ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1218


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๑๘

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจจริงๆ ถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่งของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้คนที่ได้ฟังคำของพระองค์มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และมีความประพฤติที่ถูกต้องตรง ตามคำของพระองค์ด้วย จึงชื่อว่าพุทธบริษัท ซึ่งในครั้งโน้น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ที่ฟังธรรมไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นอุบาสกอุบาสิกา หรือว่าเป็นพุทธบริษัท แต่ที่พุทธบริษัทต่างกัน ไม่ใช่มีใครไปบังคับเลย ว่าให้บวช หรือว่าไม่ใช่ว่าเหตุผลอื่น แต่เหตุผลที่ว่าได้รู้จักตนเองตามความเป็นจริง ใครสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงประพฤติอย่างไร ผู้นั้นขัดเกลากิเลสโดยการที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ที่ได้ทรงบัญญัติไว้ด้วยพระมหากรุณา พ่อแม่รักลูก อบรมลูก สอนลูกทุกอย่าง เพื่อที่จะให้ลูกดี แต่พ่อแม่ก็ยังมีกิเลส แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีกิเลสเลย ทรงเห็นแก่ประโยชน์ของคนที่สะสมอัธยาศัย ที่สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ ทรงแสดงธรรมเพื่อเขาจะได้รู้จักตัวเอง แล้วก็จะเป็นคฤหัสถ์ หรือจะเป็นพระภิกษุ ไม่มีใครบังคับเลยทั้งสิ้น แต่ต้องเป็นด้วยความจริงใจ เพราะฉะนั้นคือความจริงใจ ของผู้ที่ละอาคารบ้านเรือน ก็คือว่าเห็นพระคุณอย่างยิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติพระวินัย ให้ผู้ที่เป็นภิกษุ ซึ่งมาจากต่างทิศต่างทางต่างถิ่น จะอยู่รวมกันด้วยความผาสุขได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทรงดูแลภิกษุ ยิ่งกว่ามารดาบิดาดูแลบุตร เพราะเหตุว่ามารดาบิดาไม่สามารถที่จะให้ความเข้าใจธรรม อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เท่าที่แต่ละท่านสามารถที่จะอบรมดูแลลูกได้แต่คิดถึงพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นใคร

    เพราะฉะนั้นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ทำให้ทรงบัญญัติสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่ผู้ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะว่าเพศบรรพชิต จะขัดเกลากิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์หรือถ้ายังไม่ถึงก็ศึกษาธรรม ด้วยการรู้ประโยชน์อย่างยิ่ง แล้วก็ไม่ใช่อย่างคฤหัสถ์ จะทำกิจอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะว่าสำนึกตนเองว่า ได้สละเพศคฤหัสถ์แล้ว ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกัน ต่างกันเพียงเสื้อผ้า คือว่าคนนี้ก็ใส่ผ้าเหลือง อีกคนที่เป็นคฤหัสถ์ก็ใส่อะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ความประพฤติเหมือนกัน อย่างนั้นหรือไม่ใช่เลย แม้ผ้ากาสวพัสตร์ ก็เป็นผ้าที่ชาวบ้านไม่ต้องการ โจรขโมยไม่ต้องการ ทิ้งแล้ว ท่านก็เก็บมาสะสมเย็บจีวร ทุกอย่างที่ทรงบัญญัติไว้ เพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย