ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1214


    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๑๔

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ แต่ว่าประโยชน์จริงๆ ต้องเป็นความเข้าใจที่ตรง และถูกต้อง และเป็นเรื่องรู้ เพื่อที่จะละความไม่รู้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น รู้หรือยังก่อน ฟังธรรมรู้อะไรบ้างหรือยัง หรือว่ารู้มากไม่ต้องฟังเลยก็ได้ เข้าใจว่าพออ่านพระไตรปิฏกก็เข้าใจหมดเลย ถูกต้องไหม เพราะเหตุว่าความลึกซึ้งของแต่ละคำมีมาก เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เราอาจจะรู้เรื่องอื่นหมดเลย เรื่องโลก เรื่องทันสมัย สมัยนี้มีคอมพิวเตอร์ มีอะไรต่างๆ เราเป็นคนเก่งในเรื่องนั้นเรื่องนี้ วิชาการแพทย์ วิชาอะไรทั้งหลายแหล่ ซึ่งชาวโลกนิยมชมชื่นว่าเป็นสิ่งที่สุดยอดใช่ไหม มากมายเท่าไหร่ก็ไม่พอ ไปได้ถึงนอกโลก แล้วก็จะไปต่อไปอีก แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร เคยเรียนวิชานี้ไหม วิชาไหนจะเปรียบกับวิชาที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นคนที่เห็น และเข้าใจ และรู้จัก โดยการศึกษาเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้พลอยตื่นเต้นไปด้วยกับแต่ละคำที่ชาวโลกใช้ เพราะรู้ว่าคำนั้นไม่ถูกต้อง อย่างเช่นคำว่าทันสมัย เห็นไหม ใครๆ ก็อยากจะทันสมัย คนนั้นคนนี้ไม่ทันสมัย ไม่รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ถามว่าสมัยคืออะไร ใครจะตอบได้ และถามว่าทันสมัยคืออะไร ทันสมัยอย่างชาวโลก ทันสมัยจริงหรือเปล่า เพราะไม่เคยทันสมัย เข้าใจว่าตัวเองก้าวหน้าล้ำสมัย แต่ก็ไม่รู้ว่าสมัยคืออะไร และทันสมัยคืออะไร เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่พูดตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก แต่คำของพระสัมมาสัมเจ้าทุกคำ ทำให้เข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลย อยากทราบไหม ทันสมัยกันหรือเปล่า

    อ.อรรณพ อยากทันสมัย แต่ก็ตามสมัย และก็ไม่มีวันที่จะทันต่อสมัย กราบเรียนท่านอาจารย์ ได้กล่าวถึงการที่ทันต่อสมัยจริงๆ นี่คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังแล้วไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ต้องไตร่ตรอง แล้วก็ต้องเป็นความเข้าใจทีละคำ สมัยมาจากภาษาบาลีใช่ไหม คุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ใช่ท่านอาจารย์ สมัย สมัยก็คือช่วงเวลา แต่ละขณะแต่ละขณะ นี่คือความหมายของสมย หรือว่าสมัย

    ท่านอาจารย์ แต่ละขณะแต่ละขณะ เพราะฉะนั้นใครตอบได้ว่า เดี๋ยวนี้สมัยอะไร หาคำตอบสิ คนทันสมัย ไม่มีทางเลย ไม่มีทางต้องเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรงสมัยทุกกาล เพราะฉะนั้นตอบไม่ได้ใช่ไหมว่าสมัยคืออะไร คนทันสมัยทั้งหลาย เดี๋ยวนี้กำลังนั่งอยู่ที่นี่ทันสมัยไหน เพราะว่าสมยะคือทุกขณะจิต ใครรู้ว่าขณะนี้จิตอะไร ทันไหม จิตกำลังเห็น แล้วก็มีได้ยินด้วย ทันสมัยไหน ทันสมัยเห็น หรือทันสมัยได้ยิน ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน จะมีสมัยไหม เพราะฉะนั้นนี่คือธรรม คำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ไม่มีความจริงของใครคนอื่นใดในโลกทั้งสิ้น ทั้งเทวโลก และพรหมโลก ที่สามารถที่จะเป็นอย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคำ แม้แต่คำว่าทันสมัย เห็นไหม พูดกันไปเถอะ แต่เข้าใจหรือไม่ เพราะฉะนั้นกล่าวได้เลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดคำที่ไม่รู้จักแม้แต่สมัยคืออะไร ทันสมัยคืออะไร ตามสมัยคืออะไร รู้สมัยคืออะไร แค่นี้เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง

    เพราะฉะนั้นทุกคำที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ไม่ใช่คำที่คนอื่นจะรู้ได้เอง พระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ตรัสไว้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำมาจากพระปัญญาคุณ ที่ทรงบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าสามารถที่จะละความไม่รู้ และละกิเลสได้หมดสิ้น และสำหรับพระองค์เองเหนือกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะทรงเป็นพระบรมศาสดา คนอื่นฟังเป็นสาวก ผู้ฟังจะเทียบเท่าได้ไหม เพราะฉะนั้นคำที่ตรัสแต่ละคำ ปัญญาคุณของพระองค์ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ทุกครั้งที่ตรัสจะทอดพระเนตรลงต่ำ ด้วยพระมหากรุณาต่อคนฟังทุกคำ เพราะฉะนั้นคนที่ได้ฟังแล้วประมาทไม่ได้เลย จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธไม่เจ้าไม่ใช่พูดถึงเรื่องการจราจรหรืออะไรทั้งสิ้น แต่พูดคำที่คนอื่นพูดไม่ได้เพราะว่าแต่ละคำ กล่าวถึงความจริงทุกกาลสมัย แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด

    อ.อรรณพ การทันสมัยที่เยี่ยมยอดที่สุดกว่านี้ก็ยังไม่ถึง แต่ในพระศาสนาก็คงต้องแสดงไว้

    ท่านอาจารย์ แต่แสดงความจริงว่า ถ้าเราไม่เข้าใจเหตุผล เราคล้อยตามไปด้วยเราก็เป็นผู้ที่ไม่รู้ คำว่าพุทธะเทนเมนท์ มาจากไหนไม่ใช่ภาษาบาลี แล้วไม่ใช่ภาษาไทยรวมกันไปรวมกันมา ก็ช่างประดิษฐ์คิดคำ แล้วแต่ว่าคนไทยจะพูดอะไรอิสระเสรี ไปพูดกับคนอื่น มีใครรู้จักคำนี้บ้าง เพราะเป็นคำใหม่ที่คิดแต่ใครเข้าใจ และความจริงของคำนั้นคืออะไร ไม่มีความจริงอะไรเลยใช่ไหม เพียงแต่ว่าชวนให้คล้อยตามสมัยที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าคำนี้ใครรู้บ้าง เจ้าของภาษาก็มีแต่เหลือนิดเดียวใช่ไหม ภาษาบาลีก็นิดเดียว แล้วก็เอามารวมกัน ก็กลายเป็นคำซึ่งชอบแต่ไม่รู้เรื่อง นี่คือโลกซึ่งเต็มไปด้วยความไม่รู้ เพลิดเพลิน ยินดี พอใจ ไม่หยุดแสวงหาทุกทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจทั้งหมดเลย แม้แต่เสียงก็ยังอุตส่าห์ไปคิดคำนั้นกับคำๆ นี้รวมกัน ซึ่งคนอื่นไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วจะเป็นไปได้ไหม เพียงใช้คำเท่านี้เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ลืมสนิทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ใช้คำว่าพุทธตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นรู้ตามได้ ที่ใช้คำว่าชาวพุทธคือผู้ที่สามารถที่จะเข้าใจคำ แล้วก็เห็นคุณประโยชน์ ประพฤติตาม จึงสมควรที่จะเป็นชาวพุทธ แต่ก็กลับมีคำว่าพุทธะเทนเม้นท ใช่ไหม แล้วอย่างไรสนุกหรือ เป็นเอนเตอร์เทนเม้นท แต่แทนที่จะเป็นคำนั้น ก็เป็นพุทธะเทนเม้นท มาจากไหน รวมๆ กันให้หลงเข้าใจแต่ว่าหาคิดไม่ สมควรไหม แม้แต่ความควร ควรไหม พระพุทธศาสนาสำหรับสนุกสนานเพลิดเพลินหรือ หรือว่าสำหรับเข้าใจ และเคารพอย่างยิ่ง ในผู้ที่สัตว์โลก ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้เลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระองค์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่สำหรับคำที่ทำให้คนอื่น เพลิดเพลินสนุกสนานหัวเราะ และก็พูดตามๆ กันไป เพราะฉะนั้นต้องฟังทุกอย่าง ด้วยการไตร่ตรองจนกระทั่งรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด จึงสามารถที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ช่วยกันทำลายลบเลือนจนกระทั่งหมดสิ้น

