ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1217


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๑๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย ตราบใดที่ไม่รู้ ความไม่รู้มีจริงๆ ไม่ใช่เรา ขณะนี้มีไหม เห็นไหม มีแต่ไม่รู้ เป็นเรา คิดมีไหม มี เกิดแล้วดับแล้วไม่ใช่เรา ขณะที่ไม่รู้ก็เกิดแล้วดับแล้วไม่รู้ ยับยั้งไม่ได้เลย แต่พอรู้ รู้ไม่ใช่ไม่รู้ พอรู้แล้วเริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่าไม่รู้ต่างกับรู้ แต่ถ้ายังไม่มีความรู้เกิดขึ้นเลย ไม่รู้ว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้นที่ไปสำนักต่างๆ ไม่รู้ว่าไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคำที่ได้ฟังทุกคำ ในสังสารวัฎฏ์ กว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น ประจักษ์แจ้งจึงรู้ว่าทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริง รู้ได้แน่นอน แต่จะรู้ตั้งแต่ฟังครั้งแรก หรือกี่ครั้งก็ตามแต่ ยังไม่สามารถที่จะถึงเฉพาะแต่ละ ๑ เพราะไม่ใช่เราถึง เรียกว่าสติก็ต้องเป็นสติ จะเป็นเราได้ยังไง และเป็นเราไปทำสติได้หรือ ใครทำได้

    ผู้ฟัง ความแตกต่างระหว่างทางโลกกับทางธรรมใช่ไหม คือทางโลกนี้เราเรียนรู้เพื่อที่จะไปตอบโจทย์ว่าทำอะไรได้ ลงมือปฎิบัติอะไรได้บ้าง เช่นเราจะทำกับข้าว เราก็ต้องรู้เครื่องปรุงว่ามีอะไรบ้าง ทำยังไงอันไหน หน้ากับหลัง แต่พอมาศึกษาธรรมมันเหมือนกับการยอมรับสภาพ

    ท่านอาจารย์ ยอมรับหรือว่ารู้ว่าจริง

    ผู้ฟัง รู้ว่าจริงแล้วก็ยอมรับสภาพ

    ท่านอาจารย์ ยอมรับ หมายความว่ายังมีเราใช่ไหม แต่ขณะที่เข้าใจไม่ใช่เรา จริงคือจริงจบแล้วหมดแล้ว เห็นละ ได้ยินละต่อไป จะรู้หรือไม่รู้ ก็ขึ้นอยู่กับการฟังอีกเข้าใจอีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้พูดถึงโลกกับธรรม เข้าใจหรือเปล่า ว่าโลกคืออะไร และธรรมคืออะไร เห็นไหม พูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นโลกคืออะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย เลยมีโลกไหม แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไหม สิ่งที่เกิดแล้วดับนั่นแหละโลก เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิด เกิดจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่า ดับจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่า สิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับมีไหม นั่นคือธรรมใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธรรมมีโลกไหม แต่ไม่รู้ว่าโลกนั่นแหละเป็นธรรม ก็เลยไปแยก คิดเอาเอง แต่ความจริงต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไตร่ตรอง แต่ละคำของพระองค์ ต้องศึกษาด้วยความเคารพด้วยความรอบคอบ ด้วยความมั่นคง โลกจะเป็นอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ ที่ไหนก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นเป็นโลก เพราะสิ่งนั้นก็ต้องดับไป แข็งเป็นโลกหรือเปล่า เห็นไหม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น คนอื่นฟังคงงง แข็งเป็นโลก ก็โลกหมายความถึงสิ่งที่เกิด นี้ก็เกิดไง แล้วก็ดับด้วย ที่เกิดแล้วไม่ดับไม่มี กลิ่นเป็นโลกหรือเปล่า แล้วลองจำแนกโลกสิ จะพ้นจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น เย็นร้อนอ่อนแข็งที่ปรากฏเมื่อกระทบสัมผัส และมีธาตุรู้ที่กำลังรู้ ทั้งหมดเป็นโลก ไหนล่ะโลกอื่น แยกได้ยังไง โลกไหนอีกนอกจาก ๖ โลกทางตา ๑ โลก ทางหู ๑ โลก ทางจมูก ๑ โลก ทางลิ้น ๑ โลก ทางกาย ๑โลก ทางใจ ๑ โลก มีโลกอื่นอีกไหม ไปเอาโลกมาสิ จะแยกโลกธรรมเพราะไม่รู้

    เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจแล้วจะรู้ได้เลย คนอื่นเป็นคำของผู้ไม่รู้ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องถึงที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่เข้าใจความจริง ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกราบไหว้อะไร บูชาอะไร พระองค์ทรงแสดงธรรม ไม่ใช่เพื่อให้คนบูชา แต่เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ นี่คือพระคุณสูงสุด ด้วยพระมหากรุณาที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพราะรู้ว่าคนอื่นไม่มีทางที่จะถึง ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้บำเพ็ญด้วยความมั่นคง ก่อนที่จะได้รับคำพยากรณ์ ก็ตั้งความปรารถนาไว้แล้ว ความคิดของคนนี่หลากหลาย มีใครจะคิดอย่างพระโพธิสัตว์ สิ่งนี้มีจริงแล้วก็หมด เสียงนี้มีจริงๆ แล้วก็หมด เพราะฉะนั้นความจริงของแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ที่ปรากฏต้องมี เพราะฉะนั้นทรงแสวงหาความจริง สัตว์คือผู้ข้อง โพธิคือปัญญา หรือความเข้าใจถูก ไม่ข้องในสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากความจริงที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ทุกชาติ จนกว่าจะได้รู้ เพราะฉะนั้นกำลังฟัง ไม่มีอะไรที่จะน่าสนใจในชีวิต เพราะว่าลต้องจากโลกนี้ไป แต่จะจากไปด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม หรือว่าเริ่มได้เข้าใจถูกต้องบ้าง ถ้าเห็นประโยชน์ เริ่มเห็นประโยชน์ เป็นโพธิสัตว์แต่เป็นสาวกโพธิสัตว์ เพราะว่าคิดดู ทำไมเราไม่ออกไปข้างนอก ไปซื้อของไปเที่ยว แต่ทำไมเราฟังธรรม มาเพื่อได้ยินเสียงได้ยินคำ ที่กล่าวถึงความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ทำไมมา เห็นไหม สนใจที่จะได้เข้าใจความจริง และเมื่อเห็นว่าความจริงยังมีอีกมาก เพราะว่าทุกคำเป็นวาจาสัจจะ แม้แต่การที่สภาพธรรมจะปรากฏทีละ ๑ ก็เป็นไปได้ เมื่อมีความเข้าใจทีละ ๑ มั่นคงพอ ที่ขณะนั้นเป็นปัจจัยให้ถึงเฉพาะ ๑ ที่กำลังเข้าใจ ที่กำลังเข้าใจ เห็นไหม นี่คือสติสัมปชัญญะหรือสติปัฎฐาน ไม่ใช่ไปทำสติโดยไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นถ้าเห็นประโยชน์อย่างนี้ มีโอกาสที่การสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เป็นเหตุให้ได้ฟังอีก เหมือนทุกคนที่อยู่ที่นี่ มาจากไหน ทราบไหม ชาติก่อนเป็นใคร และตั้งกี่ชาติมาแล้ว แต่ละชาติแต่ละชาติ แล้วทำไมได้ฟังธรรม แล้วก็เห็นประโยชน์ด้วย แล้วก็รู้ด้วย คำจริงต่างกับความไม่จริงหรือคำไม่จริง สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะสะสมความเป็นผู้ตรง แล้วก็เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งอุปติสสะมานพ ได้ฟังคำของท่านพระอัสสชิ อย่างนี้เลย แต่ปัญญาที่ถึงพร้อม ที่จะเกิด ใครก็ยับยั้งไม่ได้ ประจักษ์แจ้งความจริงทีละ ๑ รู้ชัดเป็นวิปัสสนาญาณ จนถึงการรู้แจ้งสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นใครยับยั้งอะไรให้เกิดได้ไหม เมื่อมีเหตุที่จะเกิด ฟังอย่างนี้ไม่ให้เข้าใจได้ไหม ถ้าเข้าใจก็ต้องเข้าใจ ใครจะไปยับยั้งว่าไม่ให้เข้าใจ เข้าใจมากหรือน้อยต่างกันใช่ไหม แม้ในครั้งพุทธกาลฟังพระธรรมด้วยกัน สุปปพุทธกุฏฐิ ขอทานโรคเรื้อนเป็นพระโสดาบัน คนที่ฟังธรรมไม่ใช่เป็นขอทาน ไม่ใช่โรคเรื้อน ไม่เข้าใจธรรมก็มี