ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1215


    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๑๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครรู้อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าฉันใด การเข้าใจธรรมของแต่ละบุคคลเดี๋ยวนี้ก็ฉันนั้น คือคงจะไม่ถึงการที่จะบำเพ็ญบารมี ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าก็เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นผู้ฟังในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่รู้ตัวเองว่า ใครจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในฐานะไหน แต่ก็ในครั้งโน้น ก็ไม่ได้มีผู้ที่ปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากผู้ที่ได้ปรารถนาไว้ก่อนแล้ว และก็บำเพ็ญบารมี เพื่อที่จะถึงการตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ซึ่งพระองค์ต่อไปก็คือพระศรีอริยเมตไตรย แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมเลย ถึงสมัยโน้นก็เหมือนเดี๋ยวนี้ อาจจะเพิ่มกิเลสมาก อาจจะมีความเห็นผิดอย่างอื่น จนกระทั่งเป็นพวกเดียรถีย์ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน พวกนั้นไม่มาเฝ้าไม่ฟังธรรม คำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีความหมายสำหรับคนที่หันหลังให้พระสัทธรรม เพราะเชื่อคิดมั่นคงในคำสอนอื่น เพราะฉะนั้นการที่จะได้ฟังคำจริงไม่ใช่ว่าพระองค์สามารถที่จะให้ทุกคนได้เข้าใจ แต่ต้องเป็นแต่ละคนที่ฟัง ฟังทำไม วิชาอื่นก็มีมากมาย ทำไมไม่ฟังวิชาอื่น วิชาอื่นหรือจะมีค่าเท่ากับคำที่ทำให้เข้าใจสมัยทุกขณะในขณะนี้ได้ เพราะวิชาอื่นออกจากสมัยหมด ไปทำอย่างโน้นไปทำอย่างนี้ โดยไม่รู้ว่าสมัยคืออะไร ตามสมัย และทันสมัยคืออะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่แต่ละบุคคล เป็นผู้ที่ใครก็ชักชวนไม่ได้ ถ้าไม่ได้สะสมมา ที่จะเห็นคุณค่าของการรู้ซึ่งต่างกับความไม่รู้ เกิดมาแล้วทั้งหมดไม่รู้ จนถึงขณะนี้ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ จนค่อยๆ รู้ว่านี่คือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง ซึ่งใช้คำว่าธรรม เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริงแน่นอน แค่นี้ต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่เชื่อธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มีจริงแน่นอนแม้เดี๋ยวนี้ก็มี แค่นี้ต้องคิดแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้อะไรจริง เพื่อที่จะรู้ว่าอะไรเป็นธรรม เพื่อจะรู้ว่าลึกซึ้งมาก ซึ่งจะต้องฟังต่อไป เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งแต่ละคำ มีใครจะตอบบ้างไหม เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง

    ผู้ฟัง ความเข้าใจมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ที่มีจริงเดี๋ยวนี้ก็มีเสียงที่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ใครจะคิดบางครั้งว่าเสียงเป็นธรรม คิดว่าต้องเป็นธรรมเรื่องอื่นยากยาก ปฏิจสมุปาท โพธิปักขิยธรรม อายตนะ อริยสัจจะ แต่เสียงมีจริงไหม

    ผู้ฟัง จริงแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นอายตนะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นขันธ์หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นอริยสัจจะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นด้วย

    ท่านอาจารย์ คนตอบต้องเข้าใจ ใ่ช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจก็ตอบไม่ได้ แต่เพราะฟังแล้วก็เข้าใจ การสนทนาธรรม ก็คือว่าเมื่อฟังแล้วเข้าใจอย่างไร ก็จะได้สนทนากันได้รู้ว่าเข้าใจชัดเจนมากน้อยแค่ไหน ที่ตอบว่าเสียงเป็นอริยสัจจะ ไม่ผิดใช่ไหม เพราะอะไรเห็นไหม แค่นี้ยังต้องหาเหตุผล ต้องละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะรู้ว่าคนนั้นรอบรู้ในคำนั้นจริงๆ ถ้าไม่ละเอียดเผินๆ ก็เหมือนเข้าใจแล้วตอบถูก อริยะสัจจะมีอะไรบ้าง เหมาเอาว่าถูกหลงว่าถูก แต่อาจจะไม่เข้าใจก็ได้ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังก็จำ แล้วก็ตอบใช่ไหม แต่ว่าถ้าละเอียดก็คือสามารถที่จะรอบรู้ในคำนั้น

