ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1213


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๑๓

    สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์

    วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นความวิกฤติ ของพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครคิด เพราะว่าถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ มองไม่ออกเลย แต่ถ้ารู้ขณะนี้วิกฤติจริงๆ เพราะเหตุว่าเมื่อไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นอะไร แม้แต่พระหรือการบวชหรือการอุปสมบทยุคนี้เป็นใครก็ได้ มาจากไหนก็ได้ ทำอะไรมาแล้วก็ได้ เรียกว่าไม่ต้องมีอะไรเลยทั้งสิ้น แค่อยากบวช ขอบวช บวชแล้วใช่ไหม นี่หรือพระ นี่หรือผู้ประเสริฐ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็จะทำลายทุกอย่าง เพราะเหตุว่าพระเองก็ไม่ได้รู้สึกตัว ไม่ได้สำนึกว่าเราเป็นพระเพราะไม่รู้ว่าพระคือใคร เพียงแต่อยากบวชจริงไหม มีใครบ้างที่ศึกษาธรรมแล้วก็เข้าใจ มีความเคารพอย่างยิ่งในสิ่งที่ได้ฟัง รู้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่จะขัดเกลากิเลส เพราะว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้รู้สิ่งที่มีจากความไม่รู้ ซึ่งเป็นกิเลสต้นตอ ที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าตราบใดที่ไม่ได้ฟังธรรมแล้วไม่รู้ บวชเป็นพระเป็นยังไง อยากบวชเท่านั้นเอง เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว ในครั้งพุทธกาล ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยแล้วเป็นพระ แต่ฟังธรรมแล้วใช่ไหม มีความเข้าใจฟังด้วยกันตั้งเยอะแยะ แต่ใครมีอัธยาศัยที่ สามารถจะเห็นโทษ ของการที่จะเป็นคฤหัสถ์ เพราะว่าขัดเกลากิเลส ได้ฟังธรรม ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ในเพศคฤหัสถ์ ถึงความเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเป็นคฤหัสถ์ต่อไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเพศภิกษุเป็นเพศของพระอรหันต์ เพราะว่าอุบาสกอุบาสิกา ที่ไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็รู้แจ้งในสัจธรรมได้ นี่คือความต่าง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเพียงแค่ ไม่รู้อะไรเลยแล้วไปบวช แล้วยุคนี้สมัยนี้ การบวชทำลายประเทศชาติ เพราะเหตุว่าสนับสนุนส่งเสริมการบวช โดยที่ว่าผู้ที่บวชไม่ได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าชวนกันไปบวช จำนวนเท่าไหร่ ยิ่งมากยิ่งดีเพื่ออะไร ไม่มีเลยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งหมด ไม่ได้ต้องการอามิสบูชา แต่ต้องการให้คนได้มีโอกาสเข้าใจสิ่งที่พระองค์กว่าจะเข้าใจได้ นานเท่าไหร่ บำเพ็ญบารมีเท่าไหร่ และรู้ว่าคนอื่นนี่น้อยคนที่จะตั้งความปรารถนา ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมากกว่าใครทุกอย่างทุกประการ ต้องเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยจริงๆ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าตั้งใจแล้ว ก็ยังแล้วแต่ ล้มเลิกก็ได้แล้วแต่ ความตั้งใจจะมั่นคง จนได้รับคำพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็ทรงตรัสรู้ทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันด้วย รู้ว่าคนนี้ต่อไปข้างหน้าจะได้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างพระองค์นี้ ก็ได้รับคำพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามทีปังกรว่า อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์นานเท่าไหร่ แล้วคนสมัยนี้รู้ไหมว่า ขณะนี้กิเลสสะสมมานานเท่าไหร่ และอาศัยอะไรจึงค่อยๆ ขัดเกลาได้ ไม่รู้แม้แต่บวชแล้วต้องเรียน เพราะฉะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะไม่ได้เรียน บางรูปเรียนภาษาบาลี แต่จุดประสงค์ของการเรียนภาษาบาลีเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจธรรมในภาษาบาลี เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว การแปลภาษาบาลีเป็นพระไตรปิฏก ก็สืบทอดกันมา จนกระทั่งเราสามารถที่จะมีภาษาไทย พระไตรปิฎกในภาษาไทย ซึ่งถ่ายทอดแปลมาจากภาษาบาลี แต่ผู้ที่มีความรู้ และความเข้าใจธรรม ย่อมเข้าใจความลึกซึ้งของคำ เพราะเหตุว่าคำแต่ละคำ มีความลึกซึ้งต่างกัน เช่นคำว่าธรรม ถ้าแปลออกมาว่าเป็นสิ่งที่มีจริง จบแค่นั้นหรือ แค่แปล หรือแค่รู้ว่าความจริงนั้นคืออะไร อยู่ที่ไหน อะไรบ้าง นี่ก็เป็นความต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อยุคสมัยมาถึงสมัยที่ชักชวนกันบวช โดยไม่รู้ว่าบวชทำอะไรได้ และทำอะไรไม่ได้ และบวชเพื่ออะไร ถ้าบวชแล้วไม่ศึกษาธรรมควรบวชไหม

