ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1216


    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๑๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นสิ่งที่ง่ายหรือยากแม้การฟัง แล้วการประจักษ์แจ้งตรงตามที่ได้ฟังทุกคำจะยากกว่าไหม เห็นขณะนี้เกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็นขณะนี้เกิด

    ท่านอาจารย์ ดับด้วยหรือไม่

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ เห็นดับแล้ว สภาพธรรมอื่นทำหน้าที่เห็นหรือไม่

    ผู้ฟัง สภาพธรรมอื่นไม่ได้ทำหน้าที่เห็น

    ท่านอาจารย์ แต่รู้สิ่งเดียวกับที่เห็นๆ แล้ว หมายความว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ยังไม่ได้ดับไป ก่อนดับต้องมีจิตเกิดขึ้นเห็น และเมื่อจิตเห็นดับแล้ว จิตอื่นซึ่งเกิดต่อรู้รูปที่ยังไม่ได้ดับ แต่ไม่ได้ทำกิจเห็น เห็นไหมใครรู้ กว่าจะละความเป็นเรา ขณะนั้นยังไม่ได้รู้เลยว่ารูปร่างสัณฐานเป็นอะไร มีแต่สิ่งที่ปรากฏกระทบตาก็ดับ สืบต่อจนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน จนกระทั่งเป็นคนนั่งอยู่ที่นี่มากมาย การเกิดดับของจิต เร็วสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้แต่ละ ๑ ซึ่งวันนี้เกินกว่า ๑ มากมาย เห็นตั้งเท่าไหร่ ได้ยินตั้งเท่าไหร่ คิดเท่าไหร่ ทุกอย่างเท่าไหร่ ไม่รู้สักอย่าง แล้วจะไปสำนักปฏิบัติเพื่ออะไร จะรู้ได้ไหม ในเมื่อไม่มีการรู้เลยว่า กว่าจะรู้ได้นานเท่าไหร่ แล้วก็ฟังอย่างนี้ เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ บวชด้วย ฟังธรรมด้วย ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้ อีกนานเท่าไรกว่าจะได้ตรัสรู้ แล้วเราฟังแค่นี้ไปสำนักปฏิบัติแล้วจะรู้อะไร

    สมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ได้รับคำพยากรณ์ก่อน จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ย้อนไป ๔ อสงไขยแสนกัปป์ บำเพ็ญบารมียิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังมากเท่าไหร่ จนกระทั่งได้ตรัสรู้เมื่อถึงเวลา ไม่ใช่มีความเป็นตัวตนไปทำให้รู้ ใครทำอะไรได้ ทรงแสดงความเป็นอนัตตา ต้องตรง ต้องจริง เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมทั้งหลายถ้าไม่มีเหตุปัจจัยจะเกิดได้หรือ ถ้าไม่มีการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ใครจะรู้ธรรม แล้วถ้าฟังแล้วลองเทียบบารมี แค่ ๗ วันของคนสมัยนี้ เดือนหนึ่งของคนสมัยนี้ หรือจะเท่าไรก็ตามแต่ คิดว่านั่นจะทำให้เข้าใจธรรม ได้อย่างไร เพราะว่าธรรมไม่ใช่สิ่งซึ่งหลงคิดว่าตัวเองทำได้ แค่จะทำก็ผิดแล้ว เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ไม่เข้าใจถึงความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ยังไม่รู้ ไม่รู้ ก็เป็นเราไปนั่งปฏิบัติ เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าจะรู้ความจริง อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยวิธีนั้น

    ผู้ฟัง จะเป็นสำนักปฏิบัติที่เราเข้าไปแล้ว สอนให้นั่งปฏิบัติสมถะวิปัสสนานี้ ถ้าไม่มีการศึกษาเรียนรู้ ทำความเข้าใจก่อน ก็ไม่มีทางที่จะเกิดปัญญาอย่างนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม หรือให้คนไปเฝ้านั่งปฏิบัติ

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าสอนแล้วที่บอกว่า ให้ภิกษุว่าไปนั่งในป่า