    อ.คำปั่น จริงๆ พระธรรมละเอียดมากเลย แม้แต่ที่กล่าวถึงอริยสัจจะ ที่ท่านได้ถามว่าเสียงเป็นอริยสัจจะไหม เป็นใช่ไหม เพราะอะไร เราต้องมีพื้นฐานจริงๆ ว่าความจริงทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ซึ่งความหมายของอริยสัจจะ มีหลากหลายความหมายมาก ความหมายหนึ่งก็คือเป็นความจริงของพระอริยะ ก็คือเป็นความจริงที่บุคคลผู้มีปัญญารู้แล้วถึงความเป็นพระอริยะ จึงเป็นอริยสัจจะนี่คือความหมาย

    อ.อรรณพ การตั้งจิตไว้ชอบสำหรับผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม แม้ทีละน้อยทีละน้อย มีความสำคัญอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปัญญามีน้อยใช่ไหม

    อ.อรรณพ ปัญญามีน้อย

    ท่านอาจารย์ ปัญญาน้อย น้อยจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อครู่นี้ได้ยินกี่คำ

    อ.อรรณพ หลายคำ

    ท่านอาจารย์ ปัญญาน้อย

    อ.อรรณพ ปัญญาน้อย

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้เข้าใจมากพอใช่ไหม สงสัยในคำไหนบ้าง