ใครจะรู้ เพราะฉะนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ถ้าไม่เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ว่าเป็นกิเลสระดับไหน หรือปัญญาระดับไหนทั้งสิ้น เมื่อเกิดแล้วจึงรู้ เพราะฉะนั้นกำลังสะสม ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เหมือนจับด้ามมีด และเมื่อสึกเมื่อไหร่ จึงรู้ว่าเพราะการจับด้ามมีดทีละเล็กทีละน้อย แต่กำลังจับไม่มีทางรู้เลย เหมือนเรานั่งฟังธรรมเดี๋ยวนี้ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่เราไปทำ ถ้าเป็นเราก็คือว่าไม่รู้จักว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ต้องเข้าใจในความลึกซึ้ง และมั่นคง ถ้าฟังธรรมก็ต้องรู้ว่า กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ที่มีปัจจัยเกิดขึ้นไม่ใช่เรา เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่เว้นสักอย่างเดียว ตามีจริงหรือเปล่า เกิดรึเปล่า ถ้ามีจริงก็ต้องเป็นธรรม และก็เป็นอนัตตาด้วย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดยิ่งขึ้น จนกระทั่งรู้ว่า๑ สิ่งที่เกิดอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง ไม่ใช่เพียง ๑ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นในขั้นการฟัง จนฟัง และสามารถที่จะค่อยๆ ละคลาย ความติดข้องด้วยความไม่รู้ และความเห็นผิด จนกว่าปัญญาอีกขั้นหนึ่ง สติสัมปชัญญะมีปัจจัยเกิด โดยความเป็นอนัตตา เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ เกิดโดยความเป็นอนัตตา ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็เกิดโดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นปัญญาที่เป็นสติสัมปชัญญะขณะนั้น ก็เกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตา แต่ต้องมีการฟังที่เข้าใจมาก่อน คือปริยัติไม่ใช่ไม่มีเลย ไม่รู้อะไรเลยไปสำนักปฏิบัติ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ประมาทในพระคุณของพระองค์หรือเปล่า พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วก็ไปทำ แล้วจะรู้อะไรนอกจากเข้าใจผิด คำไม่จริงทุกคำทำลายคำจริง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจผิด กล่าวตู่คำของพระองค์แล้วไม่เข้าใจ หันหลังให้พระองค์ ไม่มีทางจะกลับไปอีกเลย ถ้าไม่เข้าใจให้ถูกต้อง แม้ว่าจะเคยผิดมาแล้ว แต่พอฟังก็สามารถจะรู้ได้ ปัญญาสามารถเข้าใจถูกได้ ปัญญาคือความเห็นที่ถูกต้อง ความตรงว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะฉะนั้นปัญญาก็เป็นสภาพธรรม ซึ่งละความไม่รู้ และความเห็นผิด และกิเลสตามลำดับขั้น ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี ไม่มีทางที่จะไปดับกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้นขันติเป็นบารมีหรือเปล่า ความอดทน วิริยะความเพียร เป็นบารมีหรือเปล่า เราทำหรือเปล่า หรือมีปัจจัยเกิดเห็นไหม ถ้าไม่ตรงอย่างนี้ก็ไม่ใช่บารมี ต้องมั่นคงจริงๆ ไม่มีใครทำได้เลยเป็นธรรม ค่อยๆ เข้าใจความหมายของธรรม แล้วก็ค่อยๆ เห็นความเป็นอนัตตาของธรรมเพิ่มขึ้น การกระทำทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ขณะประมาทไม่ได้เลย ว่าลึกซึ้งต้องเข้าใจทีละคำ แม้แต่คำว่าธรรม ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ทรงแสดงไว้ครบถ้วน ไม่ให้หลงทาง ไม่ให้เข้าใจผิด ทางหลงง่ายไหม เพราะไม่รู้