    ท่านอาจารย์ มีหรือ คำแปลของมหาสติปัฐาน ไปแล้วสู่ป่า เป็นภิกษุไปไหน ไปบ้านหรือ

    ผู้ฟัง ไปสู่ป่านั่นแหละ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไปแล้วสู่ที่หนึ่งที่ใดก็ไ ด้ถ้าเราไม่ใช่พระภิกษุเราก็ไปบ้านหรือไปตลาดหรือไปไหนก็ได้ ไปไหนได้หมด เมื่อมีปัญญา แต่ถ้าไม่มีปัญญาไปไหนก็ไม่มีปัญญา เข้าใจสำนักหรือยัง คืออะไร

    ผู้ฟัง คือที่อยู่

    ท่านอาจารย์ คือที่อยู่ แล้วปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติเป็นภาษาไทย เวลาเราใช้คำว่าปฏิบัติ เราคิดว่ายังไง

    ผู้ฟัง อธิบายก็คือการกระทำ

    ท่านอาจารย์ การกระทำ เพราะฉะนั้นเราก็ทำอยู่แล้วทุกวันใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วไปสำนักปฏิบัติไปทำอะไร

    ผู้ฟัง ก็ไปในส่วนของปฏิบัติธรรม

    ท่านอาจารย์ ผิดเลย เพราะไม่ใช่เราปฏิบัติ เป็นปัญญาปฏิบัติ แล้วถ้าไม่มีปัญญาใครปฏิบัติ ก็เราก็ทำปฏิบัติของเราไปทุกวัน ใช่ไหม แต่ไม่ใช่ปัญญา และถ้าเราไปสู่ที่หนึ่งที่ใดแล้ว จะเกิดปัญญาอย่างนั้นหรือ หรือว่าไม่รู้อะไรไป แล้วก็ทำสิ่งที่ไม่รู้ต่อไปแล้วจะชื่อว่าปฏิปัตติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหรือไม่ เพราะว่าปัญญามีหลายระดับ ขั้นปริยัติฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พอ รอบรู้ในคำนั้น แสดงว่าต้องไม่ขัดกันเลย ไม่ว่าจะตรัสไว้ที่พระวิหารเชตวัน หรือที่ไหนก็ตามทั้งหมด คำที่ตรัสแล้วเป็นความจริงถึงที่สุด เปลี่ยนไม่ได้ เพราะถึงที่สุด เพราะฉะนั้นการเจริญขึ้นของปัญญา ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ฟังอะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วจะไปรู้แจ้งอริสัยจธรรมได้อย่างไร ยังไม่รู้เลยว่าอริยสัจจธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปริยัติ คือความรอบรู้อย่างมั่นคง ถึงความเป็นสัจจญาณ เพราะกำกับไว้ด้วย ไม่ใช่มีแต่ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ แต่ต้องมีสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ประกอบกันไม่ขัดกันเลย

    เพราะฉะนั้นการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อรอบรู้หรือยัง ถ้ารอบรู้ธรรมทั้งหลายเข้าใจแล้วใช่ไหม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา อนัตตาหมายความว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ใช่ตัวตน แต่ว่าเป็นแต่ละ ๑ ของธรรม ซึ่งมีลักษณะซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงไม่ใช่เรา เห็นเป็นเห็นดับแล้ว ได้ยินเป็นได้ยิน เดี๋ยวนี้เองดับแล้ว ไม่ใช่เรา ไม่มีอะไรที่จะแสดงความเป็นตัวตน เพราะว่ามีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ เสียงเมื่อครู่นี้ไปตามหาว่าอยู่ไหน ทั่วทั้งจักรวาลก็หาไม่ได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะเสียง คำใดที่ตรัสแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ทุกอย่างมีปัจจัยเกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย เหมือนที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี จนกว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นอนัตตาไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าปัญญาจะถึงความสมบูรณ์ ที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ตรงตามที่ได้ฟังเมื่อไหร่ ต้องปรากฏโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยเราหวัง เราไปทำ เพื่อที่จะได้เห็นสิ่งนั้น นี่ก็คือไม่ใช่ความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ปริยัติ ไม่ใช่สัจจญาณ เพราะฉะนั้นสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสติปัฐานเกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่าสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฎฐาน ก็ต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ขณะที่ฟังขณะนี้ มีสภาพธรรมที่เป็นสติเจตสิก ไม่ใช่จิต แต่เป็นสติเจตสิก พร้อมด้วยโสภณเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดพร้อมกัน อย่างน้อยเท่าไหร่ ๑๙ ประเภท แต่ก็ต้องมีปัญญาเจตสิก ในขณะที่เข้าใจเริ่มเกิดทีละน้อย เพราะฉะนั้นรู้ได้เลย เราเข้าใจแค่ไหน แล้วจะถึงการที่จะประจักษ์แจ้งหรือยัง ห่างไกลกันแสนไกล แล้วไปสำนักปฏิบัติทำอะไร สามารถที่จะเข้าใจได้หรือ แค่นี้ก็เปิดเผยความจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง แต่ถ้าปกปิดไว้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้ก็อันตรธาน