แต่เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่จะทำให้กิเลสเกิดกำเริบ ผู้นั่นไม่ใช่ภิกษุ ด้วยเหตุนี้เมื่อคิดถึงพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณ และพระบริสุทธิคุณ รู้ว่าประโยชน์อย่างยิ่งที่ทรงบัญญัติ สิ่งที่ภิกษุสามารถประพฤติปฏิบัติตามได้ ด้วยความผาสุก จึงได้ทรงบัญญัติ ใครจะเปลี่ยน ใครรู้มากกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครคิดว่าภิกษุจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ควรที่จะแก้ไขสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติแล้ว ผู้นั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไม่เห็นคุณของพระองค์ด้วย

    ด้วยเหตุนี้เมื่อเป็นผู้ที่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนศึกษาพระธรรม ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง คือทุกคำ ทีละคำ และถ้าเป็นคฤหัสถ์ ก็ขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ คือประพฤติปฏิบัติตามความเข้าใจที่ได้เข้าใจขึ้น สำหรับพระภิกษุต้องประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรม และพระวินัย เพราะเหตุว่าพระวินัยก็คือพระธรรม ธรรมก็คือวินัย เพราะเหตุว่าวิริยะหมายความถึงนำกิเลสออก ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม อะไรจะนำกิเลสออกได้ เพราะฉะนั้นพระวินัยทั้งหมด ก็คือความประพฤติปฏิบัติ ของผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ ของการประพฤติอย่างนั้น และสามารถจะประพฤติตามได้ จึงบวชเป็นพระภิกษุ แต่ถ้าใครไม่สามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน ก็ขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ได้ รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ไม่มีใครติเตียนเลย เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทไม่ใช่มีแต่ภิกษุ ในครั้งนุ้น ภิกษุณีด้วย แต่ว่ายุคสมัยเขาทำให้พระองค์ทรงบัญญัติ จนกระทั่งสิกขาบทของพระภิกษุณี ทำให้พระภิกษุณีค่อยๆ หมดสิ้นไป ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พระภิกษุณีหมดสิ้นไปแล้ว ไม่มีใครที่จะเป็นพระภิกษุณีได้อีกเลยตามพระวินัยบัญญัติด้วย ไม่ใช่อยากเป็น เห็นไหม อยากเป็นภิกษุ กับหมดกิเลสอย่างไหนจะดีกว่ากัน ขัดเกลากิเลสก็เป็นพระภิกษุ ซึ่งไม่เห็นคุณของพระวินัยเลย ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม อย่างไหนดีกว่ากัน และอย่างไหนเป็นโทษ

    เพราะเหตุว่าภิกษุต้องอาศัยคฤหัสถ์ ชีวิตจะดำรงอยู่ได้ คิดดู ไม่ใช่ด้วยการเที่ยวขอชาวบ้าน คฤหัสถ์เดือดร้อน คฤหัสถ์ขอใครก็ได้ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง พระภิกษุทำอย่างนั้นไม่ได้ นอกจากพระวินัยบัญญัติซึ่งวางไว้ ว่าถ้าบุคคลนั้นปวารณาที่จะอนุเคราะห์ จึงสามารถที่จะแจ้งความประสงค์ได้ แต่ต้องในสิ่งที่ควร ไม่ใช่เงินทองหรือสิ่งที่ไม่ควรแก่พระภิกษุ แล้วก็ถ้าเขาปวารณาไว้เท่าไหร่ กี่วัน ก็ต้องเพียงเท่านั้น เกินกว่านั้น ก็ไปรบกวนหรือว่าไปบอกไปแจ้งไม่ได้แล้ว เพราะว่าทำให้คนอื่นลำบากไหมที่ไปขอเขา ทุกอย่างของพระภิกษุในพระธรรมวินัย งามอย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส เพื่อประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้คฤหัสถ์เห็นภิกษุ กราบไหว้ เคารพในอะไร ในความที่บุคคลนั้นสะสมมา ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น สมควรไหม ที่จะเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ถ้าใครรู้ว่าตนเองไม่สามารถที่จะรักษาได้ ประพฤติตามพระวินัยได้ ลาสิกขาบทเมื่อไหร่ ได้ทันที ไม่ได้มีการที่จะต้องไปยับยั้งไว้เลย แม้แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ก็ทรงแสดงจนกระทั่งภิกษุที่ฟัง ๖๐ รูปลาสิกขาบท เห็นไหม เพราะได้เข้าใจถูกต้องว่าตนเอง ไม่สามารถที่จะดำรงเพศภิกษุ และถ้าประพฤติผิดก็เป็นโทษอย่างยิ่ง พระมหากรุณาที่ทรงแสดงพระสูตรนั้น เพื่อภิกษุที่ประพฤติผิดจะได้สำนึก

    เพราะฉะนั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้นทุกข้อ ทั้งพระธรรม และพระวินัย ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้ว และถ้ามีความเคารพจริงๆ เห็นประโยชน์อย่างยิ่งในพระวินัยทุกข้อ ว่าเป็นเรื่องของการขัดเกลากิเลส เพราะได้เข้าใจธรรมสิ่งนั้นควร เราชาวบ้าน กิเลสเยอะยังไม่ค่อยเห็นเลย แต่ถ้าศึกษาพระวินัยเพียงอ่านก็เห็นความต่างกันแล้ว ว่ากิเลสของคฤหัสถ์มากแค่ไหน คิดดู และมีผู้ที่ชี้โทษว่า ถ้าจะขัดเกลากิเลสอย่างบรรพชิต ต้องประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าทำได้ไหม คฤหัสถ์หัวเราะกันเล่นได้ ใช่ไหม ภิกษุสนุกสนานอย่างคฤหัสถ์ได้ไหม ไม่ได้ ทุกข้อหมดขัดเกลากิเลส อาหารแค่อิ่มพอไหม เปรี้ยวหวานมันเค็มกิเลสหรือเปล่า จะขัดเกลากิเลสก็รู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อปัญญาปรากฏ เพราะเหตุว่าปัญญาไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ เมื่อเข้าใจธรรมเมื่อไหร่ นั่นแหละไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาปรากฏตามลำดับขั้นไม่พอเลย จนกว่ากิเลสจะดับเป็นสมุทเฉท ตามลำดับขั้น นี่คือชีวิตของพระภิกษุ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เป็นภิกษุอย่างนี้ ก็ทำลายพระศาสนา เพราะเหตุว่า พุทธบริษัทต้องรู้จักพระภิกษุเป็นใคร เราไม่ใช่พระภิกษุ แต่พระภิกษุตามพระธรรมวินัย เราสามารถที่จะเคารพ และก็อนุเคราะห์ได้ เพื่อความเจริญ และความดำรงอยู่ของพระศาสนา แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรม หรือว่าผิดจากพระธรรม คิดเองสอนเองพูดเอง คำไม่จริงทุกคำทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ที่กล่าวเราก็กล่าว สำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านผู้หนึ่งท่านบอกว่า คำไม่จริงทุกคำทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เฉพาะสำนักปฏิบัติ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นจะเห็นค่าอย่างยิ่งของพระพุทธศาสนา ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจพระธรรม และพระวินัย ด้วยเหตุนี้วัดในครั้งพุทธกาล เป็นที่อยู่ของผู้สงบ คิดดู พระภิกษุคือผู้สงบ เพราะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต มีตลาดนัดที่พระวิหารเชตวันหรือเปล่า มีเครื่องลางของขลังต่างๆ ตามวัดหรือเปล่า แล้วทำไมยุคนี้เป็นพุทธบริษัทรึเปล่า เข้าใจธรรมหรือเปล่าว่าเพื่อการขัดเกลา ผ้ายันต์หรือของขลังต่างๆ คิดดู กับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทียบกันได้ไหม อะไรที่น่าอัศจรรย์ อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คำสอนแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้คนซึ่งไม่เคยเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ ก็ได้ค่อยๆ รู้ความจริงขึ้น เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่ในสังสารวัฎฏ์ ได้มีโอกาสได้ฟังคำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นผ้ายันต์ของขลังทำให้เกิดอะไรขึ้น เข้าใจธรรมได้ไหม ไม่ได้ แล้วชาวพุทธหรือ ที่ไปคิดว่านั่นแหละนำมาซึ่งอะไรก็ไม่รู้ นอกจากความติดข้อง แล้วคิดดู ผ้าผืนหนึ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ยังไงทำไมไม่คิด ใครทำได้ ทำได้จริงๆ หรือเปล่า เชื่อได้ยังไง ข้อสำคัญใครทำ มีกิเลสเต็ม แล้วทำผ้ายันต์ขึ้นมาได้หรือ แต่ก็เอาไปบูชากัน เชื่อว่าสามารถที่จะเป็นสิ่งที่นำโชคลาภ หรือแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ ไม่รู้หรือว่า เห็นยังเลือกไม่ได้เลย บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ห้ามได้ไหม เกิดแล้วตามปัจจัยคือกรรม ถ้าเป็นผลของกุศล เหตุดีที่ได้กระทำไว้ รู้ไหมว่าผลคืออะไร เกิดดี แสดงให้เห็นว่าแม้แต่การเกิดเป็นสัตว์ที่มีชีวิต ก็ต่างเป็นมนุษย์ เป็นงู เป็นปลา เป็นนก เป็นเสือ เป็นลิง ใครทำ ใครทำได้ ไม่มีใครทำอะไรได้เลย นอกจากกรรม เห็นความวิจิตรของธรรม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง

    ทุกอย่างที่ทรงแสดงไว้ ตั้งแต่เกิด เกิดแล้วต่อไปเป็นอะไร ต้องเห็น เลือกไม่ได้ ต้องได้ยิน ทุกอย่างเลือกไม่ได้ ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึก รู้หรือเปล่าว่า นี่แหละคือผลของกรรม ใครทำไม่ได้เลย ใครทำเห็นไม่ได้เลย แต่กรรมทำให้มีจักขุปสาท รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วมีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่เราเลย เพียงแค่เห็นดับละ ทรงแสดงความละเอียดยิ่งว่า จิตเกิดดับรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ หลังจากเห็นแล้ว เพียงแค่ ๓ ขณะกิเลสเกิดแล้ว เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ไม่รู้ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ให้สามารถรู้ได้ว่า แม้กิเลสอย่างนั้น ความเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงหนทาง จะทำให้คนนั้นสามารถที่จะดับแม้กิเลสซึ่งเกิดหลังจากที่เห็นแล้ว ได้ตามลำดับ นี่แสดงให้เห็นความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของปัญญา ความเห็นถูก ตามความเป็นจริง ซึ่งก็มีเกิดแล้วปรากฏ แต่ไม่รู้ แต่ผู้ที่สามารถที่จะตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง โดยประการทั้งปวง และทรงแสดงหนทางไว้ โดยคำแต่ละคำนำไปสู่ การเข้าใจความจริงที่จะดับกิเลสได้ แล้วภิกษุเป็นใคร คฤหัสถ์เป็นใคร ชาวพุทธเป็นใคร ถ้าไม่เข้าใจธรรมเป็นชาวพุทธหรือเปล่า แล้วถ้าทำสิ่งที่ให้เข้าใจผิดเช่น ผ้ายันต์ ตะกรุด ของขลัง ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า พระองค์ไม่ได้ตรัสเลยว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้หมดกิเลสได้ มีแต่งมงาย และเพิ่มกิเลส ไม่รู้หรือว่าใครทำตระกรุด พระอรหันต์ทำรึเปล่าพระโสดาบันทำหรือเปล่าเปล่า คนที่เชื่อเรื่องกรรมทำรึเปล่า เพราะฉะนั้นหลอกลวงใช่ไหม ให้คิดว่ามีสิ่งซึ่งสามารถจะบันดาลได้ โดยไม่รู้ว่าเหตุที่จะให้เกิดแม้เห็นคืออะไร ทุกขณะในชีวิตทุกอย่างที่มี นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระองค์เมื่อเห็นธรรม ต่างกับกราบไหว้พระองค์ สวดมนต์แต่แปลว่าอะไร พูดคำที่ไม่รู้จัก ก็พูดไป ข้ามคืนด้วย บางคนก็ฉลาดนอนก่อน ใกล้ๆ จะปีใหม่ ก็ตื่นขึ้นมาสวดข้ามคืน นี่หรือสัจจะ ความจริง กิเลสก็ไม่รู้จัก ขัดเกลากิเลสก็ไม่รู้แต่ก็ทำกัน

    เพราะฉะนั้นเป็นชาวพุทธหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่ใช่พุทธบริษัท ไม่ว่าภิกษุหรือคฤหัสถ์ ไม่ใช่พุทธบริษัท ถ้าเป็นพุทธบริษัท ก็คือว่าผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วก็เข้าใจ ปัญญาที่เข้าใจต่างหากที่ค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสต่างๆ เพราะฉะนั้นกิเลสมีมาก ดับได้แต่ต้องด้วยความรู้ เพราะกิเลสเกิดจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะไปถือศีลดับกิเลสได้ไหม อยากบวชดับกิเลสได้ไหม ถ้าไม่เข้าใจธรรมไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าไม่มีทางที่ใครจะรู้ความจริงของสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ นอกจากผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงกาลที่จะตรัสรู้ ยับยั้งได้ไหม วันเพ็ญเดือน ๖ ถึงเวลาตอนเช้า ก็ยังตรัสรู้ไม่ได้ ต้องถึงเวลา เพราะฉะนั้นแต่ละคนฟังธรรม ต้องถึงเวลาไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย นอกจากการสะสมซึ่งเป็นปัจจัย ที่จะทำให้ค่อยๆ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นพระคุณ พุทธบริษัทต้องรู้ว่าใครเป็นภิกษุ ไม่เช่นนั้นก็อาจอนุเคราะห์บำรุงมหาโจร เพราะแม้แต่การนั่งฉันอาหารรวมกัน ภิกษุทุศีล ทรงแสดงว่าบริโภคด้วยอาการของขโมย เพราะเขาให้แก่ผู้มีศีล เพราะฉะนั้นผู้ทุศีลรับไปบริโภค ก็เหมือนขโมย มีคำมากมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เพื่อที่จะให้ผู้นั้นพ้นโทษที่เกิดจากกิเลส ที่จะนำเขาไปสู่อบายภูมิ เพราะเหตุว่าเขาทำลายคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจผิด และกล่าวคำผิดจากคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว

    ด้วยเหตุนี้คุณของพระธรรม และพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมาย เกินกว่าที่ใครจะประมาณได้ แต่โทษมากมาย ถ้าคนนั้นจะทำลายคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกิเลส ด้วยความไม่รู้ และด้วยความประมาท แม้แต่เพียงคิดที่จะแก้ไขพระวินัย คิดว่ายุคนี้ แล้วพระจะอยู่กินยังไง พูดอย่างชาวบ้านจะกินยังไง แต่ถ้าใช้คำธรรมดา จะฉันยังไงก็เหมือนกันใช่ไหม คือจะบริโภคยังไง พระภิกษุในครั้งพุทธกาลคิดอย่างนี้หรือเปล่า ไม่หวั่นไหวเลย ไม่เดือดร้อนเลย เพราะรู้ว่าสละเพื่อขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นไม่มีบ้านเลย อยู่ได้ไหม ออกจากเรือน ต้นไม้ไง ที่ไหนก็ได้ที่จะอยู่ได้ มีหรือ พื้นที่ในโลกนี้ที่อยู่ไม่ได้ ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละใช่ไหม