    ผู้ฟัง ไม่ควร

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ก่อนบวชเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจควรบวชไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ควร

    ท่านอาจารย์ อยู่ดีๆ ไม่รู้อะไรแล้วไปบวช คิดดูสิ ทำลายพระศาสนาใช่ไหม เต็มบ้านเต็มเมือง บวชกันทุกปี หรือบางคนก็อาจจะตลอดปีก็ได้ และชักชวนกันไปหมด เสียเงินเสียทองไหม ความจริงต้องเป็นความจริง ผู้บวชให้ซึ่งเป็นอุปัชฌาได้เงินหรือเปล่า แล้วอย่างนี้หรือพระพุทธศาสนาวิกฤติระดับไหน วิกฤติที่ไม่เหลือเพราะอะไร ช่วยกันทำลายส่งเสริมกันทำลาย ถ้าไม่มีการพูดให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ประเทศชาติก็ล่มสลาย เพราะเหตุว่าคุณธรรมก็ไม่มี มีการทุจริตทุกระดับมาจากไหน มาเพราะไม่รู้ความจริงว่าอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นสิ่งที่ควร อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ควร เพราะฉะนั้นเราก็รู้ใช่ไหม ประเทศชาติแล้วก็ศาสนา ถ้าไม่มีศาสนาจะดำรงรักษาความเป็นชาติที่ดีไว้ได้ยังไง ก็ต้องล่มสลาย เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจธรรม อกุศลก็เจริญเพียบ ใช่ไหม ทุกระดับแล้วไงประเทศชาติจะอยู่ได้ยังไง บวชเณรก็เสียเงิน บวชพระก็เสียเงิน ทำทุกอย่างหมดเลย แล้วพระสละชีวิตคฤหัสถ์หมายความว่าอย่างไร อยู่ป่าได้ไหม ไม่มีเงินได้ไหม เพราะละแล้ว ถ้าได้ และเพื่อเข้าใจทำไม นั่นสิควรบวช นั่นคือศากยบุตรผู้ที่ดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขัดเกลากิเลสตามสิ่งที่สมควร ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ เพราะเห็นโทษของกิเลส เพียงผิดข้อนี้จะนำไปสู่ผิดข้ออื่นๆ อีก ทั้งหมดมากเท่าไหร่ โดยที่คนนั้นไม่เคยเข้าใจเลย

    เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุรับเงินรับทองเมื่อไหร่ ต่างอะไรกับคนธรรมดา ต่างอะไรกับชาวบ้าน ต่างอะไรกับคฤหัสถ์ แล้วความจริงเดี๋ยวนี้ก็คือว่าพระภิกษุ ซื้อรถขายรถซ่อมรถ ขับรถทุกอย่างหมด แล้วก็ซื้อไม้ทำเครื่องใช้ต่างๆ แล้วก็ขายไม้ด้วย ทำไมเราไม่มองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ด้วยการที่ว่าสมควรที่จะให้ส่งเสริมกันต่อไปไหม หรือว่าช่วยกันให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อทุกคนเพราะเหตุว่าคนที่บวชโดยไม่เข้าใจธรรม รับเงินรับทองเขาไปอบายแน่นอน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งว่า สัตว์โลกยังมีกิเลส แม้คนที่มีความเข้าใจธรรม บวชแล้วก็ยังมีกิเลส เพราะยังไม่ได้หมดกิเลส เพราะฉะนั้นทรงบัญญัติพระวินัยละเอียดยิ่งเป็นพระบิดา คำนี้ไม่มีใครสามารถจะเป็นได้ พระบิดาของสัตว์โลก สอนทุกอย่างไม่ว่ากายวาจาทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นจนหลับ โดยเฉพาะผู้ที่ปฏิญาณว่าจะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นถ้าคนนั้นไม่ตรง ไม่เข้าใจธรรมแล้วจะขัดเกลากิเลสหรือ เพราะฉะนั้นจึงเห็นผู้ที่บวชแล้ว เป็นเหมือนคฤหัสถ์ และยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะอะไร เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ที่ไม่มีเงิน เป็นขอทานได้ใช่ไหม ใครก็รู้ว่าคนนี้ไม่มีอาหารก็ให้ แต่นี่เป็นภิกษุครองผ้ากาสาวพัสตร์ ห่มจีวรถือบาตร ไม่มีคุณค่าแก่การที่จะได้รับความเคารพเลย เพราะไม่รู้อะไร แต่แค่จากคนธรรมดา ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แล้วเสร็จแล้วก็มีชีวิตสบายสะดวกทุกประการ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ต้องทำมาหากิน แต่มีอาหารที่อร่อยดีเลิศที่ชาวบ้านถวาย มีเงินมากมายมหาศาล ชาวไร่ชาวนายังต้องลำบากเดือดร้อนทำงาน แต่นี่ไม่ต้องทำอะไรเลย เงินไหลมาเทมา แล้วก็ได้รับการกราบไหว้บูชา แล้วยินยอมที่จะให้มีพระอย่างนี้ต่อไป หรือว่าให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า เพื่อประโยชน์ของคนที่กระทำผิดเอง เขาจะได้ไม่ไปสู่อบายภูมิ เพราะฉะนั้นการแสดงความจริง โดยเฉพาะความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด เป็นประโยชน์มหาศาลสำหรับคนที่กระทำผิด และสำหรับผู้ที่กล่าว นี่กล่าวด้วยความเมตตา ด้วยความหวังดี ด้วยความเป็นมิตร เพราะรู้ว่าทั้งชีวิตของเขา ชาติหน้านอกจากไปสู่อบายภูมิ และอีกนานเท่าไหร่ กว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ฟังแล้วไม่เข้าใจ และก็เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เพราะฉะนั้นก็วิกฤติไหม

    ผู้ฟัง วิกฤต

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ ก่อนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะบัญญัติสิกขาบทก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่พระองค์ตรัสถึงว่า เพื่อความเป็นอยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีศีล ฉะนั้นการที่ไม่รับเงินทองอาจารย์จะเป็นอยู่ผาสุขยังไง