    ผู้ฟัง มีเราอยากที่จะไปทำ เช่นเคลื่อนไหวมือ ยกมือหรือพยายามไปสังเกตรู้ ที่เขาสอนกันมา แบบอิริยปถบรรพ หรือสัมปชัญญะ ตรงนั้นเขาสอนถูกไหม

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสให้ทำหรือว่าทุกคำให้เข้าใจความจริงว่า สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีก จึงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครด้วย ชีวิตประจำวันทั้งหมดก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย สามารถที่จะละความเป็นเรา ความเป็นตัวตน หรือความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง คือปัญญาไม่ได้ให้ไปทำ ทำแล้วจะเข้าใจอะไร เดี๋ยวนี้กำลังเห็นเข้าใจอะไร ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นตัวตนตลอด แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังก็ยังคงเป็นเรา จนกว่าสามารถจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น รอบรู้ว่าปัญญารู้อะไรเข้าใจอะไร ก็เข้าใจสิ่งที่กำลังมี มิฉะนั้นจะชื่อว่าปัญญาหรือ แล้วจะเห็นได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงมีตั้งแต่ขั้นต้น คือฟังคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ไตร่ตรองด้วยความละเอียดรอบคอบ จนกระทั่งมีความเข้าใจ แต่ดับกิเลสไม่ได้เพียงด้วยการฟัง และเข้าใจในขั้นฟัง เพราะเหตุว่ากิเลสนี้ ความเป็นตัวตนสะสมมา มากมายมหาศาล ยิ่งกว่าจักรวาล ทุกชาติ กี่ชาติ มาแล้วในแสนโกฏกัปป์ จะหมดไปโดยการเพียงไปนั่ง แล้วไปดู ไปทำอะไรอย่างนั้นหรือ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องทราบ ถ้ามีความเข้าใจธรรมรู้ว่าธรรม ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นมาได้เลย แต่ขณะนี้เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เสียงปรากฏเพราะมีธาตุได้ยิน กำลังได้ยินเสียงนั้น ที่เราใช้คำว่าธาตุรู้ เพราะรู้ว่าเสียงนั้นมีลักษณะอย่างไรไม่ใช่เรา ดับแล้วหมดแล้ว

    เพราะฉะนั้นตลอดทุกอย่างที่ปรากฏต้องเกิด ไม่เกิดไม่ปรากฏ เกิดแล้วก็ดับไป ฟังอย่างนี้แล้วจะไปไหนไหน จะไปสำนักปฏิบัติไหม ไปทำไม ในเมื่อเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมไม่รู้ เดี๋ยวนี้ แล้วก็จะดู ก็ต้องรู้เดี๋ยวนี้ เพราะว่าสิ่งที่ดับไปแล้ว ไม่สามารถที่จะให้ความจริง ได้ สิ่งที่ยังไม่เกิดก็ยังไม่มาถึง แต่เดี๋ยวนี้จะพิสูจน์ว่า มีความเข้าใจในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน ก็คือว่าเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วไม่ต้องไปไหนเลย เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วว่าไม่ได้ทำ มีใครทำอะไรบ้าง แต่เห็นเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำ ได้ยินก็เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำ คิดก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่เคยเห็นเลย จะให้นึกสักเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออกใช่ไหม แต่พอเห็นแล้วจำได้ ถ้าเห็นครั้งเดียวก็ไม่พอ เห็นบ่อยๆ จนคุ้นเคย สามารถที่จะคิดถึงนึกถึงได้ เพราะไม่มีใครไปทำให้เกิดนึกอย่างนั้นได้ใช่ไหม นอกจากการที่เคยเห็นแล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องพิจารณาในขั้นนี้ ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่าปฏิปัติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ เดี๋ยวนี้เราพูดเรื่องเห็น เห็นดับแล้วหรือยัง พูดถึงได้ยินได้ยินดับแล้วหรือยัง ยังไม่ถึงเฉพาะอันไหนเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นฟัง ยังไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะที่ใช้กัน เกิดได้เลย เพราะเหตุว่าเมื่อไปสำนักปฏิบัติ บอกให้มีสติ รู้จักสติหรือเปล่า

