พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 838


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๘๓๘

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๖


    ท่านอาจารย์ คนที่ได้ยินแต่ชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนโตแล้วเกิดมาได้ยินจนกระทั่งจากโลกไปจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมถ้าเพียงแต่ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เมื่อมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมที่ทรงแสดงเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้มีความเห็นถูกให้มีความเข้าใจถูกตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นจะยาก หรือจะง่ายความคิดเดิมของหลายคนที่บอกว่าอยากฟังธรรมง่ายๆ หรือว่าสั้นๆ เอาไปทำไมคะง่ายๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่ง่ายๆ หรือ และสั้นๆ หรือทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่ออนุเคราะห์ไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายค่ำต้องเสด็จไปสู่ที่ต่างๆ ที่มีผู้ที่สามารถเข้าใจได้ก็ทรงอนุเคราะห์เสด็จไปประทับแม้ในโรงของช่างหม้อซึ่งก็มีสิ่งที่ไม่สะอาดแต่ก็เพื่อประโยชน์ที่จะอนุเคราะห์ผู้ที่เดินทางไกลได้มีโอกาสได้เฝ้าได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้นถ้าไม่รู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทรงแสดง ๔๕ พรรษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ ไม่ใช่ว่าไปหยิบพระไตรปิฎก และพระวินัยปิฎกพระสุตัตตพระอภิธรรมปิฎกหัวข้อต่างๆ เรื่องชื่อต่างๆ มากมายแต่ไม่เข้าใจอะไรเลยเพราะเหตุว่าการศึกษาธรรมต้องรู้ว่าธรรมคืออะไรก่อนถ้าจะกล่าวว่าเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้นเมื่อตรัสรู้แล้วทรงแสดงประโยชน์มหาศาลของบุคคลที่ได้ฟังก็คือว่าได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงเมื่อไหร่ชาติไหนมีโอกาสที่จะได้ฟังบ่อยไหมหลายๆ ชาติ หรือว่านานๆ สักครั้งหนึ่งเพราะว่าการเกิดเป็นมนุษย์ยากการได้ฟังพระธรรมยากถ้าพระศาสนา หรือพระธรรมอันตรธานเมื่อไหร่ไม่มีใครมีโอกาสจะได้ยิน หรือเข้าใจก็ต่างคนก็ต่างคิดโดยไม่ได้ศึกษา เพราะฉะนั้นก่อนอื่นฟังสิ่งที่ยากไม่ใช่ฟังสิ่งที่ง่ายแต่สามารถเข้าใจได้แต่จะเข้าใจได้ด้วยการไตร่ตรองทีละคำไม่ใช่หลายๆ คำ แล้วคิดว่าเข้าใจได้ทุกคำที่ได้ยินเช่นเมื่อกี้นี้เข้าใจทุกคำที่ได้ยิน หรือเปล่าบางคำเข้าใจ และบางคำก็ไม่เข้าใจ และที่คิดว่าเข้าใจน้อย หรือมาก๔๕ พรรษาทรงแสดงเพียงเท่านี้ หรือเพียงแค่ฟังแล้วคิดว่าเข้าใจ หรือว่าความจริงที่ทรงแสดงนั้นเมื่อไหร่จะเข้าใจละเอียดถูกต้องยิ่งขึ้นไม่ใช่เพียงการฟังครั้งเดียวก็แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้ฟังพระธรรมไม่มีทางที่ใครจะเข้าใจพระธรรมได้ในเวลาเล็กน้อยแม้ผู้ที่สะสมบารมีมาก็ต้องหลายคำพอสมควรที่จะเข้าใจได้แล้วแต่การสะสมแต่อย่างไรก็ตามเข้าใจได้เมื่อเห็นประโยชน์ และฟังต่อไป เพราะฉะนั้นแต่ละคำสำคัญมากขอให้เข้าใจจริงๆ จากสิ่งที่มีจริงๆ เพราะรู้ว่าการฟังพระธรรมคือฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงตามที่ได้ทรงแสดงซึ่งเราไม่สามารถที่จะคิดเองได้จะไตร่ตรองนานสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ก็ควรเริ่มจากแต่ละคำให้เข้าใจจริงๆ ว่าฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงขณะนี้ถ้าไม่มีจริงมีประโยชน์อะไรที่จะฟัง และถ้าไม่จริงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไรก็ไม่ได้ทรงตรัสรู้เพราะสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีจริงแต่ว่าเมื่อไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงจะชื่อว่าทรงตรัสรู้ไม่ได้แต่เพราะเหตุว่าทรงประจักษ์ความจริงของสิ่งที่มีจริงเพียงเท่านี้แค่ภาษาง่ายๆ ธรรมดาภาษาไทยแท้ๆ ไม่มีคำอื่นเลยสิ่งที่มีจริงใครรู้บ้างถ้าไม่ฟังพระธรรมว่าขณะนี้อะไรมีจริงๆ หากันใหญ่เดี๋ยวนี้อะไรจริงแต่สิ่งที่มีจริงมีจริงแน่นอนแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วยเห็นใครไม่เห็นบ้างเห็นมีธรรมดามากใช่ไหมคะนกก็เห็นงูก็เห็นคนก็เห็นปลาก็เห็นแล้วพูดเรื่องเห็นทำไมบางคนคิดอย่างนี้นี่ หรือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมไม่พูดคำยากๆ เรื่องใหญ่ๆ ฟังแล้วไม่รู้เรื่องแต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าสิ่งใดที่มีแล้วรู้ไหมว่าคืออะไร หรือเป็นอะไรแม้แต่เห็นที่กำลังเห็นเป็นสิ่งที่มีจริงต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ หรือเปล่าในความจริงของสิ่งที่มีจริงขณะนี้คือเห็น หรือเปล่าเห็นมีแน่นอนแต่ความลึกซึ้งของเห็นในขณะที่กำลังเห็นต้องอาศัยพระธรรมที่รู้ว่าเห็นเกิดได้ในขณะนี้ และเห็นเพราะมีปัจจัยสิ่งที่สามารถจะเกื้อกูลอุปการะให้สภาพที่กำลังเห็นนี้เกิดขึ้นกำลังเห็นเดี๋ยวนี้เกิดเองไม่ได้แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่ต้องอาศัยใช้คำในภาษาไทยว่าตาแต่ตาไม่ใช่หูไม่ใช่แข็งไม่ใช่อ่อนทุกคำต้องตรง และจริงตามีจริงๆ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกคำที่เป็นคำจริงเป็นคำที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดจากการที่ทรงตรัสรู้เพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงโดยถ่องแท้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะใช้คำไหนก็ตามต้องเกิดเมื่อมีปัจจัยเฉพาะที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดได้เช่นถ้าไม่มีตาขณะนี้ใครโลกไหนพรหมไหนเทวดาไหนที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไม่มีทางเป็นไปได้เลยแต่เมื่อมีตารูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ใช่แขนไม่ใช่แข็งไม่ใช่หูแต่ต้องเป็นรูปหนึ่งมีจริงๆ และเราก็คุ้นกับคำนี้ตามีใครไม่รู้จักตาในภาษาไทยบ้างก็รู้จักแต่ไม่รู้เลยว่ารูปนี้ต้องเกิดด้วยถ้ารูปนี้ไม่เกิดตาก็ไม่มีอย่าว่าแต่เห็นเลยแม้แต่ตาก็ไม่มีนี่คือความลึกซึ้งของทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏว่ามีจริงในโลกเพราะเหตุว่าพอพูดถึงโลกทุกคนคิดถึงประเทศหลายประเทศภูเขาดินน้ำต่างๆ และมีผู้คนหลากหลายมีสัตว์ประเภทต่างๆ แต่ลองคิดดูถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยสักอย่างเดียวโลกมีไหมก็ไม่มีแต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นนั่นแหละโลกแต่ว่าปัจจัยที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมดเลยแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไรก็เข้าใจโลกว่าเป็นโลกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ภูเขาผู้คนต่างๆ แต่ตามความจริงก็คือว่าแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันไม่ใช่อย่างเดียวกันแล้วก็ไม่ใช่ขณะเดียวกันด้วยเช่นเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เห็นเมื่อวานนี้ถูกต้องไหมคะแต่เห็นขณะนี้เกิดต้องมีตาซึ่งไม่ใช่ตาเมื่อวานนี้ด้วยนี่คือความจริงที่จะใช้คำว่าชีวิตก็คือว่ามีสิ่งที่มีที่ปรากฏว่ามีแล้วก็เรียกรวมๆ ว่าเป็นชีวิตแต่ชีวิตแต่ละหนึ่งขณะต้องเป็นสภาพที่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้สิ่งนี้มีจริงๆ เช่นขณะนี้เห็นเห็นเป็นชีวิต หรือเปล่าไม่ใช่ผ่านไปง่ายๆ เลยจะพูดเรื่องชีวิตจะดำเนินชีวิตโดยที่ไม่เข้าใจชีวิตเผินๆ แล้วจะไปดำเนินชีวิตอะไรก็ยังคงเป็นความไม่รู้อยู่ เพราะฉะนั้นขณะนี้รู้ได้เลยเห็นขณะนี้เกิดแล้วได้ยินไม่ใช่เห็นขณะนี้ใครรู้บ้างว่าเห็นกับได้ยินเกิดห่างกันไม่ได้ติดกันพร้อมกันอย่างนี้เลยแต่เพราะความรวดเร็วอย่างยิ่งด้วยความไม่รู้ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ว่าเห็นขณะนี้กับได้ยินไม่ใช่ขณะเดียวกันไม่ใช่พร้อมกันจนกว่าจะมีปัญญาที่สามารถค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าเห็นเกิดเพราะอะไรแล้วดับไปก่อนได้ยินจึงเกิดได้เพราะอะไรแล้วก็ดับไปอีก เพราะฉะนั้นว่างเปล่าเพียงมีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับสิ่งที่ดับแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นฟังสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงนี่คือพระธรรมที่ทรงแสดงถ้าฟังแล้วไม่เห็นด้วย หรือไม่เข้าใจ หรือว่าสงสัยการสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่งเพราะเหตุว่าทำให้ได้มีความเข้าใจสิ่งที่ยังเคลือบแคลงสงสัย หรือสิ่งที่ไม่ชัดเจนให้ถูกต้องขึ้นไม่ใช่เพียฟังเผินๆ เข้าใจแล้วเข้าใจแล้วไปเรื่อยๆ แต่ว่าความเข้าใจเพิ่มขึ้น หรือเปล่าจากการฟังในเรื่องคำเดียวคือตา หรือว่าเห็น หรือว่าชีวิตมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นบ้างไหมจากการที่ได้ฟังนั่นคือประโยชน์ เพราะฉะนั้นการที่จะพูดสั้นๆ ง่ายๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ความไม่รู้ซึ่งสะสมมานานแสนนานไม่ว่าจะเห็นก็ไม่รู้ได้ยินก็ไม่รู้แล้ววันหนึ่งเห็นเท่าไหร่ได้ยินเท่าไหร่ไม่รู้เท่าไหร่กว่าผงฝุ่นละอองเล็กๆ จะรวมกันเป็นภูเขาได้ หรือใครว่าภูเขาไม่ใช่ฝุ่นละอองเล็กๆ มีอากาศธาตุแทรกขั้นอยู่อย่างละเอียดยิบพร้อมที่จะแตกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้แม้แต่ที่เข้าใจว่าเป็นเรามีชีวิตความจริงก็คือแต่ละสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นดับไปก็จริงแต่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดสืบต่อไม่มีระหว่างขั้นจนไม่รู้เลยว่าขณะนี้อะไรบ้างที่เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องเข้าใจพูดถึงชีวิตเห็นเป็นชีวิต หรือเปล่า