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพียงแต่ว่าในขณะนั้นมีการกระทำ หรือมีความคิดซึ่งเป็นไปตามเหตุ และผล

    อ.วิชัย หมายความว่าอย่างเช่นที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างกล่าวถึงอกุศลโทสะไม่ดีคือการที่คิดว่าอกุศลไม่ดีจะเป็นความเห็นไหมครับ หรือเป็นความรู้อย่างเช่นก็รู้กันว่าอกุศลก็เดือดร้อนใจเป็นสภาพที่ไม่สบายใจ

    ท่านอาจารย์ พูดคำว่าอกุศลคำเดียวละเอียดพอที่จะตัดสินได้ไหมว่าดี หรือไม่ดี

    อ.วิชัย ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้

    อ.วิชัย ขอความกรุณาท่านอาจารย์หมายถึงต้องเข้าใจถึงลักษณะของเขาด้วย หรือครับ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจตามควรถ้าบางคนบอกว่าฆ่าสัตว์ไม่เป็นไรเพราะว่าเป็นอาหาร

    อ.วิชัย อันนี้ก็ต้องผิดแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ก็ชัดเจน เพราะฉะนั้นก็ตามลำดับขั้นของศีล หรือว่าของความสงบ หรือว่าของปัญญาจริงๆ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับพระผู้มีพระภาคทรงแสดงถึงว่าถ้ามีความเห็นผิดแล้วอกุศลทั้งหลายย่อมเจริญ

    ท่านอาจารย์ ฆ่าสัตว์ไม่เป็นไรฆ่าใหญ่ใช่ไหมคะฆ่ามากๆ ทุกวันๆ อกุศลก็เจริญขึ้นพูดคำไม่จริงเพียงเล็กน้อยไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นก็พูดคำไม่จริงเพิ่มขึ้นมากขึ้น และคำไม่จริงใครชอบไม่มีใครชอบเลยทุกคนชอบคำจริง และ และความจริงจะเห็นได้ว่าขณะใดที่พูดสิ่งที่ไม่จริงขณะนั้นก็เป็นอะไรคะกุศล หรืออกุศล

    อ.วิชัย ถ้าพูดไม่จริงก็เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คือความเห็นถูกพอสมควรเล็กๆ น้อยๆ จะกล่าวว่ามีปัญญาปัญญาขั้นตรึกตรอง หรือว่าปัญญาขั้นรู้เรื่องเหมือนขณะนี้กำลังฟังเรื่องราวของสภาพธรรมที่มีจริงเพราะแม้แต่การฆ่าก็เป็นธรรมแต่ว่ายังไม่รู้สภาพธรรมในขณะที่จิตขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นไป

    อ.วิชัย การฟังคือฟังสิ่งที่มีจริง และถูกต้องก็หมายถึงว่าขณะที่ฟังถ้าเกิดความเข้าใจขณะนั้นไม่ต้องกล่าวว่าเป็นความถูกแต่ว่าปัญญาคือความถูกเกิดในขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าถามว่าดอกไม้ดีจริงไหมเป็นปัญญา หรือเปล่าถ้าตอบว่าจริงเพราะว่ามีดอกไม้สองอย่างดอกไม้ปลอมดอกไม้เทียมก็มี และดอกไม้จริงๆ ก็มี เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าเนี่ยบอกว่าดอกไม้ปลอมเป็นดอกไม้จริงด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าจริงขณะนั้นเป็นความเห็นผิด หรือความเห็นถูก หรืออะไร หรือเปล่า หรือเพียงแต่สัญญาวิปลาสขณะนั้นเพราะจำผิดซึ่งขณะนั้นถึงแม้ว่าจะจำถูกก็ยังเป็นสัญญาวิปลาสเมื่ออกุศลจิตเกิดคือต้องรู้เรื่องของสิ่งที่มีจริงละเอียดยิ่งขึ้นไม่อย่างนั้นก็ไม่พ้นจากความเห็นผิดไม่เห็นผิดในเรื่องนั้นเห็นถูกแล้วไม่รู้แต่ก็ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับขอเรียนถามอาจารย์อรรณพก็มีข้อความในพระสูตรที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ก็ทรงแสดงเรื่องของเหตุให้เกิดทั้งมิจฉาทิฏฐิด้วย และสัมมาทิฏฐิด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องของเหตุให้เกิดมิจฉาทิฏฐิคืออโยนิโสมนสิการ หรือการกระทำในใจไว้โดยไม่แยบคายถ้าเหตุให้เกิดสัมมาทิฏฐิก็คือโยนิโสมนสิการคือกระทำไว้ในใจโดยแยบคายแต่ในพระสูตรก็จะมีกล่าวถึงอย่างเช่นมีเหตุด้วยคือปรโตโฆสะคือการฟังดังนั้นการฟังเสียงจากที่อื่น และให้เกิดความเห็นทั้งถูกก็ได้ หรือผิดก็ได้ และมีเหตุคือการใส่ใจโดยแยบคาย และไม่แยบคายยังไงครับ

    อ.อรรณพ พระองค์ท่านก็ทรงแสดงเหตุเกิดของธรรมธรรมอะไรเกิดต้องมีเหตุ และพระองค์ท่านทรงรู้เหตุทุกประการของธรรมนั้นแม้ในธรรมสองอย่างซึ่งเป็นธรรมที่ดีที่สุดก็คือเห็นถูกคือปัญญาซึ่งเป็นสภาพเจตสิกที่เกิดกับจิต และสภาพธรรมที่เป็นเหมือนภัยร้ายที่สุดในจิตก็เป็นเจตสิกซึ่งเมื่อเกิดกับจิตแล้วก็แย่ที่สุดก็คือความเห็นผิดอันได้แก่ทิฏฐิเจตสิกซึ่งพระโสดาบันดับได้แต่พระโสดาบันยังมีความโกรธได้ เพราะฉะนั้นความโกรธไม่ดีแต่คงไม่ดีน้อยกว่าความเห็นผิดเพราะพระโสดาบันไม่มีความเห็นผิดทีนี้เหตุเกิดของความเห็นผิดท่านแสดงว่าก็คือการพิจารณาไม่แยบคายอย่างตอนนี้ทุกคนฟังธรรมเหมือนกันข้อความเดียวกันพิจารณาแยบคาย หรือไม่แยบคายเพียงอ่านข้อความในพระไตรปิฎกว่ากุศลควรเจริญคิดแล้วว่าต้องเป็นเราที่ทำกุศลแยบคายไหมครับเป็นตัวตนไปแล้ว เพราะฉะนั้นแม้คำสอนจะถูกต้องแต่การฟังของผู้ฟังนั้นคิดไปตามการสะสมที่ไม่แยบคาย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567