    อ.อรรณพ จากการที่มีกระแสที่จะเอาพุทธศาสนาไปทำให้เกิดความสนุกสนาน ก็เพราะว่า หนึ่งฟังไม่รู้เรื่อง ไม่สนุก เวลาไปสนทนาที่ไหน ก็จะมีผู้ที่มาใหม่ มาบอกว่าอยากให้มีธรรมที่สนุก ให้ผู้บรรยายพูดธรรมให้สนุก ธรรมนี่จะพูดให้สนุกได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องการความสนุก ก็ไปสนุกอย่างอื่น มีมากมาย แต่ธรรมคืออะไร คนที่เห็นประโยชน์ของการที่เกิดมาแล้ว แล้วก็จากโลกนี้ไปจะช้าหรือเร็ว ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย เมื่อไหร่วันไหน ด้วยอาการอย่างไร เช้าหรือสายหรือบ่ายหรือค่ำ บนบก หรือในน้ำหรือกลางอากาศ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แล้วชีวิตทั้งชีวิตที่อยู่ในโลกนี้ประโยชน์อยู่ตรงไหน แม้แต่ทุกวันนี้ ตั้งแต่เช้ามาทำอะไรบ้าง พอถึงกลางคืน ลืมหมดใช่ไหม หลับสนิทไม่มีอะไรเหลือเลยทั้งวัน ขณะที่ยังไม่ถึงตอนนอนหลับสนิทก็ดูเพลิด เพลินดี สนุกสนาน อาหารอร่อย ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วทำไมไม่เหลือเลย แค่เกิดมาเพลิดเพลินแล้วไม่เหลือเลย แล้วก็จากโลกนี้ไป ชาติแล้วชาติเล่า ก็เกิดมาแล้วก็หายไปหมดไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลย เป็นอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ กว่าจะรู้ความจริงซึ่งเป็นสาระ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เอาคำที่กว่าจะได้ยินได้ฟัง ไปใช้ในทางที่ชวนให้คนอื่นหลงเข้าใจผิด คิดว่าธรรมสำหรับสนุกสนาน แทนที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชีวิต ซึ่ง ต้องฟังบ่อย ตรง จริงใจ ความรื่นรมย์ทางโลกกับเวลาที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ คิดดูว่าอะไรมีค่ามากกว่ากัน รสธรรมไม่มีรสอะไรเทียบเท่า เพราะเป็นรสของความจริง แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ลิ้มหรือรู้รสของธรรม ความรื่นรมย์ในความสงบ ในความเข้าใจธรรมจะมีแต่ไหน เพราะว่าได้แต่รสอาหาร รสทางตา รสทางหู แต่รสของความเข้าใจถูกในความจริง ซึ่งจริงแท้แน่นอนทุกกาลสมัย ไม่ว่ากี่ชาติทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แล้วมีโอกาสที่จะเริ่มเห็นความจริง เป็นผู้ที่เบิกบานในการที่รู้ว่า ได้เริ่มรู้แล้ว ได้เริ่มเข้าใจแล้ว ได้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง เมื่อรู้จักแล้วคนนั้นจะไม่มีทางทอดทิ้งเลยเพราะว่าประโยชน์มหาศาล ที่ว่าสามารถที่จะติดตามไปได้

