ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1225


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๒๕

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา จะต้องต่างกับขณะซึ่งปัญญาขั้นฟัง เพราะฉะนั้นปัญญาที่สามารถที่จะรอบรู้ในปริยัติ ละความหวังละความต้องการ เพราะเข้าใจความเป็นอนัตตา จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของธรรมทีละ ๑ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า มีคนตั้งเยอะ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ยังไม่เป็น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนนั้นรู้เอง เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ถ้าสิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้นจะรู้ไหม แม้แต่คำว่าสติ ยังมีคำว่าสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้นสติเป็นโสภณสาธารณะเจตสิก สาธารณะคือทุกประเภท จิตทุกประเภท ต้องมีที่เป็นกุศล จะต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย กำลังฟังไม่มีใครรู้หรอกว่า จิตนี้มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เท่าไหร่แล้วดับไป และจิตขณะต่อไปมีจิต และเจตสิกเกิดเท่าไหร่ดับไป แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงความชัดเจนว่า แม้สมาธิคือเอกัคตาเจตสิก ในขณะนี้ไม่เป็นเหตุใกล้ที่จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเหตุใกล้นี่เมื่อไหร่ ก็จะต้องมีความเข้าใจต่อไปอีก โดยความที่คนที่จะอ่านพระไตรปิฏกได้เข้าใจ ก็คือคนที่เข้าใจคำ ที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ตรงนี้หมายความถึง วิปัสสนาญาณ เพราะเหตุว่าสภาพธรรม ๑ ปรากฏกับปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอด เพราะฉะนั้นลักษณะของความเป็น ๑ ก็ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นสมาธิความตั้งมั่นก็ชัดเจน เหมือนกับคู่กันไป ที่ว่าทำไมเวลานี้ก็มีความเข้าใจว่า เห็นไม่ใช่เรา เห็นเป็นธรรม แต่ไม่ใช่ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งแทงตลอด เพราะฉะนั้นเอกัคตาก็มี จะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ไหม ยังไม่ใช่ระดับที่จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น จนกว่าปัญญานั้นจะเพิ่มขึ้น แล้วลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นเจตสิก แต่ละประเภทจึงปรากฏ แม้แต่สติ ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ลักษณะของสติก็ไม่ปรากฏ เพราะเดี๋ยวนี้ที่กำลังเข้าใจธรรม สติเจตสิกก็เกิดแล้วก็ดับพร้อมกับเจตสิกอื่น พร้อมกับปัญญาที่เข้าใจ แต่ต่างระดับกับปัญญาที่เจริญขึ้นจนถึงปฏิปัตติ ซึ่งเป็นการรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ เพราะได้ฟังมามาก จนความเข้าใจเกิดตรงนั้น รู้ตรงนั้น แต่ก็ยังไม่พอ ก็จะต้องอบรมเจริญต่อไป และผู้นั้นก็รู้ว่านี่ยังไม่ใช่การที่จะหมดกิเลส เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่พอ เมื่อไม่พอก็อบรมเจริญต่อไปอีก จนกระทั่งเมื่อไหร่ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ลักษณะของสมาธินั้นก็ปรากฏพร้อมกับปัญญา แต่ว่าในขั้นของสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฎฐาน ลักษณะของสติที่เกิดพร้อมปัญญาปรากฏ ซึ่งขณะนี้เข้าใจแต่ลักษณะของสติไม่ได้ปรากฏ ทั้งๆ ที่เกิดพร้อมกัน เพราะฉะนั้นก็เป็นอินทรีย์ก่อน และก็เป็นพละ และก็เป็นธรรมขั้นสูงต่อไปอีก ซึ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องไปจำชื่อไว้ก่อน แต่ว่าให้รู้ว่ามากมายหลายระดับ และสามารถที่จะรู้ด้วยปัญญา เพราะปัญญาสามารถเข้าใจ ความจริงถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้นก็หมดความสงสัยว่า สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา เมื่อไหร่ ระดับไหน