    ท่านอาจารย์ สบายจัง มีทุกอย่าง ไม่ต้องมานั่งเหนื่อย จะเอาเงินไปทำอะไร พอไหม นู่นนี่นั่นสารพัด แต่มีทุกอย่างด้วยคุณความดี ถึงแม้เขาไม่ให้ก็อยู่ได้ ให้น้อยก็อยู่ได้แต่ไม่ใช่เงิน หมายความว่าให้สิ่งที่สมควรแก่ภิกษุ แล้ววันหนึ่งวันหนึ่ง ขอถามจริงๆ ว่าเราต้องการอะไรมากแค่ไหน อาหารแค่อิ่มอยู่ได้แล้ว ใช่ไหม เสื้อผ้าต้องใช้แน่ จำเป็นต้องมีมากมายหรือเปล่า หรือแค่นั้นพอแล้วใช่ไหม และอะไรอีก ที่อยู่ อยู่ได้ไหมไม่มีบ้านใช่ไหม เขาไม่สร้างที่อยู่ให้ก็อยู่ไปสิ ป่าบ้าง ซอกเขาบ้าง โคนไม้บ้าง ก็ตั้งใจจะอยู่มิใช่หรือเพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ได้มีใครไปบังคับ ไม่มีใครไปชักชวน แต่อัธยาศัยที่สะสมมา สามารถที่จะเห็นคุณของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดง และอนุญาตให้ผู้ที่มีความประสงค์จะประพฤติอย่างพระองค์ ได้ขัดเกลากิเลส โดยประพฤติตามพระองค์โดยการที่ไม่ละเมิดสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ ว่าผู้ที่เป็นภิกษุจะต้องต่างกับคฤหัสถ์โดยประการอย่างนี้อย่างนี้ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่อย่างนั้น ก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย

    อ.วิชัย ถ้าพูดถึงความเป็นอยู่ ด้วยปัญญาประเสริฐจริงๆ ท่านอาจารย์เพราะว่า เป็นสิ่งที่ละจากความยึดถือ จากความติดข้องทั้งปวง

    ท่านอาจารย์ ตื่นขึ้น กินอิ่ม จะต้องทำอะไรอีก ถึงเวลาก็นอนหลับ ทำอะไร เดือดร้อนอะไร ได้เข้าใจธรรมด้วย และได้ขัดความกิเลสด้วย และได้ช่วยคนอื่นให้เข้าใจธรรมด้วย ประโยชน์ในชีวิตน่ะแค่ไหน ไม่ผาสุกหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีภาระไม่มีเครื่องกังวล ไม่ต้องไปทะเลาะกันกับชาวบ้าน หรืออะไรต่างๆ ทุกอย่างสงบ ต้องไม่ลืมคำว่าสงบจากกิเลสของคฤหัสถ์ ก็รู้ใช่ไหม วันๆ หนึ่งไม่ได้มีแต่สุข ถ้าพิจารณาจริงๆ มีทุกข์ที่มองไม่เห็น เห็นแต่ทุกข์ใหญ่ๆ ที่มองเห็น แต่ทุกข์ละเอียดละเอียดละเอียดจนกระทั่งไม่คิดเลยว่านี่แหละเป็นทุกข์ คือการเกิดเป็นทุกข์ กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ ถ้าไม่เกิดจะต้องลำบากเห็นไหม ถึงเวลาก็ไม่เห็นก็ไม่ได้ ไม่ได้ยินก็ไม่ได้ ไม่คิดก็ไม่ได้ ไม่ชอบก็ไม่ได้ ไม่โกรธก็ไม่ได้ สารพัดอย่างที่ต้องเป็นไป เพื่ออะไร ดับ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ไม่มีอะไรที่ยังเหลืออยู่ที่จะเป็นสาระ ที่เป็นของเราหรือเป็นเราได้เลยทั้งสิ้น แล้วใครล่ะให้เราได้เข้าใจได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่คนได้เข้าใจแล้ว เริ่มรู้จักพระองค์ เห็นคุณของพระองค์ เพราะฉะนั้นชีวิตของเขา ที่เขารู้ว่าประโยชน์ยิ่งใหญ่ ก็คือความเข้าใจธรรม ที่ถ้าทุกคนสามารถจะเข้าใจได้ ประโยชน์มหาศาลสำหรับตนเอง และคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นผู้มีศีลสงบ ไม่สามารถจะมีศีลอย่างนั้นได้อยู่ลำบาก