    อ.อรรณพ รสของโลภะกับรสของปัญญาก็ต่างกัน ก็ต่างเป็นความยินดีอย่างยิ่งเหมือนกัน แล้วแตกต่างกันอย่างไร

    ท่าานอาจารย์ ไม่มีใครไม่รู้จักโลภะ ใช่ไหม แต่คำนี้เป็นภาษาบาลี คนไทยได้ยินคำนี้ก็คิดว่าโลภมาก ใช่ไหม ได้ยินก็บอกว่าชั้นสูงเลย มากเลย ถ้านิดๆ หน่อยๆ ไม่เห็นบอกว่าโลภเลย แต่พอใครแสดงอาการพอใจอย่างยิ่ง มากมายเกินปกติ ก็บอกว่าเขาโลภ เขาโลภมาก แต่ความจริงต้องรู้จักธรรมละเอียดอย่างยิ่ง โลภโลภะเป็นความติดข้อง เป็นความต้องการทุกระดับ ตั้งแต่เล็กน้อย แค่เห็นนี่ไม่รู้สึกตัวเลยว่าพอใจแล้วที่จะเห็นพอใจแล้วในสิ่งที่เห็น จริงหรือเปล่า ทุกคำต้องไตร่ตรอง มิฉะนั้นก็ไม่ต้องเห็น ถ้าหมดความยินดีพอใจ แต่เห็นแล้วไม่รู้ตัวเลยว่าพอใจแล้วที่จะเห็น และพอใจแล้วในสิ่งที่เห็นนั้นคือโลภะ สภาพธรรมที่มีจริง เพราะฉะนั้นมีตั้งแต่ระดับที่ละเอียด จนกระทั่งไม่ปรากฏให้รู้ น้อยมากเลย เดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังมีโลภะ ฟังแล้วน่ากลัวไหมแต่จริงระดับไหน ระดับที่พอใจในสิ่งที่ปรากฏ ปฏิเสธได้ไหม เห็นดอกไม้ เห็นดอกมะลิ เห็นโต๊ะ เห็นในทุกอย่าง หารู้ไม่ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่กำลังติดข้อง กำลังมีจริงๆ เมื่อมีการเห็น

    เพราะฉะนั้นโลภะ มีตั้งแต่อย่างละเอียด จนกระทั่งเห็นเป็นการทุจริตต่างๆ โดยการแสวงหาสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ในทางที่ผิดไม่สมควร อย่างนั้นทุกคนเห็นโทษใช่ไหม แต่ว่าชีวิตวันหนึ่งๆ แสนสบาย เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พอถึงหลับก็ไม่เหลือ แค่นี้ก็ไม่สามารถที่จะเตือนใครบอกใครให้คิดได้ แต่ลองคิด คิดได้หลายแบบ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีโลภะไหม ทรงมีความติดข้องไหม ทรงมีกิเลสแม้เพียงเล็กน้อยไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ฝันแน่ แต่หลับ ขณะนั้นต่างกันละกับคนซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส ตื่นขึ้นมาก็ติดข้องทันที แต่ผู้ที่ดับกิเลสหมด ไม่มีอะไรทำร้ายจิตใจได้ เพราะเหตุว่ายังไม่มีการรู้สึกเลยว่าทุกวันนี้ ลำบากทุรนทุราย มากน้อยเพราะโลภะความติดข้อง จนกว่าจะได้ฟังคำของพระองค์ว่า สภาพธรรมที่ไม่ดีมีอะไรบ้าง ระดับไหนบ้าง และสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายได้อย่างไร เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะละสิ่งที่เราไม่เห็นโทษ ทุกคนมีความต้องการไม่รู้จบ เพราะไม่เคยเห็นโทษของความติดข้องเลย แต่ต้องรู้ว่าความติดข้องมากๆ ก็ต้องมาจาก ความติดข้องเล็กๆ น้อยๆ เล็กน้อยทุกวันมากไหม สะสมไว้เยอะๆ ก็ปรากฏว่ามาก เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่าหมดกิเลส อยากหมดไหม