    ผู้ฟัง รู้ว่าแข็งเป็นธรรม นี่คือสติสัมปชัญญะเริ่มเกิด แล้วมีความเข้าใจ ถูกไหม

    ท่านอาจารย์ พอฟังแล้วเกิดเลยหรือ เพราะว่าขณะใดที่เป็นสติสัมปชัญญะ ต้องมีปัญญา เพราะฉะนั้นไม่เคยฟังเลย บอกเขาว่ารู้แข็งไหม เขาก็ต้องตอบว่ารู้ ใครก็รู้ใช่ไหม แต่แข็งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นตัวเขาก็ได้ เป็นนิ้วก็ได้ เป็นศีรษะก็ได้ หรือว่าเป็นอย่างอื่น ภายนอกเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ก็ได้ แต่หารู้ไม่ว่าถ้าแข็งไม่เกิดจะมีแข็งไหม เพราะฉะนั้นอย่างดอกไม้ มีแข็งไหม มีรสไหม ไม่เคยชิมหรือ เดี๋ยวนี้มีอาหารที่ทำด้วยดอกไม้หลายอย่างเลยใช่ไหม ต้องมีรสอยู่ด้วย มีกลิ่นไหม เห็นไหม เพราะฉะนั้นเราเห็นเพียงสีสันวรรณะต่างๆ แต่สีสันวรรณะต่างๆ อยู่ที่ไหน ต้องอยู่ที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ซึมซาบ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า มหาภูตรูป รูป หมายความถึงสิ่งที่มี แต่ไม่รู้อะไร ค่อยๆ ฟังจริงไม่มีไหม สิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไร สิ่งนั้นเป็นเราหรือเป็นของเราหรือไม่ ไม่ใช่เลยใช่ไหม แข็งเป็นอื่นไม่ได้นอกจากแข็ง นี่คือลักษณะของสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏว่าหลากหลายมาก เสียงไม่ใช่แข็ง ธรรมไม่ใช่รีบร้อนไปไหน ฟังแล้วฟังอีกฟังแล้วฟังอีก จนกว่าสามารถที่จะเข้าถึงเฉพาะ ๑ โดยความเป็นอนัตตา คำว่าเฉพาะ ๑ คิดดู ความหมายลึกซึ้งแค่ไหน ใช่ไหม เดี๋ยวนี้แข็งกระทบปรากฏเฉพาะ ๑ หรือยัง เพราะฉะนั้นคำว่าเฉพาะ ๑ มีความหมายหลากหลายไหม ถ้าเฉพาะ ๑ คือขณะนั้นเฉพาะแข็งปรากฏ ไม่ใช่เสียง จะบอกว่าเสียงปรากฏไม่ได้ ขณะที่แข็งกำลังปรากฏ เฉพาะ ๑ เป็นลักษณะของสิ่งนั้น แต่เคยเข้าใจว่าเป็นอะไร ก็ยึดมั่นในสิ่งนั้น ที่ตัวเราทั้งตัวต้องมีอ่อนแข็งใช่ไหม ยังเป็นของเราหรือเปล่า ฟังอย่างนี้ ที่ตัวของทุกคน ยังเป็นของทุกคนหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ฟังอย่างนี้ ตามตรงก็คือยังเป็น เพราะไม่ได้ปรากฏเพียง ๑ ถึงแม้ว่าขณะที่กระทบ ลักษณะแข็งปรากฏก็จริงแต่เห็นไหม เห็นไหมแค่นี้ต้องคิดแล้ว ต้องตรงแล้ว แข็งปรากฏอย่างนี้ แล้วมีเห็นด้วยหรือเปล่า แค่นี้ยังต้องคิดเลย เพื่อความถูกต้อง เพื่อความตรง และความจริง แสดงการเกิดดับสืบต่อที่เร็วมาก เพราะว่าแข็งเป็นแข็ง เห็นเป็นเห็น เสียงเป็นเสียง แต่รวมกันหมดเลย ทุกคนกำลังนั่ง เห็นด้วย และกระทบสัมผัสแข็งด้วย และยังมีเสียงด้วย เกิดดับสืบต่อเร็วจนลวงให้เห็นว่าไม่มีอะไรเกิดดับ ทุกอย่างเที่ยงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ภาษาบาลีใช้คำว่าอัตตา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอะไรก็ได้ แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้มีความเข้าถึง การที่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเฉพาะแต่ละ ๑