    อ.วิชัย ถ้าจะกล่าวถึงการอบรมเจริญปัญญา ก็คือเป็นปัญญาที่เกิดขึ้น ที่จะเข้าใจความเป็นจริงที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นธรรมหนึ่งธรรมใด เพราะฉะนั้นบุคคลที่มีเมตตาจิตเกิดขึ้นเป็นปกติของบุคคลนั้น และเมื่อฟังพระธรรมแล้ว ปัญญาที่สะสมมาที่จะรู้ลักษณะของจิตที่ตั้งมั่น ที่เป็นไปในความสงบของจิต โดยนัยนั้นจะกล่าวถึงความเป็นเหตุใกล้ของปัญญาไหม ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ทำไมจะต้องคิดถึงคำ นี่ใช่ไหม นั่นใช่ไหม เรียนคำหมดเลย แต่ว่าตัวจริงอยู่ไหน เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ใช่เพื่อไปจำคำ และเรื่องราว กล่าวเรื่องสติปัฎฐานมีกี่บรรพะอะไร อย่างอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่เลย แต่ต้องเป็นการเข้าใจคำที่ได้ฟังว่า คำนั้นหมายถึงสภาพธรรมอะไร อย่างเดี๋ยวนี้กำลังเห็นนี่ จิตเกิดขึ้นโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปรากฏเกิดขึ้นโดยปัจจัย ที่สมควรแก่สิ่งนั้นๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นก็มี เจตสิก ๗ ได้ยินก็มี เจตสิก ๗ เป็นศรัทธาหรือยัง หรือจะเป็นศรัทธาให้เกิดปัญญาหรือยัง ไม่ใช่เรื่องที่เราจะคิด แต่เป็นเรื่องที่เราเข้าใจถูกต้องว่า แม้แต่เอกัคตาเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นองค์หรือเป็นตัวสมาธิ ก็มีหลายระดับขั้น ขั้น ๑ ก็คือตั้งมั่นในอารมณ์เท่านั้น เช่นเห็น ไม่ได้เห็นอย่างอื่นเลย เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เห็นเสียง ไม่เห็นกลิ่น ต้องเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเอกัคตาเจตสิกตั้งมั่นที่นั่น ทำไมจะต้องมากล่าวว่า แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า โน่นเป็นอะไรหรือเปล่า ใช่ไหม แต่ให้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา แล้วก็เวลาที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ตัวสภาพธรรมที่ปรากฏตรงกับที่ได้ฟัง ไม่เปลี่ยนเลยตามความเป็นจริง อย่างสติขณะที่กำลังเข้าใจขั้นนี้ มี ไม่ปรากฏ แต่พอถึงสติปัฎฐานต้องถามใครไหม เห็นไหม

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ได้ฟังเข้าใจ และเวลาที่สภาพธรรมเกิดขึ้น จึงเข้าใจ แต่ถ้าคนที่ไม่ได้มีความเข้าใจ ไม่ได้ไตร่ตรองเลย ฟังธรรมท่องครบถ้วน พระไตรปิฏกก็มีคนท่องได้ ปริเฉทต่างๆ ก็นับกันไป อะไรกันไป แต่ว่าเวลาที่สภาพธรรมปรากฏไม่รู้ แข็งกำลังปรากฏก็ไม่รู้ เสียงกำลังปรากฏก็ไม่รู้ ได้ยินกำลังได้ยินก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังเรื่องราวของธรรมโดยที่ไม่รู้ว่า ฟังเพื่อให้เข้าใจธรรมที่กำลังมี ไม่ใช่ฟังเพียงชื่อเท่านั้นเอง แล้วก็ไปนั่งจำต่างๆ แต่ฟังเพื่อให้ถึงความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งเริ่มจากการคิดก่อน คิดตามที่ได้ฟัง ทุกอย่างมีจริงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ฟังกี่ครั้ง จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง กี่กัปป์ใช่ไหม แต่พอถึงความจริงทันทีที่ได้สะสมมา ก็สามารถที่จะรู้ และก็ไม่ต้องไปนั่ง คิดว่าอันนี้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นเวลาฟัง การฟัง และความเข้าใจค่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ ที่เราเรียนมาทั้งหมด เราเรียนชื่อ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ท่องได้ครบเลย ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้ขันธ์ไหน ขันธ์คืออะไรก็ไม่รู้ใช่ไหม แต่ว่ามีลักษณะของธรรมปรากฏ ให้ค่อยๆ เข้าใจความต่างที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะอย่างนั้น ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างแข็ง จะเปลี่ยนแข็งไม่ได้เลย สภาพรู้แข็งก็เปลี่ยนไม่ได้ ไปรู้อื่นก็ไม่ได้ ต้องรู้แข็ง ขอให้เริ่มเข้าใจคำที่เราได้ยินว่าตัวจริง และมีในชีวิตประจำวัน แต่ถูกปิดบังไว้ด้วยความเป็นเรา เพราะความไม่รู้ มานานมาก เพราะฉะนั้นก็ให้ค่อยๆ ฟังธรรมเข้าใจ และก็เข้าใจธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นสภาพธรรมด้วย และก็สิ่งที่ได้ฟังทั้งหมด ก็จะปรากฏเมื่อถึงเวลาก็รู้ ตรงกับที่ได้ฟังทุกอย่าง

    ผู้ฟัง จะขอความเมตตา มีนักเรียนพยาบาล กับนักเรียนผู้ช่วยพยาบาล อาจารย์จะเกื้อกูลอะไร ที่เป็นเบื้องต้นให้แก่เด็กๆ สักนิดหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำไหน จะเข้าใจดี หรือว่าผ่านไป ประโยชน์อยู่ที่ควรเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยากที่จะได้ฟังในสังสารวัฎฏ์ เพราะเหตุว่านานแสนนาน กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะอุบัติขึ้น ต้องบำเพ็ญบารมีนานมาก กว่าจะรู้ความจริงที่เราได้ฟัง ทั้งหมดนี้ เป็นความจริงที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่า มีคนที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้น เป็นประโยชน์ไหม ที่จะเข้าใจ และก็ไม่ควรจะประมาท คิดว่าง่ายเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง มีก็จริงปรากฏก็จริง แต่ไม่เคยรู้ความจริง ก็เข้าใจผิดยึดถือว่าเป็นเรา มานานแสนนาน เพราะฉะนั้นกว่าจะละความเป็นเราได้ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจจากการฟัง ความเข้าใจต่างหากที่ละความเป็นเรา ค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรม ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ใครเลยไม่ใช่เจตสิกอื่น ไม่ใช่คนหนึ่งคนใด แต่ปัญญาเจตสิกที่มีความเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อยนี้ และจะค่อยๆ ละคลายความเห็นผิด และการยึดมั่นว่าเป็นสัตว์ เราเป็นของเรา ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดกิเลสมากมาย มหาศาล ซึ่งโลกเต็มไปด้วยภัยพิบัติต่างๆ ก็เพราะอกุศลธรรมความไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นปัญหาทุกปัญหา ก็มาจากความไม่รู้ และก็จะมีปัญหาต่อไป เพราะฉะนั้นถ้าเรายังคงไม่รู้ความจริง แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนล้วนมีปัญหา แล้วจะแก้ยังไง หนทางเดียว เมื่อได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญหาทั้งหลายก็ค่อยๆ ลดไป เพราะรู้ว่าเป็นธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เหตุดีย่อมนำมาซึ่งผลที่ดี เพราะฉะนั้นปัญญาก็จะถือเอาในสิ่งที่ควร ละทิ้งสิ่งที่ไม่ควร ซึ่งถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้

    สนทนาธรรมที่บ้านคุณมะลิวรรณ รัตนประสิทธิ์

    วันที่ ๑๐ เมษายนพุทธศักราช ๒๕๖๑

    ผู้ฟัง เรียนท่านคำว่าไม่มีเรา ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน

    ท่านอาจารย์ เราก็มีการศึกษาวิชาอื่นมากมาย แต่วิชาไหนๆ ก็ไม่เทียบได้ กับการที่จะรู้จักตัวเอง แล้วก็รู้จักสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่มีทางรู้จักเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นใคร หรือว่าเป็นอะไร ก็เข้าใจว่ามีเราแน่นอน แต่ว่าตามความจริง จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ และได้ทรงแสดง ก็แสดงความจริงให้เราเริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เช่นใครก็ไม่สามารถที่จะคิดได้ด้วยตัวเอง เช่นขณะนี้เห็นมี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็น ใครว่าไม่สำคัญ บางคนบอกพูดแค่ ตา หู จมูก ลิ้น กายทุกวัน มีแต่เห็น มีแต่ได้ยิน แล้วไม่มีเห็น ไม่ได้ยิน ไม่มีชีวิตประจำวันแล้วจะมีอะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่าง ต้องเป็นจริงพูด ให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริง ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว ก่อนจะเกิดมีเราไหมเราอยู่ไหน เห็นไหม แล้วก็เกิดมา เกิด แล้วก็มาเป็นเรา ความจริงไม่ใช่เลย อะไรเกิดก็ต้องเป็นอย่างนั้น เห็นเกิดก็ต้องเป็นเห็น ได้ยินเกิดก็ต้องเป็นได้ยิน คิดเกิดก็ต้องเป็นคิด และทุกอย่างปรากฏเพียงชั่วคราว ซึ่งเราไม่ได้เคยสังเกตเลยว่า เพียงเห็นกับได้ยินก็ต่างขณะละ เห็นจะเป็นได้ยินไม่ได้ เห็นมีได้อย่างเดียว คือเห็นต้องเป็นเห็น และได้ยินก็จะเป็นเห็นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ไม่มีใครสนใจที่จะเข้าใจ และความจริงมีชั่วคราวแล้วก็หมดไป ชั่วคราวนี่สั้นมาก สั้นเกินกว่าที่ใครจะคิดว่า จะสั้นถึงเพียงนั้น จึงต้องมีการสืบต่อให้หลงเข้าใจผิด ว่าตั้งแต่เกิดจนตายก็มีเรา แล้วเขาเปลี่ยนไปทุกวัน เดี๋ยววันนี้เราก็เห็น เดี๋ยววันนี้ก็คิดต่างๆ พอถึงพรุ่งนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก็เป็นเราไปโดยตลอด แต่ว่าเมื่อวานนี้อยู่ไหน เมื่อวานนี้เป็นเราทั้งวันใช่ไหม แล้วเราเมื่อวานนี้อยู่ไหน ไปหาดูสิ เราเมื่อวานมีไหม เห็นเมื่อวานนี้ก็ไม่มี ได้ยินเมื่อวานนี้ก็หมดแล้ว จนกระทั่งเมื่อกี้นี้เอง ได้ยินก็หมดแล้ว เสียงที่ปรากฏว่ามีก็หมดแล้ว แต่ไม่มีใครมาบอก ให้เราเข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ไม่มีแล้ว ก็เกิดขึ้นมี แล้วก็ไม่มี จริงหรือเปล่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่ต้องไตร่ตรอง เพื่อจะได้เริ่มเข้าใจถูกต้องว่าจริงๆ แล้วหามีไม่ เพราะเหตุว่าตอนเกิด มีแล้วหามีไม่ ค่อยๆ โตขึ้นมาทุกวัน สิ่งที่มี แล้วก็หามีไม่ แม้เดี๋ยวนี้มีแล้วก็หามีไม่ คือจะต้องเป็นอย่างนี้ ไปทุกขณะจนกว่าจะตาย