    อ.อรรณพ ฟังแล้วบางทีก็เพลินไปเลย

    ท่านอาจารย์ นั่นสิ เพราะฉะนั้นรู้ไหมว่าฟังแล้ว รอบรู้ในคำนั้นหรือยัง หรือว่าสงสัยในคำไหนบ้าง นี่คือการเริ่มต้นที่จะเป็นคนตรง และละเอียด ฟังเหมือนไม่ยากใช่ไหม แค่ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ถามว่าเห็นมีไหม มี เห็นจริงๆ หรือเปล่า จริง เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น แค่นี้พอไหม เห็นไหม แค่นี้ยังไม่พอเลย เพราะฉะนั้นเมื่อกี้ได้ยินกี่คำ รอบรู้ในแต่ละคำนั้นหรือยัง เผินได้ไหม เพราะฉะนั้นเสียงเป็นธรรมี มีจริงแน่ๆ มีอะไรในเสียง หรือเสียงเป็นอะไรหรือเปล่า ที่จะกล่าวว่าเราไม่รู้ ใช่ไหม อย่างเห็นเดี๋ยวนี้มีจริงเป็นธรรม รู้หรือยัง รู้หรือยัง รู้อะไร และรู้อะไร เห็นไหมว่ากว่าเราจะรู้ว่าค่อยๆ รู้ขึ้นคือค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้อย่างนั้นก็เป็นขั้นฟัง แล้วจะไปสำนักปฏิบัติกันทำไม เพราะเหตุว่าไม่มีสำนักปฏิบัติ แต่มีความเข้าใจตามลำดับขั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจแล้วจะประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมได้อย่างไร หนทางอื่นมีไหม นอกจากค่อยๆ ฟัง และเป็นผู้ที่ตรง คนอื่นเขาบอกไม่ได้ว่าเราเข้าใจแค่ไหน แต่ตนเองจะรู้ได้ ว่ายังมีความเข้าใจตื้นๆ เผินๆ ง่ายๆ หรือว่ามีความเข้าใจในคำนั้นลึกซึ้งขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น โดยไม่ใช่ว่ามีตัวตนที่จะไปทำให้เข้าใจได้ ไม่ใช่อย่างที่คิดว่าตัวตนเรานี่แหละจะไปปฏิบัติแล้วก็จะได้เป็นพระอริยะบุคคล เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ตามลำดับขั้นในแต่ละคำจริงๆ ได้ยินคำว่า"จริงๆ " เข้าใจไหม เสียงดับไปแล้ว ก่อนจะเข้าใจความหมายว่า"จริง" คิดดู เห็นไหม เรารู้จักเสียงแค่ไหน ที่จะกล่าวว่าเป็นอริยสัจจะจริงๆ เสียงแน่ แต่รู้ความหมายด้วย แต่เสียงดับไปก่อนที่จะรู้ความหมาย ของ"จริง" ของเสียงนั้นว่าหมายความถึง"จริง" นี่คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทันสมัยไหม เสียงขณะที่ปรากฏ ไม่ใช่ขณะที่เข้าใจความหมายของเสียงนั้น ลึกซึ้งไหม เพราะฉะนั้นเราจะกล่าวว่า เราเข้าใจแล้วหรือ กับการที่ได้รู้จริงๆ ว่าพระองค์ทรงแสดงไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นธรรมสิ่งที่มีจริงมีลักษณะเฉพาะแต่ละ ๑ เสียงเป็นเสียง เข้าใจไม่ใช่เสียง รู้ความหมายของเสียงแต่ละคำ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่เมื่อได้ยินแล้ว จิตเกิดดับเร็วมาก จนถึงขณะที่รู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร แต่ยังไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แค่เสียงอย่างเดียวเห็นไหม เพราะฉะนั้นการฟังต้องไตร่ตรอง จริงหรือเปล่า เสียงมีจริงแค่เสียง แต่นี่พอได้ยินเสียงเข้าใจว่าหมายความว่าอะไรแต่ละคำ เหมือนรู้เลยใช่ไหม ฟังไปก็รู้เลยตามเสียงนั้น เหมือนก็รู้ ตามก็รู้ เห็นไหม แต่ความจริงแยกกัน เสียงเป็นเสียง และเข้าใจ คำว่ารู้ ได้ยินคำว่ารู้ เข้าใจคำว่ารู้ ความเข้าใจคำว่ารู้ไม่ใช่เสียง แต่ถ้าไม่มีเสียงนั้นก็ไม่มีคำว่ารู้ แต่เสียงนั้นไม่ได้เข้าใจเป็นอย่างอื่น แต่เพราะความจำเห็นไหม ก็ไม่ใช่เราอีก ทุกอย่างมีจริงทั้งหมด แต่ต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความลึกซึ้ง ด้วยความละเอียด จะตอบง่ายๆ ว่าเป็นอริยสัจจะ แต่ความรู้แค่ไหน ถึงความเป็นอริยสัจจะหรือยัง แม้แต่เพียงเสียงคำเดียว ยังไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เรา ไม่มีใครทำให้เสียงเกิดได้เลย แต่มีปัจจัยที่เกื้อกูลสนับสนุน ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดทั้งหมด ต้องมีปัจจัยที่สนับสนุน ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอุปการะ ไม่อย่างนั้นเกิดไม่ได้ ทุกอย่างเกิดเองไม่ได้เลย แม้แต่เห็นถ้าไม่มีตา ใครจะเห็นได้ ใครจะไปทำให้ตาเกิดขึ้นได้ แต่มีปัจจัยที่จะให้เกิดตา มีปัจจัยที่จะให้เสียงกระทบจิตเกิดขึ้น เห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบ ถ้าเป็นเสียงก็ต้องมีหู แต่ไม่ใช่หูที่เราคิด ต้องเป็นรูปพิเศษเฉพาะตรงนั้น ที่สามารถกระทบเสียง และเมื่อเสียงกระทบแล้วเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยิน ได้ยินไม่ใช่เสียง และได้ยินได้ยินเฉพาะเสียงเท่านั้น แล้วดับไป ไม่รู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร แต่มีธาตุที่จำเสียงนั้น แล้วก็เข้าใจความหมายของเสียงนั้น แต่เร็วจนกระทั่งเหมือนได้ยินคำนั้นเลย รู้ทันที นี่คืออริยสัจจธรรม ไม่ใช่เพียงแค่เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เป็น เป็นอริยสัจจะหรือเปล่า เป็น แต่จบ เท่านั้นไม่ได้ ไม่สามารถจะทำให้ละคลายความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความติดข้องคือโลภะ ซึ่งเรายังมองไม่เห็นเลยว่าเป็นโทษอย่างไรใช่ไหม เพราะว่าทุกคนชอบแสวงหาอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกข์ทั้งหลายต้องเกิดเพราะความติดข้อง