    อ.อรรณพ จากข้อความในพระไตรปิฏกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปรียบเทียบ ว่าใบไม้ทั้งป่าเยอะมากเลย แต่ใบไม้ที่ในพระหัตถ์ กับมือนี่ก็เล็กน้อยพระองค์ก็ทรงแสดงสิ่งที่เป็นจริง ในส่วนที่เหมือนกับใบไม้กำมือเดียว

    ท่านอาจารย์ ใบไม้ ๒ ๓ ใบ กำมือเดียว นี่ใหญ่หรือเล็กแค่ไหน ๔๕ พรรษา ที่ทรงแสดงกี่คำ และกำมือไหนจะไปกำได้ แค่กำมือเดียว ฟังอย่างนี้ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง รู้จักแค่ไหน แค่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ๒ ๓ ใบหรือยัง ยังอีก กว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วใครล่ะจะถึงความเข้าใจพระปัญญา ซึ่งประดุจใบไม้ในป่า แม้ท่านพระสารีบุตร เป็นอัครสาวกผู้เลิศในทางปัญญา ปัญญาเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคนที่จะสรรเสริญพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ปัญญานั้นจึงสามารถที่จะล่วงรู้ถึง ปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นเพียงฟังแค่นี้รู้ไหมว่า การตรัสรู้ไม่ใช่เพียงแค่คิดเอาแล้วมาบอก แค่ขณะนี้เป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เลย พระปัญญาคุณที่บำเพ็ญนานเท่าไหร่ ตั้งแต่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามพระสมณโคดม คนในยุคนั้นอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เบิกบาน ถึงเขาไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมในสมัยพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็ยังมีโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรม ในสมัยของพระสมณโคดมได้ ซึ่งกว่าจะถึงสมัยของพระองค์ที่ได้ตรัสรู้ พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ได้พบพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ และการที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะบังเกิดขึ้น ตรัสรู้ความจริง นานเท่าไหร่ ต้องศาสนาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง อันตรธานไปหมดไม่เหลือเลย มิฉะนั้นก็ยังเป็นสาวก ตราบใดที่พระธรรมยังดำรงอยู่ ก็ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นสาวก แต่เมื่อใดที่หมดแล้วว่างแล้ว ก็เป็นสมัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า ระหว่างที่ยังไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่ใช่สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงพยากรณ์คนโน้น จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือคนนี้จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้เลย ปัญญาของใครระดับไหน เหมือนความคิดของแต่ละคน เดี๋ยวนี้ ใครรู้ เห็นไหม แค่นี้ยังไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้นความหลากหลายมากของธรรมแต่ละ ๑ ประมาณไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นสาวก ไม่ใช่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คือเป็นผู้ที่แม้ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การสะสมบารมีคือความเข้าใจ พร้อมทั้งความเพียรหรืออะไรทุกอย่าง ที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว ถึงเวลาที่จะรู้ห้ามไม่ได้เลย จะรู้สมัยไหน เพราะฉะนั้นแม้ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังมีผู้ที่สะสมบารมีที่ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสรู้เอง เพียงแค่เห็นกำไลมือ ๒ อันหรือ ๓ อันก็ตามแต่ กระทบกัน เห็นถึงการที่ว่าถ้าไม่มีเสียเลยจะดีไหม ปัญญาระดับไหน เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันธรรมดา ปัญญาที่ได้สะสมมาแล้ว สามารถที่จะเข้าถึงความจริง ถึงที่สุดได้ตามระดับขั้น เพราะฉะนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่จะเป็นไหม หรือว่าแค่สาวกก่อนแสนยาก เพราะว่ามีตั้งแต่พระอัครสาวก พระมหาสาวก จนกระทั่งถึงสาวกธรรมดา ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่เป็นพิเศษที่จะกล่าวถึง เพราะมากมายเหลือเกิน แต่ก็กล่าวถึงเฉพาะผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมี ถึงความเป็นพระอัครสาวกหรือพระมหาสาวก นี่ก็เป็นชีวิตธรรมดา ขอให้รู้ว่าคือธรรมหรือธาตุ ถ้าเราไม่ใช้คำว่าธรรม เราใช้คำว่าธาตุ หรือ ธาตุ ก็ได้เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงมีลักษณะที่ปรากฏว่ามีจริงๆ อย่างเสียง ใครจะบอกว่าไม่มี พอได้ยินก็ได้ยินเสียง เสียงมีแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีมีลักษณะ ที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เสียงต้องเป็นเสียง เป็นอื่นไม่ได้เลย มีลักษณะเฉพาะ แข็งเป็นเสียงไม่ได้ ใครเปลี่ยนแข็งให้เป็นเสียงได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมแต่ละ ๑ เป็นธรรมแต่ละ ๑ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นปรมัตถธรรม ปรม บรมยิ่งใหญ่ ใครเปลี่ยนไม่ได้เลย หวานเกิดแล้วดับแล้ว ใส่เกลือลงไปอีกหวานเก่าหรือเปล่า หวานเก่าดับแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นอีกได้เลยทั้งสิ้น เป็นได้แค่ ๑ ในสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่าจะเป็นเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ คิดเดี๋ยวนี้ จำเดี๋ยวนี้หรืออะไรก็ตามแต่ หาความเป็นของใคร หรือเป็นใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ ใน ๔๕ พรรษา ต้องเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ มิฉะนั้นแล้วจะฟังทำไม แต่ฟังเพราะรู้ว่ามีโอกาสที่จะเข้าใจยิ่งกว่านี้อีก แต่ต้องไตร่ตรองต้องมั่นคง และเป็นไปเพื่อการละ ถ้ามีใครบอกว่าไปนั่ง ๗ วันแล้วจะได้ปัญญา ถูกหรือผิด ปัญญารู้อะไร เดี๋ยวนี้ทำไมไม่รู้ และต้องไปไหน เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุผลจริงๆ จึงเป็นผู้ที่ได้เคยสะสมความเห็นถูกในอดีต จึงมีโอกาสได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง แล้วก็ได้เห็นถูก แต่ก็ต้องมั่นคงต่อไป สัจจะบารมีมั่นคงต่อความจริงว่า เดี๋ยวนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างว่าเกิดแล้วดับแล้ว แต่สิ่งนี้ยังไม่ได้ปรากฏ เพราะว่าต้องปรากฏกับปัญญา ไม่ใช่ปรากฏกับเรา ซึ่งไม่รู้แล้วไปพยายามทำให้รู้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความมั่นคงอย่างนี้จริงๆ ถึงความเป็นสัจจญาณะ เป็นปัญญาที่ไม่เปลี่ยนเลย ใครจะชวนไปไหนไปทำไม ไม่รู้อะไร ไหนบอกสิคืออะไร ถ้าเข้าใจเดี๋ยวนี้ได้ ทำไมต้องไป แล้วถ้าเป็นอนัตตาไปเพราะหวังใช่ไหม อัตตาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกอย่าง ต้องค้านกันหมดกับความเป็นจริง ถ้าเป็นคำที่ไม่จริง ด้วยเหตุนี้รู้ว่าอีกไกลเท่าไหร่ก็ตามแต่ เหมือนคนที่ได้ฟังคำพยากรณ์ ในสมัยพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เขาเบิกบาน ที่มีโอกาสที่จะฟังต่อไป เข้าใจต่อไป เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งสะสมมานานมาก ถ้าจะกล่าวถึงที่บรรจุ ไม่มีที่จะบรรจุได้เลย เต็มจักรวาลก็บรรจุความไม่รู้ และกิเลสไม่ได้ แต่ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิต ไม่มีรูปใดๆ เลยเจือปนทั้งสิ้น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่าง ๑ เห็นเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเพียงเห็น เพียงเห็นแต่พอคิดไม่ใช่เห็นละ เพราะฉะนั้นความรวดเร็วอย่างยิ่งของธรรมต้องอาศัยความอดทนขันติอย่างยิ่ง ดีไหม ไม่ใช่เรานะ แต่ถ้าไม่มี ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมได้เลย

    เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ก็ทรงจำแนกไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง มีจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ในการที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ยังต้องอาศัยเจตสิก จึงเป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิดได้ และเจตสิกเท่าไหร่ในจิตแต่ละขณะนี้ ต่างกันไป ตามประเภท ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ พระมหากรุณาที่ทรงแสดงไว้ ให้คนที่ได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจเพื่อละ ทั้งหมดเพื่อละความไม่รู้ เพื่อที่จะได้เบิกบานที่ได้มีโอกาสได้ฟังธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเข้าใจได้ เพราะว่าเป็นคำที่ยากยิ่ง ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง และก็เป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องของความถูกต้อง ที่จะต้องช่วยกันพิจารณา เพราะเหตุว่าในครั้งพุทธกาล พุทธบริษัทมี ๔ ในครั้งพุทธกาล ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงประสงค์ให้สตรีบวช เพราะฉะนั้นที่ทรงอนุญาต ก็เพราะเหตุว่าในกาลนั้น มีผู้หญิงที่ได้สะสมบารมี ถึงการที่จะได้รู้แจ้งตรัสรู้ธรรมดับกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นก็แสดงชัดเจน ว่าเพศภิกษุเป็นเพศของพระอรหันต์ เพราะอะไร คฤหัสถ์ก็สามารถที่จะเป็นพระโสดาบันได้ ขัดเกลากิเลสดับกิเลส จนกระทั่งถึงความเป็นพระอนาคามี ต่อเมื่อใดรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์จะเป็น เพศคฤหัสถ์จะมีชีวิตอย่างเพศคฤหัสถ์ไม่ได้เลย โดยการที่หมดกิเลส จะมาอยู่กับคนที่เต็มไปด้วยกิเลส ได้อย่างไร สุดวิสัยที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจจริงๆ ถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    6 พ.ย. 2567