    เพราะฉะนั้นความหมายของคำว่า ปรากฏเพียง ๑ นี่เห็นไหม ลึกซึ้งแค่ไหนปัญญาระดับไหน และจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเข้าใจก็จะมีแต่ความสงสัย เพราะฉะนั้นถ้า ๑ จริงๆ จะมีโลกอื่นรวมอยู่ด้วยไหม โลกนี้หายไปหมดเลยคิดดูเหลือเพียง ๑ จริงๆ ที่ปัญญากำลังรู้รอบในสิ่งนั้น จนไม่สงสัยว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นธาตุรู้หรือเป็นเพียงแข็ง หรือว่าเป็นเสียง หรือเป็นอะไรก็ตาม ปรากฏทีละ ๑ เพราะฉะนั้นอะไรล่ะ ที่จะทำให้ปรากฏได้ ถ้าไม่มีการฟัง จนกระทั่งค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่ดอกไม้ จะหลับตาก็มีแต่สิ่งที่แข็งมากระทบสัมผัส หรืออาจจะมีกลิ่นปรากฏ หรือเสียงก็ได้อะไรก็ได้ทั้งหมด จริงทั้งนั้น จริงทุกอย่าง แต่ชั่วคราวแสนสั้น เพียงแค่ปรากฏแล้วหมดไปเลย ไม่เหลืออีกเลย ในสังสารวัฎฏ์ หลงคิดหลงจำไว้ อย่างเหนียวแน่นว่ามี เดี๋ยวนี้ก็ยังมี เพราะว่าปัญญายังไม่ถึงขั้นที่ประจักษ์แจ้งความจริง ซึ่งใช้คำว่าตรัสรู้ รู้ความจริงโดยการประจักษ์แจ้ง ตามความเป็นจริง มิฉะนั้นคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีเลยที่จะกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ทีละ ๑ เพราะฉะนั้นไม่ใช่บอกว่าไม่มีเราก็พลอยไม่มีเราไปเลย ก็ยังเป็นเราอยู่นั่นแหละ ใช่ไหม ต้องเป็นผู้ที่ตรงแค่ฟังเข้าใจ แต่สภาพธรรมยังไม่ได้เปิดเผย ให้รู้ว่าถูกปกปิดไว้นานมาก แล้วถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ไม่มีทางจะเปิดเผยเลย มีแต่ตัวตนปิดซ้อนทับแน่นหนาเข้าไปยิ่งขึ้น แล้วก็ไม่รู้จักหนทางด้วย แต่หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้เริ่มจากความเข้าใจความจริงก่อน ใช้คำว่าปริยัติ หมายความรอบรู้ในคำที่ได้ฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏมีจริงๆ เป็นความจริงของสภาพธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งมีลักษณะที่เป็นอย่างนั้นแต่ละ ๑ ที่เคยสืบต่อกันอย่างแน่นหนาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เพราะไม่รู้ความจริง ซึ่งขณะนี้โลกหรือโลก หมายความถึงสภาพธรรม ที่เกิดดับแตกสลาย ทุกขณะไม่เหลือเลย ถ้าไม่ใช่อย่างนี้จะละความเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร แค่ฟังเผินๆ แล้วไปนั่งทำอะไรก็ด้วยความอยาก ด้วยความต้องการไม่รู้ว่าสติสัมปชัญญะเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมก่อน ถ้าปริยัติไม่มีจะไม่มีปัจจัยที่ทำให้ถึงปฏิปัติ ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญญา ตั้งแต่เริ่มต้นจนค่อยๆ เจริญขึ้น

    เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเป็นคนที่ตรง ขณะนี้ยังไม่ได้ถึงเฉพาะ ลักษณะที่กำลังปรากฏด้วยความเข้าใจเพียงพอที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา พร้อมกันหมดเลยอย่างนี้ ทั้งเห็น ทั้งคิด ทั้งจำ ทั้งเย็น ทั้งร้อน สืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ขณะนี้ธาตุรู้คือจิตกำลังเห็น เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะที่ปรากฏ ใครหรือธาตุรู้ กำลังกระทบแข็งหรืออ่อน ธาตุรู้ต่างหากที่รู้ว่าอ่อนหรือแข็ง ถ้าไม่มีธาตุรู้บอกได้ไหม ใครที่ไหนมาบอกได้ไหม ว่านั่นอ่อนหรือแข็ง แต่ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นนั่นแหละ กำลังรู้ลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เกินคำพูดใดๆ ที่จะบอกได้ เหมือนกับรสหวานเปรี้ยวเค็มมัน คนอื่นที่ไม่ได้ลิ้มรส ไปพรรณนาให้เขาฟังสักเท่าไหร่ เหมือนกับขณะที่ลิ้มรสที่กำลังปรากฏไหม แม้คนนั้นเองที่กำลังลิ้มรสก็อธิบายไม่ได้ แต่ธาตุรู้ที่กำลังลิ้มรสรู้แจ้งในรสนั้น แล้วดับไป ไม่เหลืออีกเลย แต่ละ ๑ ขณะเป็นอย่างนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจสภาพธรรมแต่ละ ๑ ที่ปรากฏ เหมือนพร้อมกัน ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดดับ ที่ตัวนี่เหมือนเรานั่งใช่ไหม แต่อากาศธาตุแทรกขั้นละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกสลาย จนกระทั่งถึงเล็กที่สุดยิ่งกว่าฝุ่น ฝุ่นเรายังมองเห็นใช่ไหม เล็กกว่านั้นอีก ขณะนั้นรูปนั้นๆ ที่เล็กอย่างนั้น นั่งหรือยืน เป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นพอรวมกันก็หลงเข้าใจว่านี่เรานั่ง แต่ความจริงรูปแต่ละรูปเกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถที่จะเข้าถึงปฏิปัตติ คือ เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละ ๑ ด้วยความเข้าใจ ตามลำดับขั้น ไม่สับสนไม่ปะปนกันเลยว่าขณะนี้กำลังฟังเรื่องจริง จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ทรงแสดงหนทาง นำไปสู่ความเข้าใจสิ่งซึ่งมี แต่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นอะไรจะประเสริฐ ความเข้าใจถูกในสังสารวัฏฏ์แม้เพียง ๑ ขณะ ก็ยังดีกว่าไม่รู้เลยสักขณะเดียว คิดเองก็ไม่ได้ ไม่มีหนทางเลย นอกจะได้ยินคำว่าพุทธะ ผู้รู้ ผู้ทรงตรัสรู้ ผู้รู้ความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง

    เพราะฉะนั้นจะฟังคำของใคร คนอื่นเป็นพุทธะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม เป็นเพียงผู้ที่ได้ยินได้ฟังเข้าใจตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วนั้น เป็นหนทางที่จะทำให้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าทุกคำของพระองค์เป็นวาจาสัจจะ ใครเปลี่ยนได้ ใครทำเห็นเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วกำลังเห็น ใครทำได้ยินเกิดแล้ว ได้ยินแล้ว ดับแล้วหมดแล้ว แล้วไม่กลับมาอีกด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละคำ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น แล้วไตร่ตรอง ลึกลงไปว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แค่มีแล้วหามีไม่ ไม่มีเรา เข้าใจแค่ไหนก็ตามแต่ แต่เป็นความจริงถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นจนกว่าวันหนึ่งคือบารมี คุณความดีทุกประการ รู้ว่าอกุศลทั้งหลายเพราะไม่รู้ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย ตราบใดที่ไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    9 พ.ย. 2567