    สนทนาธรรมที่โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

    วันที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช๒๕๖๑

    ท่านอาจารย์ โอกาสก็คงมีไม่มาก เพราะฉะนั้นการสนทนาแต่ละครั้ง ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่าทุกคำที่เราได้ฟัง เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี เพราะฉะนั้นทุกคนก็คงรู้ว่า ใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างที่เราคิดว่าเป็นธรรมดา ธรรมดา แต่ว่าจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เป็นศาสดาของโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนมนุษย์โลก เทวดาโลก พรหมโลก เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ต้องลึกซึ้ง ตรัสด้วยพระปัญญาคุณ แต่ว่าคนที่ฟังมีปัญญาพอที่จะเข้าใจคำนั้นจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้เลย ทุกคำเป็นคำที่มีค่า ไม่ได้หมายความว่า เป็นคำที่เราเคยได้ยินมาแล้ว แต่ต้องเป็นคำใหม่ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่ว่าแม้เพียงได้ยินแล้ว กว่าจะเข้าใจความหมายจริงๆ ของแต่ละคำ ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกคำ ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะคิดเองได้ หรือว่าเข้าใจเองได้ ต้องฟังด้วยความเคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือคำของใครทั้งสิ้น เพราะว่าทุกคำ เป็นคำจริงถึงที่สุด ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับ ก็คือว่าการไตร่ตรองของผู้ฟังซึ่งจะต้องไตร่ตรองด้วยตนเอง เพราะว่าขอยืมหรือขอหรือซื้อความเข้าใจ จากใครไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากคำของพระองค์เท่านั้น ที่เมื่อตรัสแล้วรู้ว่าผู้ฟังที่ยังไม่ได้เข้าใจความจริงอะไรเลย เริ่มไตร่ตรอง จนกระทั่งเกิดความเข้าใจถูก เป็นปัญญาของตนเองซึ่งเป็นมรดกที่ได้รับจากการตรัสรู้ จากการที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นานมากเท่าไหร่ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรแล้ว อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ จึงได้ทรงตรัสรู้ทุกคำที่เราได้ฟัง

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นปัญญาของตนเอง มิฉะนั้นก็จะไม่ได้รับมรดก คือลาภที่ประเสริฐยิ่งในสังสารวัฎฏ์ คือสามารถที่จะเข้าใจคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นคำที่เราคิดว่าเราจะต้องฟังมาก แต่ว่าแต่ละคำ ขอให้เริ่มเป็นความเข้าใจจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจคำ ๑ จะไม่มีทางเข้าใจคำใดๆ อื่นต่อไปได้เลยทั้งสิ้น เพราะว่าทุกคำต้องเริ่มตั้งแต่ต้น ทีละคำทีละคำ เพราะฉะนั้นคงจะไม่รีบร้อนไปไหน เพราะทุกคนก็ทราบว่ากิเลสมาก แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง กว่าจะดับกิเลสได้ ก็ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไร แล้วเรากว่าจะเข้าใจคำของพระองค์แล้วรู้คุณค่า แล้วก็สะสมความเข้าใจ จนกว่าสามารถที่จะรู้จักพระองค์ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา เพราะฉะนั้นขณะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว แต่คำของพระองค์ทุกคำเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้นจะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจต้องเป็นความเข้าใจของเราเอง เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจ ความไม่เข้าใจก็ปิดกั้นคำของพระองค์ เพราะขาดการไตร่ตรอง ขาดความเป็นผู้ตรงต่อความจริง ซึ่งความจริงมีอยู่ทุกขณะ ฟังแล้วเข้าใจได้ แต่ต้องค่อยๆ เริ่มเข้าใจ จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งความจริงของแต่ละคำ ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทุกกาลสมัย ไม่ว่าที่ไหน แม้ในขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการเงินทองหรือเปล่า ดอกไม้ธูปเทียน เครื่องสักการะคำชมเชย สรรเสริญ ลาภยศทั้งหลายพระองค์ทรงสละแล้ว จึงสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ และความติดข้องในสิ่งที่ไม่รู้ ในความเป็นตัวตน ในลาภ ในยศ ในสักการะ ไม่สามารถที่จะทำให้เห็นคุณค่าของพระธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเป็นผู้ตรง ไม่ใช่เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสักการะ เพื่อชื่อเสียงใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เพื่อความเข้าใจ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นผู้ฟัง เป็นผู้ที่ตรง จริงใจ เพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่ผ่านไปแต่ละขณะ ประโยชน์คือเข้าใจคำที่เราจะกล่าวถึง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้วแต่ละคำ ถ้าไม่เข้าใจก็เชิญ สนทนากันเพื่อประโยชน์ที่แท้จริง ก็คือว่าความเข้าใจคำที่เราได้ฟัง