    เพราะฉะนั้นมีเราจริงๆ หรือเปล่า หรือว่ามีสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้ อย่างได้ยินใครทำให้เกิดได้ เวลาได้ยินแล้วก็ไม่มีใครไปทำ แล้วได้ยินก็หมด ไปให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ได้ แค่นี้ก็ไม่มีใครจะคิด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์คิดดู สิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่งก็คือ สิ่งที่มีทุกวัน แต่ไม่เคยรู้แต่รู้ได้ ต่อเมื่อใดมีความใส่ใจ สนใจค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าจริงๆ แล้วทุกอย่าง ไม่เหลือทุกวัน อาหารมื้อเช้านี้อร่อยไหม ใครยังอร่อยอยู่บ้าง หมดเลยไม่เหลือ ประเดี๋ยวอาหารกลางวันอร่อยไหม อร่อยอีกแล้วไง ก็หมดไปก็ไม่เหลือ ตอนเย็นตอนค่ำเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น สิ่งที่มีก็มีเพียงแค่ชั่วคราว แต่ว่าเพราะความไม่รู้ ก็เข้าใจว่าเป็นเรา แล้วก็เป็นของเราด้วย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ร่างกายของเราใช่ไหม ไม่ใช่ของคนอื่นนะ ของเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พอไม่มีจิต ตาย ไหนของใคร ทำอะไรไม่ได้เลย พูดไม่ได้ นั่งไม่ได้ เดินไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เลย แล้วนี่หรือของเรา เป็นของใครก็ไม่รู้ ซึ่งต้องเอาไปใส่เตาเผา คิดดูสิของใครไม่มีของใครเลย แต่ขณะใดก็ตามที่ยังมีจิตใจ ยังมีการคิด การทำให้เดินให้พูดได้ต่างๆ นาๆ ก็ยังคิดว่านี่คือของเรา แต่ทั้งหมดแม้แต่จิตใจก็ไม่ใช่ของเราประเดี๋ยวดี ประเดี๋ยวไม่ดี ประเดี๋ยวสุข ประเดี๋ยวทุกข์ ประเดี๋ยวชอบ ประเดี๋ยวไม่ชอบ แต่ละอย่างก็หมดไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นถ้าค่อยๆ คิดว่า วันหนึ่งเราต้องจากโลกนี้ มีใครไม่ตายบ้าง วันนี้ก็ได้ใช่ไหม แต่ไม่ได้คิดเลยว่าเราอาจจะตายวันนี้ เย็นนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าตายเดี๋ยวนี้จริงๆ ตรงเลยใช่ไหมว่า เดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่พอยังไม่ตาย ก็เย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ เดือนนี้ก็ได้ ปีนี้ก็ได้ ต่อไปอีกเรื่อยๆ จนถึงชาตินี้ก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องตาย แล้วเกิดมาทำไม เห็นไหม

    มีใครเคยคิดบ้างว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเห็นแล้วก็ไม่เห็น เกิดมาได้ยินต้องแล้วก็ไม่ได้ยิน เกิดมาชอบแล้วก็ไม่ชอบ เกิดมาสุขแล้วก็ไม่สุข เกิดมาทุกข์แล้วก็ไม่ทุกข์ แต่ต้องเกิด บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเห็นแล้วว่าเกิดแล้วแน่ๆ ทุกวัน เกิดทุกวัน เมื่อวานนี่ก็ตายแล้ว ไม่เหลือเลย วันนี้ก็เกิดใหม่ วันนี้ก็กำลังจะใกล้สิ้นสุดตายของวันนี้ พรุ่งนี้ก็เกิดอีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยเรื่อย แล้วเราอยู่ไหน ความจริงก็คือว่าไม่มีเราแต่มีธรรมทั้งหมดที่พูด ธรรมคือสิ่งที่มีจริง อะไรที่จริงเป็นธรรมหมด ธรรมก็คือว่าไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในมีอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ บังคับให้มีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมดในบ้านเป็นธรรมหมดเลย แต่ละ ๑ แต่ละ ๑

    อ.วิชัย ก็เหมือนอย่างที่คุณมะลิวัลย์กล่าว ตอนแรกว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่นั่นไม่ใช่เพียงพูดว่าไม่มีเรา แต่ต้องรู้ว่าอะไรที่ไม่ใช่เรา ก็ต้องสิ่งที่มีขณะนี้ ที่ปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องได้ ความมั่นคงที่จะเข้าใจความเป็นจริง ถ้าไม่มีปัจจัยของปัญญาที่เกิดเข้าใจสิ่งนั้น บ่อยๆ เนืองๆ จนมั่นคง ความยึดถือความเป็นตัวเรา ที่สะสมมานาน ก็ยังมีความยึดถืออยู่ ซึ่งไม่ใช่ง่ายเลย ที่จะคลายความยึดถือนั้นได้