    อ.อรรณพ โลภะเกิดก็อยาก

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ไม่พ้นความอยาก อยากไม่มีกิเลส หรืออยากมีกิเลส อยากเห็น อยากได้ยิน อยากสนุก อยากเพลิดเพลิน หรือบอกว่าไม่อยากแต่ก็คืออยาก เพราะฉะนั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว แล้วก็การที่เราจะค่อยๆ รู้ว่าเรามีกิเลส มีความไม่รู้มากแค่ไหน ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางรู้จักตัวเองเลย เกิดมานานเท่าไหร่แล้ว แต่ละคนหลากหลายมาก ตามการสะสม สืบต่อในแสนโกฏกัปป์ จนเป็นแต่ละ ๑ เดี๋ยวนี้ขณะนี้ และก็แต่ละ ๑ ในวันพรุ่งนี้ แล้วแต่ละ ๑ ไปจนกว่าจะจากโลกนี้ไป พอจากโลกนี้ไปก็มีปัจจัยที่จะเป็นแต่ละ ๑ ซึ่งหลากหลายมากโดยตลอด โดยไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนเลย จะหมดกิเลสนี่เดือดร้อนไหม

    อ.อรรณพ จะหมดกิเลสก็คือ อยากหมดกิเลส ก็เดือดร้อน เพราะความอยาก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพูดจริงๆ ทุกคนต้องตรง พระธรรมถ้าไม่ตรงไม่ได้สาระ ตราบใดที่มีกิเลส แล้วจะไม่อยากมีกิเลส เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าใครทั้งนั้น จะพูดว่ายังไงก็ตามแต่ แต่คนนั้นเพราะไม่รู้ว่าตัวเองยังมีกิเลส บอกว่าอยากหมดกิเลส พูดไปสิ กำลังพูดนั่นแหละกิเลส ใช่ไหม ก็ไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ความตรงต่อธรรม จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นต้องรู้เหตุ ของทุกอย่างที่เกิดขึ้นว่าเกิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้เหตุจะไปดับเหตุได้ไหม เหตุให้เกิดกิเลสก็ไม่รู้ แล้วก็จะไปดับตัวกิเลสอยู่นั่นแหละ บางคนก็อยากถือศีล อยากเป็นภิกษุณี อยากบวช กิเลสหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ไม่เห็นว่าเป็นกิเลส

    ท่าานอาจารย์ เพราะฉะนั้นก่อนการตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพวกเดียรถีย์ ขอให้คุณคำปั่นช่วยให้ความหมายของเดียรถีย์ด้วย