    อ.อรรณพ การฟังธรรมเป็นไปเพื่อความเข้าใจจริงๆ ไม่จำเป็นต้องฟังมากๆ ทีนี้อย่างในข้อความในพระไตรปิฎก ท่านก็มีว่าเป็นผู้สดับตรับฟังมาก กับการที่ไม่ใช่ว่าต้องฟังเยอะๆ แต่ให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ สดับมากแต่ไม่เข้าใจ กับเข้าใจแต่ละคำจนมาก ต่างกันแล้วใช่ไหม ไม่ใช่ให้ฟังแค่คำเดียว แต่แม้คำเดียวต้องเข้าใจจริงๆ แล้วก็ได้ฟังต่อไปอีกต่อไปอีกจนมาก ไม่ใช่ว่าสดับมากก็ฟังทั้งวัน แต่ไม่เข้าใจ หรือว่าเข้าใจเล็กน้อยไม่พอ เพราะเหตุว่าเข้าใจจริงๆ ก็คือเข้าใจทีละคำชัดเจน รอบรู้ในคำนั้น คำว่ารอบรู้ในคำเดียว คิดดู เราคิดว่ารอบรู้ในต้องมากหลายคำ แต่ว่ารอบรู้เพียงคำเดียวแต่ละคำ แสดงให้เห็นว่าเข้าใจจนมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เดี๋ยวก็สงสัย เดี๋ยวก็เปลี่ยน เดี๋ยวก็ได้ฟังแล้วไม่ตรงต่อคำนั้น เช่นคำว่าอนัตตา คำเดียวหมายความว่าอะไรก่อน เป็นธรรมหรือเปล่าต้องคิด ต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่ว่าแยกกันเลย ต้องไม่ลืมว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้อะไร ธรรมสิ่งที่มีจริง ถ้าสิ่งนั้นไม่มีจะทรงตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีที่คนอื่นไม่รู้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราไม่รู้อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ใครก็รู้ไม่ได้เลยแม้มี อย่างเดี๋ยวนี้มีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ใครสามารถที่จะรู้ความจริงของเห็น และสิ่งที่เห็น นี่คือธรรมที่มีจริง เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ทุกคำ เป็นพระธรรมเทศนา หมายความว่าประกาศแสดงความจริงของธรรม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมด ที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว ก็เป็นพระธรรม เพราะกล่าวถึงธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ดูเหมือนกับง่าย แต่ว่าจริงจริงแล้วลึกซึ้งมาก เพราะว่าแม้ได้ฟังนานเท่าไหร่ไม่พอ จนกว่าจะรู้ความจริง ตรงตามที่ได้ฟัง

    อ.อรรณพ ก็ดูๆ เหมือนเป็นผู้ที่มีศรัทธา ใคร่ที่จะมีการสนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมตามกระแส สมัยนี้เค้าฟังธรรมกัน เราก็ฟังด้วย รู้หรือเปล่าว่าฟังอะไร หัวเราะสนุกสนานกับคำพูดธรรมดาแต่คิดเอง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำไม่ได้กล่าวถึงเลย เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่าฟังธรรมจริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่การฟังธรรมสนุกสนานเหมือนกับทอล์คโชว์ ขอพูดภาษาอังกฤษนิดหน่อย เพราะเหตุว่าคำนี้เป็นที่รู้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นความจริงใจหรือเปล่า ที่จะเข้าใจธรรมเพราะไม่รู้เลย ไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่า ธรรมคืออะไร เขาว่าธรรมเราก็ธรรมไปด้วย เพราะฉะนั้นไม่ได้ประโยชน์จากการฟังเลย แต่ว่าประโยชน์จริงๆ ต้องเป็นความเข้าใจที่ตรง และถูกต้อง และเป็นเรื่องรู้ เพื่อที่จะละความไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    27 ต.ค. 2567