    อ.ธิดารัตน์ ความเข้าใจขั้นการศึกษากับการรู้ เสียงจริงๆ เลย

    ท่านอาจารย์ เสียงต้องดังใช่ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ต้องดัง

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมเป็นเสียงเดียว

    อ.ธิดารัตน์ เสียงก็ต้องมีนิมิตของเสียง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้พูดอะไรเกินกว่านี้ เพราะเหตุว่าฟังธรรมต้องทีละคำ เราพูดนิมิต เราพูดบัญญัติ เราพูดอริยสัจจะ เราพูดอะไร ผลก็คือว่าคนฟังก็แค่ได้ยินคำ แต่จุดประสงค์ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ให้รู้ความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม เพื่อเราจะได้ไม่หลงทาง ไม่งั้นใครๆ ก็พูดอริยะสัจจกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่ความเข้าใจของคนฟังเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เขาเข้าใจแค่ไหน ไม่ใช่เอาคำมากๆ ไปให้เขาใช่ไหม แต่ว่าแม้ฟังอย่างนี้ เข้าใจแค่ไหน ต้องเป็นความเข้าใจ ประโยชน์อย่างยิ่งคือทุกขณะที่ได้ฟัง ขอให้ได้เข้าใจ ที่มั่นคง รอบรู้ ไม่เปลี่ยนแปลง จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นเราก็ข้ามไปเรื่อยๆ แม้แต่เสียงเมื่อครู่นี้เห็นไหม บอกว่าเสียงเป็นอริยสัจจะ แต่ลองคิดดูสิว่าเรารู้จักเสียงจริงๆ หรือเปล่า เพราะแม้แต่คำว่าเสียง ดังใช่ไหม แต่ว่าได้ยินใช่ไหม ได้ยินอะไร ได้ยินเฉพาะเสียง ยังไม่ได้รู้เลยว่า เสียงหมายความว่าเสียง ใช่ไหม ยังไม่รู้ความหมายเลย คำ หมายความว่าคำ ไม่ใช่หมายความว่าเสียง เพราะฉะนั้นแต่ละเสียงมีปัจจัยเกิดขึ้น ได้ยิน ได้ยินเฉพาะเสียง ใครรู้ แต่กำลังรู้ว่าความหมาย เสียงหมายความว่าเสียง ไม่ใช่ขณะที่ได้ยินเห็นไหม แต่เหมือนพร้อมกันเลย แต่นี่คือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะละความไม่รู้อย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเข้าใจแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ยิ่งขึ้น ไม่ใช่บอกว่าเป็นอริยสัจจ จบแล้ว หรือไปพูดคำอื่นอีกยาวมาก แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังได้รู้มาก่อน เพราะฉะนั้นประโยชน์อย่างยิ่ง ความเป็นมิตรหวังดีไม่ใช่แค่ให้ฟังแต่เพื่อเข้าใจ เพราะว่าถ้าเข้าใจแล้วไม่ลืม แล้วก็สามารถที่จะสะสมสืบต่อไปทุกชาติ มีโอกาสที่จะได้เข้าใจความลึกซึ้งเพิ่มขึ้น เพราะแค่ได้ฟังอย่างนี้ และก็ไม่เข้าใจจริงๆ ก็ลืม ไม่ว่าได้ยินคำอะไรทั้งหมด ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ลืม เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ต้องละเอียด และต้องลึกซึ้ง

    ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสคำว่าธรรม เพื่อกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่วัตถุ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่เป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อมีธาตุรู้กำลังรู้สิ่งนั้น และสิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นด้วย ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลยทั้งสิ้น จะมีโลกไหม จะมีดาวไหม จะมีต้นไม้ไหม จะมีนกไหม ก็ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มี สิ่งนั้นต้องเกิด เกิดแล้วเป็นเฉพาะสิ่งนั้น เป็นสิ่งอื่นไม่ได้เลย แต่ว่ารวดเร็วสุดจะประมาณได้ เหมือนกับได้ยิน ก็รู้ความหมายเลย แต่ความจริงทรงแสดงธรรม โดยความหมายว่าเป็นปรมัตถธรรม ปรมัตถมาจากคำว่าอะไร

    อ.คำปั่น มาจากคำว่า ปรมะ แปลว่าอย่างยิ่ง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อรรถก็คือลักษณะ ซึ่งปรมัตถธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงที่มีลักษณะ ที่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้คือเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น อย่างเช่นเสียง เสียงก็เป็นเสียง จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องฟังโดยละเอียด ธรรมมีจริงไหม มีจริง ทำไมว่าจริง

    ผู้ฟัง มีจริงๆ แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็ได้รู้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมว่าจริง

    ผู้ฟัง เพราะว่าปรากฏจริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมว่าจริง

    ผู้ฟัง รู้ว่ามีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ทำไมรู้ว่ามีจริง เห็นไหม ตอบได้ตั้งหลายอย่าง ทุกคำตอบแสดงถึงความเข้าใจผิดหรือถูก มากหรือน้อย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแค่ตอบถูก แต่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเข้าใจระดับไหน รอบรู้หรือยัง สมควรที่จะเข้าใจต่อไปอีกได้หรือยัง เพราะว่าถ้ายังไม่ได้เข้าใจชัดเจน การฟังต่อไปก็ไร้ความหมาย เพราะเหตุว่าแค่จำแค่ได้ยินแค่ฟังเหมือนรู้ ฟังธรรมแต่ว่าความจริงเข้าใจเท่าไหร่ แต่ละคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ของการฟัง ไม่ใช่อยู่ที่ฟังมากๆ ฟังบ่อยๆ เข้าใจแต่ละคำ ละเอียดขึ้นลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้นทำไมว่าจริง เห็นไหม แต่ละ ๑ จริงใช่ไหม เพราะมีลักษณะเฉพาะของตนของตน เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จริงอย่างนั้น เสียงเป็นหวานได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เสียงเป็นเสียง มีจริงแน่นอน แล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะนั้น ให้เป็นอย่างอื่นได้เลยทั้งสิ้น ใครจะเปลี่ยนเสียงให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะฉะนั้นเป็นธรรมที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของตน ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม ๓ คำ รวมกันปะระมะคือบรมที่ภาษาไทยใช้ ยิ่งใหญ่ไหม ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าไม่มีลักษณะแสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งนั้นซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ก็จะไม่มีคำว่าอรรถที่เราใช้อรรถคือความหมาย เพราะลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นธรรมที่มีจริงๆ แต่ละ ๑ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความหมายได้เลย และเวลาใช้คำว่าธรรม เป็นเราหรือเปล่า เป็นดอกไม้หรือไม่ เป็นโต๊ะหรือไม่ ถ้าเข้าใจจริงๆ คือไม่ใช่เลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่มีลักษณะซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ที่เราเข้าใจว่าเป็นโลก เป็นคน เป็นสัตว์ ลองแยกออกไปแต่ละ ๑ เกิดเป็นอย่างนั้นเท่านั้น และก็ดับไปสืบต่อยากที่ใครจะรู้ได้ เพราะเหตุว่ารวมกันตั้งหลายอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียว อย่างเช่นคน ลองแยกออกให้ละเอียดยิบ มีคนไหม ตาก็เป็นตา เอาตาออกไปก็ได้ ใช่ไหม หูก็เป็นหู ไม่ใช่ตา แยกออกไปก็ได้ แขนขาทุกส่วนแยกออกได้หมด แล้วเราอยู่ไหน

    เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่าเป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่พอรวมกัน เกิดดับอย่างรวดเร็วสืบต่อกัน จนไม่มีใครเห็นว่าอะไรดับไปเลยสักอย่าง ไม่เห็นทั้งเกิด และดับ ไม่เห็นทั้งการสืบต่อ ไม่เห็นถึงการประชุมรวมกัน มากมายก็รวมเรียกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ความหมายของคำว่าบัญญัติในภาษาไทย แต่ภาษาบาลีคือปัญญัตติ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ทำไมดอกไม้ไม่ใช่ใบไม้ รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ซึ่งแยกออกไปแล้วละเอียดยิบ แต่พอรวมกันแล้ว สีสันต่างกัน ทำให้สัณฐานต่างกัน ทำให้จำว่าเป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งความจริงแล้ว ๑ จริงๆ นั้นเกิดดับ ไม่มีใครรู้เลย แต่นี่เป็นคำสอนของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังอย่างนี้ จะเป็นธรรมหรือไม่ จะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ก็เป็นเรื่องอื่นไป

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ แม้แต่เสียงใครรู้บ้างว่า จิตได้ยินแค่ได้ยินเสียง แต่ต่างกับขณะที่เข้าใจความหมายของเสียงนั้น เพราะเสียงหลากหลาย มีเราหรือไม่ ตอนนี้เริ่มเข้าใจคำว่าธรรม อีกนานไหมกว่าจะเป็นอริยสัจธรรม ไม่ใช่แค่ตอบ ไม่ใช่แค่ไปทำนั่งนอนยืนเดินดูนั่นดูนี่ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ถ้าเข้าใจจริงๆ เบิกบานไหม ในสังสารวัฏฏ์ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เข้าใจโลกทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ก็คือแต่ละ ๑ ที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีลักษณะเฉพาะแต่ละ ๑ แต่เกิดดับสืบต่อเร็วจนลวงทุกชาติ ไม่รู้ความจริงเลยเหมือนคนที่อยู่ในความมืด ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แค่วันนี้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เกิดแล้วปรากฏ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แค่นี้ก็เบิกบานแล้วใช่ไหม มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏเพิ่มขึ้น แต่ต้องจากคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้

    ผู้ฟัง การที่ไปสำนักปฏิบัตินั้น เขาสอนผิด สอนไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าหรือยังไง ผมมีความติดข้องอยู่ตรงนี้ ขอกราบเรียนถาม ที่ถามนี่ยังเป็นตัวผมอยู่

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะเข้าใจจริงๆ ก็ต้องทีละคำ ถ้าพูดรวมไปทั้งหมด ไม่สามารถจะเข้าใจได้เลย พูดถึงการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม และก็มีคำซึ่งเรายังไม่ได้พูดถึง แล้วถามว่าคืออะไร จะตอบได้ไหม วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตาคืออะไร ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างก็จะตาม ทำไมไม่คิด ก่อนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อการตรัสรู้นานเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ คิดดู แต่ละพระองค์กว่าจะได้มีการตรัสรู้นานเท่าไหร่ จากการที่ฟังแล้วฟังอีกแต่ละชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรค่อยๆ สะสม แม้แต่ในชาติที่ได้ฟังคำของพระกัสสปะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ขณะนั้นแม้ได้ฟัง แม้บวชเป็นพระภิกษุ ก็ยังไม่ได้รู้ความจริง ไม่ใช่มาถึงก็มานั่ง วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา อะไร ทั้งหมดคืออะไร เพราะฉะนั้นทำไมไม่คิดถึงเหตุ ธรรมเป็นสิ่งที่ง่ายหรือยาก แม้การฟัง แล้วการประจักษ์แจ้ง ตรงตามที่ได้ฟังทุกคำจะยากกว่าไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    9 พ.ย. 2567