    อ.คำป เดียรถีย์ ก็มาจากภาษาบาลีว่า อันยติตยะ หมายถึงว่าผู้แล่นไปสู่ท่าอื่น ซึ่งก็คือไม่สามารถที่จะไปสู่หนทาง ที่จะเข้าใจความเป็นจริงของธรรมได้เลย ก็เป็นพวกที่มีความเห็นอื่นตรงข้ามกันกับความเห็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่าานอาจารย์ จะไปสู่ท่าเพื่อจะไปสู่อีกฝั่งหนึ่งใช่ไหม เพราะฉะนั้นพวกนั้นคิดว่าตัวเองสามารถที่จะดับกิเลส โดยวิธีการต่างๆ แต่ไม่มีปัญญาแล้วจะดับกิเลสได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงมีผู้ที่ถือศีลในลัทธิที่อื่นมากมาย ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน แต่ไม่มีทางที่จะรู้จักกิเลส เพราะฉะนั้นอยากเท่าไหร่ ทำเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าตัวเองมีกิเลส และกิเลสนั้นเกิดขึ้นได้เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเห็นได้เลย ว่ากิเลสทั้งหมดเพราะไม่รู้ ไม่รู้ความจริงจึงติดข้อง จึงมีกิเลสมากมายเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่ง ที่จะรู้ว่าใครก็ตาม ที่อยากจะหมดกิเลสโดยวิธีอื่น เหมือนพวกเดียรถีย์ในครั้งโน้น ที่ว่าพยายามหาหนทางที่จะหมดกิเลส แต่ไม่สามารถจะเป็นไปได้เลย เพราะว่าไม่รู้ความจริงอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญเพียรเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ กว่าจะได้รู้ความจริง ไม่ใช่โดยการที่ไปอยากหมดกิเลส แต่ว่าเห็นความจริงว่าสิ่งที่มีขณะนี้ มีจริงๆ สามารถค่อยๆ เข้าใจได้ แล้วเราจะค่อยๆ เข้าใจไหม หรือว่าจะรีบร้อนไปสำนักปฏิบัติ สัก ๑๐ วัน ๗ วันเดือนหนึ่ง เพื่อที่จะไปหมดกิเลส เป็นไปได้หรือ ก็เหมือนพวกเดียรถีย์ ใช่ไหม ที่ไม่รู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วแม้สิ่งที่กำลังมีจริง และคำสอนของพระองค์ทรงแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษา ทุกคำนำไปสู่ความเข้าใจถูก ค่อยๆ สะสมค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ต้องรู้ว่าฟังคำของใคร แต่ละคำผู้ที่มีปัญญาระดับไหน ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ฟังซึ่งไม่รู้อะไรเลย แล้วจะไปคิดว่าเข้าใจได้ อ้างคำของพระองค์แต่ละคำ แต่ว่าไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจ สิ่งนั้นเลยความหมายของคำนั้นเลย คิดเองหมด เพราะฉะนั้นผู้ฟังเป็นผู้ที่ตรวจสอบแต่ละคำที่ได้ฟัง คำจริงเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของใครเลยทั้งสิ้น แต่ว่าจากการที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้แล้ว และผู้นั้นสามารถที่จะเข้าถึงความหมาย และความจริงของแต่ละคำ ก็สามารถที่จะเป็นมิตรกับคนอื่น เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นกัลยาณมิตรที่สูงสุด ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับทุกคน ที่ได้ฟังคำของพระองค์คือความจริง ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้จากคนอื่นได้เลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูก จึงภาษาบาลีใช้คำว่า สัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิคือความเห็น สัมมาคือความถูกต้อง เพราะฉะนั้นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง อีกคำหนึ่งก็คือปัญญา ก็มีหลายคำ ญาณ ตามระดับขั้นของปัญญา ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งนิดหน่อยค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ด้วยการอบรมค่อยๆ เข้าใจ จากการเป็นพระโพธิสัตว์ฉันใด ผู้ฟังคำของพระองค์ก็เป็นสาวกโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นคำว่าโพธิสัตว์ ไม่ได้หมายเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณธิดารัตน์ โพธิสัตว์มีอะไรบ้าง

    อ.ธิดารัตน์ ก่อนที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีการบำเพ็ญบารมี เพื่อการตรัสรู้ เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์ ผู้ที่อบรมเพื่อถึงการตรัสรู้ หรือว่าดับกิเลส หรือว่าข้องอยู่อาการที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อดับกิเลส เพื่อจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ บุคคล เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าคือสามารถที่จะตรัสรู้ธรรมด้วยตัวเอง ในกาละที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรม ก็มีผู้ที่สะสมบารมีมาที่จะดับกิเลสเฉพาะตนเป็นปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็ผู้ที่ตรัสรู้ตามคำสอน คือสามารถที่จะเข้าใจคำสอน ถึงการดับกิเลสได้ก็เป็นสาวก หรือว่าอนุพุทธะคือผู้ที่รู้ตามสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง อย่างเราก็เป็นผู้ที่ฟังธรรม เพื่อที่จะถึงการดับกิเลสในอนาคต ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครรู้อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าฉันใด การเข้าใจธรรมของแต่ละบุคคลเดี๋ยวนี้ก็ฉันนั้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    9 พ.ย. 2567