อาหารล่ะ แค่อิ่มจริงมั้ย มีชีวิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีกายวาจาสงบ แค่เห็นคนก็รู้แล้วว่าผู้นี้ไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ได้ทำร้ายใครแล้วถ้ายิ่งได้ฟังคำที่กล่าวถึงความจริง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ที่ทุกคนกราบไหว้เคารพ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่สามารถ ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา คำของพระองค์ทุกคำที่เป็นคำจริงไม่ว่าใครจะพูด

    เพราะฉะนั้นคนที่ได้ฟังได้เข้าใจ ก็รู้จักว่าภิกษุคือใคร แล้วก็ชาวบ้าน ซึ่งไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ของการที่จะมีผู้ที่ศึกษาธรรม เพื่อที่จะรักษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลสโดยการประพฤติตาม ชาวบ้านก็กราบไหว้บูชาด้วย แล้วมีสิ่งใดซึ่งพุทธบริษัทจะอนุเคราะห์ ทั้งอาหารที่อยู่ เครื่องนุ่มห่ม ยารักษาโรค ผู้นั้นสามารถที่จะมีชีวิตดำรงอยู่ ถ้าภิกษุในยุคนี้ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นคุณของพระวินัย คิดว่ายุคนี้ต้องมีเงิน คิดดู เอาเงินไปทำอะไร ใครจะตอบ ทุกอย่างได้จากคฤหัสถ์ แต่ต้องพอเพียงตามพระธรรมวินัย เกินกว่านั้นไม่ได้ เกินกว่านั้นไม่ใช่ภิกษุ แล้วถ้าภิกษุไม่ศึกษาธรรม แต่คิดเอง สำนักปฏิบัติ คิดได้ยังไง ปฏิปัตติ ไม่ใช่คนไม่รู้ไปปฏิบัติ แต่ปัญญาที่เข้าใจธรรม ถึงกาละที่ความเป็นอนัตตา ของสติสัมปชัญญะจะเกิด ก็ต้องเกิดยับยั้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นสติปัฎฐานก็เหมือนเห็น เหมือนได้ยิน ถ้ามีปัจจัยจึงเกิดได้ แต่ถ้าเป็นการที่จะเข้าใจธรรม ต้องเป็นปัญญาตั้งแต่ขั้นฟัง แล้วก็ละความเป็นเราที่จะทำ เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ แต่ปัญญาค่อยๆ ละความเป็นตัวตน และสามารถที่จะเข้าถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยความเข้าใจ ที่สะสมจากการฟัง สภาพธรรมนั้นปรากฏกับปัญญา โดยความเป็นอนัตตา ยิ่งมั่นคงชัดเจน ในความไม่มีเราที่จะทำ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นปัญญาทุกระดับขั้น นำมาสู่ความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่เกิดเพราะปัจจัย ไม่ว่ากี่แสนโกฏกัปป์มาแล้ว หรือต่อไปข้างหน้าก็ไม่มีเรา ลองคิดดู แข็งเดี๋ยวนี้ ใครไม่ให้แข็งเกิดได้ไหมเกิดแล้ว เห็นใครไม่ให้เกิดได้ไหม เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ไม่อิสระ เพราะต้องเป็นไปตามปัจจัย ถ้าโกรธเกิดขึ้นนิดเดียว ให้พยาบาทได้ไหม ไม่ได้ ก็แค่นั้น ปัจจัยที่จะให้แค่ขุ่นใจ จะให้เกินกว่านั้นได้ยังไง วาจายังไม่ได้ว่าใครเลย ไม่ละโมภโลภมาก ก็เพียงแค่เห็นแล้วก็สวยดี ก็แค่นั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลาย แค่เกิดมา ๑ ในสังสารวัฎฏ์แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่มากมายจนประมาณไม่ได้ แต่พระองค์ก็ทรงจำแนก โดยเป็นประเภทใหญ่ๆ ตามที่สามารถที่จะเข้าใจได้ ตามลำดับขั้น ซึ่งปรากฏรวบรวมไว้เป็นพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ แม้แต่อนัตตาก็กลายเป็นอัตตาให้ทำสมาธิ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    6 พ.ย. 2567