หรือว่าแยกกันชีวิตที่ไม่มีเห็นมีไหมไม่มีคิดมีไหมไม่มีจำมีไหมนี่คือความละเอียดขึ้นซึ่งค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นเวลานี้ชีวิตก็คือขณะนี้เดี๋ยวนี้ที่มีสภาพธรรมยังเกิดดับสืบต่อยังไม่ตายสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วตั้งแต่ขณะแรกแล้วก็ดับไปสืบต่อก็มีสิ่งที่สามารถที่จะรู้ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเช่นมีเห็นมีได้ยินเหล่านี้ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งมาถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ได้ขาดชีวิตคือสิ่งที่มีที่ปรากฏให้รู้ได้แม้แต่คำว่าชีวิตก็ต้องมีคำจำกัดความให้ชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่สามารถปรากฏให้รู้ได้ถ้าไม่มีสภาพรู้ไม่มีธาตุรู้จะมีชีวิตไหมคือการที่จะต้องไตร่ตรองไปอีกทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วชีวิตคือในขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้รู้ได้เดี๋ยวนี้เห็นมีปรากฏให้รู้ได้ว่ามีเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นชีวิต หรือเปล่าเพราะเกิดขึ้น และปรากฏว่ามีรู้ได้ว่ามีสิ่งนั้นสภาพรู้นั่นแหละเป็นสภาพที่มีชีวิตเวลานี้ถ้ามีนกสักตัวหนึ่งอยู่ในห้องเห็นมั้ยคะนกเห็นอะไร หรือเปล่าเห็นเป็นชีวิต หรือเปล่าเป็นแต่ขณะนี้มีโต๊ะมีเก้าอี้มีดอกไม้โต๊ะเก้าอี้รู้อะไร หรือเปล่าไม่รู้มีชีวิต หรือเปล่าไม่มี เพราะฉะนั้นชีวิตต้องมีเมื่อมีสภาพรู้ หรือธาตุรู้ถ้าไม่มีสภาพรู้ไม่มีธาตุรู้อะไรขณะนั้นจะมีชีวิตไม่ได้ขณะนี้มีชีวิต หรือเปล่าคะในห้องนี้เพราะจิตเกิดดับอยู่ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นของจิตเมื่อไหร่สิ้นชีวิต เพราะฉะนั้นมีธาตุรู้ที่ไหนเมื่อไหร่โลกไหนขณะนั้นก็มีชีวิต

    อ.วิชัย อาจารย์ครับท่านอาจารย์กล่าวถึงตอนช่วงต้นที่ว่าพระผู้มีพระภาคทรงรู้ธรรมตามความเป็นจริงคือเห็นขณะนี้อะไรที่เป็นความยากของการที่จะเข้าใจเห็นครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เห็นมีมีใครประสงค์ที่จะเข้าใจความจริงของเห็นบ้าง หรือว่ามีก็มีไปต่างกันแล้วใช่ไหมคะแม้แต่ความคิดว่าเมื่อมีสิ่งที่มี และความจริงของสิ่งที่มีคืออะไรต้องเป็นบุคคลที่เห็นประโยชน์ว่ารู้อะไรก็สารพัดรู้แต่ว่าเห็นเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแล้วจะชื่อว่าเป็นผู้รู้จริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นเรื่องของการที่จะเห็นประโยชน์ของการเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีแต่ละขณะซึ่งเป็นชีวิตก็ต้องเป็นผู้ที่สะสมการที่จะคิดเพื่อที่จะเข้าใจไตร่ตรองให้ถูกต้องในสิ่งที่มีบางคนเกิดมาแล้วไม่คิดเรื่องนี้เลยก็คิดเรื่องอื่นหมดแล้วก็ตายทั้งๆ ที่ยังคิดไม่จบเลยก็ตายไปเสียก่อนแต่ว่าเวลานี้เราก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ให้คิดก่อนอื่นเพียงแค่ควรเข้าใจไหมก่อนอื่นเบื้องต้นแทนที่จะไปพยายามให้เขาเข้าใจแต่เขาก็ต้องเป็นคนที่รู้ตัวเองเห็นมีมาตลอดตั้งแต่เกิดจนตายตอนเด็กก็เห็นอย่างหนึ่งโตขึ้นก็เห็นอีกอายุมากขึ้นก็เห็นไปเรื่อยๆ แต่ละเรื่องราวที่คิดนึกจากการเห็นไม่สิ้นสุดเลยควรรู้ความจริงไหมว่าแท้ที่จริงแล้วมีสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วคราวถ้าไม่คิดเลยจะรู้ไหมว่าชั่วคราวเห็นนี่เพราะขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็นแค่นี้ก็ต้องคิดต้องไตร่ตรองแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ผู้ที่ข้องในการที่จะรู้ความจริงจึงมีหลายระดับตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งที่เป็นโพธิสัตว์คือพระมหาสัตว์พระปัจเจกกะโพธิสัตว์ และสาวกโพธิสัตว์ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นแต่ต้องเป็นผู้ที่คนที่จะเข้าใจรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีแล้วไม่รู้เลยเกิดมาตายไปแล้วก็ไม่รู้อะไรเลยโดยเฉพาะซ้ำทุกวันวันนี้เห็นแล้วเมื่อวานก็เห็นได้ยินแล้วเมื่อวานก็ได้ยินพรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้เกิดมากินแล้วก็นอนนอนแล้วก็กินกินแล้วก็นอนแล้วก็จากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่ใช่กินนอนเฉยๆ ยังมีความติดข้องไม่พออกุศลอีกมากมายตามมาแต่ละวัน เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้ว่าทำไมคนจึงได้หลากหลายต่างกันโดยวงศาคณาญาติโดยทรัพย์สมบัติโดยมิตรสหายโดยความรู้แม้แต่โดยความคิด เพราะฉะนั้นก็มีโอกาสได้ฟังแล้วเห็นประโยชน์ก็ศึกษาต่อไปจะเข้าใจอีกมากเพราะพระธรรมที่ทรงแสดงไว้นับคำไม่ได้ใครนับบ้างคะ และยังมีอรรถกถายังมีสิ่งที่จะทำให้เราสามารถก็เข้าใจถูกต้องจนกระทั่งรู้จริงๆ ว่าอะไรประโยชน์คืออะไร เพราะฉะนั้นชีวิตจะดำเนินไปในทางที่เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับชีวิตนี่ก็คือสภาพธรรมที่กำลังเป็นไปในขณะนี้ก็คือจิตเจตสิก และรูปที่ประชุมกันเป็นแต่ละท่านๆ กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงเหตุเกิดของชีวิตด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ ธรรมไม่ใช่ฟังคนอื่นพูดแล้วเชื่อแต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งรู้ว่าไม่สงสัยในคำนั้น หรือว่ามีความเข้าใจในคำที่ได้ยินเพิ่มขึ้นเช่นตราบใดที่ยังมีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ก็มีชีวิตแต่ถ้าไม่มีธาตุรู้จะชื่อว่ามีชีวิตไม่ได้ก็คือสิ้นชีวิตไปแค่นี้เราพอที่จะเข้าใจแต่ว่าความละเอียดของแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังต้องอาศัยการไก่จะลองจริงๆ ไม่ใช่ว่าเพียงแต่เขาบอกไม่ได้เลย หรือแมีข้อความที่พระไตรปิฎกกล่าวก็ต้องพิจารณาจนเป็นความเข้าใจถูกของตนเองนั่นคือประโยชน์คือฟังแล้วมีความเข้าใจขึ้นๆ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ มีชีวิตจึงเห็นใช่ไหมคะจึงได้ยินถ้าไม่มีชีวิตไม่มีทางเลยห้องนี้ก็ยังเหมือนเดิมเสียงต่างๆ ก็มีสิ่งต่างก็มีแต่ว่าไม่มีการเห็นไม่มีการได้ยินอีกเลย เพราะฉะนั้นก็แสดงความต่างกันแล้วระหว่างสภาพรู้กับสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ที่จะกล่าวว่าเป็นชีวิตไม่ใช่ว่ารวมทีเดียวมากมายแต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าเพียงได้ยินคำว่าขณะใดที่มีการรู้ หรือธาตุรู้ หรือสภาพรู้ขณะนั้นก็เป็นชีวิตเดี๋ยวนี้กำลังเห็นเห็นมีจริงๆ เป็นชีวิตแน่นอนแต่ว่านีขั้นฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจทีนี้สิ่งที่มีในห้องนี้มีหลายอย่างหลากหลาย หรือว่ามีเพียงอย่างเดียวสิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีเสียงในห้องนี้มีไหมคะก็มีกลิ่นมีไหมขณะใดที่รู้กลิ่นกลิ่นจึงปรากฏว่ามีกลิ่นแต่ถ้าไม่มีการรู้กลิ่นกลิ่นปรากฏไม่ได้ใครจะรู้ว่าขณะนั้นมีกลิ่นด้วยแต่ขณะใดก็ตามที่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้กลิ่นขณะนั้นจึงปรากฏว่ากลิ่นมีจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงที่จะได้เข้าใจขึ้นๆ มีมากว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็หมดไปก็จะเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตาในภาษาบาลีไม่ใช่เราที่เคยยึดถือว่าเราเห็นเราได้ยินเราคิด หรือเราสวย หรือตาเราดำ หรืออะไรก็แล้วแต่จะคิดไปได้หลายเรื่องแต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าขณะใดก็ตามที่มีธาตุรู้เกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้นี่ก็เพิ่มความเข้าใจละเอียดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยขณะนี้มีสิ่งที่ถูกรู้ทั้งนั้นเลยแต่ลืมคิดถึงธาตุรู้ที่กำลังรู้ถ้าเพียงไม่มีธาตุรู้สิ่งต่างๆ ในขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่บอกว่าในห้องนี้มีอะไรบ้างมีหลายอย่างเพราะจิตแต่ละขณะ หรือธาตุรู้ไม่ใช้คำว่าจิตก็ได้เกิดขึ้นเห็นอย่างหนึ่งเกิดขึ้นได้ยินก็มีอีกขณะหนึ่งถ้าไม่มีธาตุรู้เสียงไม่ปรากฏสิ่งต่างๆ ที่กำลังปรากฏทางตาก็ไม่ปรากฏกลิ่นก็ไม่ปรากฏอะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้สิ่งที่มีจริงก็มีลักษณะที่ต่างกันเป็นสองอย่างไม่ใช่ว่าต้องจำ หรือว่าเขาบอกว่าแต่ว่าเดี๋ยวนี้เองเสียงมีเสียงไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นใครๆ ก็มองไม่เห็นเสียงแต่เสียงมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามซึ่งแม้มีปรากฏให้รู้ว่ามีแต่สิ่งนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้ก็เป็นสิ่งที่มีจริงประเภทหนึ่งจะไปปะปนกับธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้ไม่ได้เลยเพราะเหตุว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ และรู้ก็คือรู้เสียงไม่รู้อะไรเลยแต่เสียงมีไหมมีเสียงแม้เสียงมีจริงแต่เสียงไม่ใช่สภาพรู้เสียงรู้อะไรไม่ได้เลยค่อยๆ เข้าใจไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธาตุรู้ หรือสภาพที่สามารถรู้เสียงเกิดขึ้นเมื่อไหร่จึงปรากฏว่ามีเสียงขณะนั้นไม่ใช่เราแล้วเดี๋ยวนี้เสียงนั้นที่มีจริงเมื่อกี้นี้ยังอยู่ หรือเปล่านี่คือการเริ่มที่จะเข้าใจมั่นคงขึ้นขอให้มีความเข้าใจอย่างมั่นคงในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในความถูกต้องเพราะว่ากว่าจะมั่นคงจริงๆ ที่จะละการยึดถือว่าเป็นเรา หรือเสียงคนนั้น หรือเสียงคนนี้ก็ต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ และมีความเข้าใจไม่ใช่การจำไม่ใช่เพราะเขาบอก หรือว่าตำราว่าแต่เพราะเหตุว่าขณะนี้กำลังมีสิ่งนั้นจริงๆ ศึกษาธรรมคือศึกษาเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ในขณะที่กำลังเข้าใจด้วยตัวเองในขณะนี้ที่เสียงปรากฎว่าเสียงเป็นอย่างหนึ่งแล้วก็ต้องมีธาตุที่รู้คือได้ยินเสียงซึ่งไม่ใช่เสียงเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงก็จะต่างกันเป็นสองอย่างไม่ว่าที่ไหนในสากลจักรวาลเป็นสภาพที่สามารถรู้อย่างหนึ่งเป็นธาตุรู้ และไม่สามารถจะรู้ต่างกันมากปนกันไม่ได้เลยอีกอย่างหนึ่งต้องมีความชัดเจนที่จะฟังธรรมต่อไปให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่ากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงสองอย่างคือสิ่งซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยแม้ว่ามองไม่เห็นเช่นเสียงกลิ่นรสมองไม่เห็นเลยแต่ว่ามีเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 185
    12 ม.ค. 2567