    ท่านอาจารย์ เมื่อกี้เราบอกว่าทุกอย่างเป็นธรรม ที่นี่เป็นธรรมหมดเลย ไม่เหลือเลยค่อยๆ ฟังค่อยๆ คิด ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นที่นี่ไม่มีใคร นอกจากธรรมทุกอย่างเป็นธรรม ก็มาทีละ ๑ ถ้ารวมๆ กันแล้วก็เหมือนเข้าใจ แต่ทีละ ๑ กำลังเห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เห็นไหม ฟังว่าเป็นธรรม เพราะเห็นมีจริงๆ ถ้าเห็นไม่มีจริงเราจะพูดทำไม เพราะฉะนั้นเราพูดถึงสิ่งที่มีจริงว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เป็นธรรม เพราะเหตุว่าเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น เห็นไม่คิด เห็นไม่จำ เห็นไม่ชอบ เพียงแค่เห็น เพียงแค่เห็นนี่จะเป็นเราไหม แต่ถ้าไม่รู้ เราเห็น เพราะฉะนั้นแม้แต่ได้ฟังคำว่า ทุกอย่างมีจริงๆ ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น เช่นเห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน ใครจะบอกไม่ใช่ เห็นเป็นอะไรได้ไหม เห็นก็ต้องเป็นเห็น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ได้ยินก็ต้องเป็นได้ยิน จำก็ต้องเป็นจำ คิดก็ต้องเป็นคิด พูดมาทีละ ๑ ก็ต้องเป็นสิ่งนั้น แต่ว่าเวลาเห็นจริงๆ เห็นไม่ได้เป็นเห็น เห็นเป็นเรา นี่คือความต่างของการที่ฟัง เพิ่งเคยได้ยินเพิ่งเคยคิด เพิ่งเคยเข้าใจว่า เห็นถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็นแน่เลย ใครจะไปทำให้เห็นได้ พอเห็นเกิด เห็นแล้วหมดเลย กำลังได้ยินนี่ไม่ใช่เห็นละ เพราะฉะนั้นเห็นที่หมดไปไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็คือสิ่งที่มีปัจจัย สิ่งที่อาศัยกันทำให้เกิดขึ้น เพราะต้องมีตา จึงสามารถที่จะเห็น และมีสิ่งที่กระทบตา กำลังปรากฏว่า สิ่งนี้มีจริงๆ แต่ต้องกระทบตา เพียงแค่หันหลังไป สิ่งที่ปรากฏที่กระทบตา ตรงนี้ก็ไม่มีแล้ว แต่ว่าไปเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลัง เพราะสิ่งที่อยู่ข้างหลัง กำลังกระทบตาก็แค่นี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มี เพราะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่เป็นเรา พูดได้เริ่มเข้าใจได้ แต่กว่าจะหมดความไม่ใช่เรา เป็นเพียงแค่เห็น จึงสามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ไปคิดแล้วมาบอก แต่บำเพ็ญบารมี จนกระทั่งเห็นเกิดเห็นดับ ประจักษ์แจ้งว่าเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคำใดที่ได้ตรัส มาจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ให้คนอื่นได้รู้ตามได้ ว่าไม่ใช่เพียงคิดว่าเห็นไม่ใช่เรา ก็ยังเป็นเรา ได้ยินไม่ใช่เราก็ยังเป็นเรา แต่ว่าเริ่มบอกแล้วก็เชื่อ พูดตามได้ แต่ยังไม่เป็นตามนั้น แต่ปัญญาค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะ ขณะที่เห็น เห็นเกิดแน่ๆ แล้วก็เห็นดับด้วย

    ผู้ฟัง ที่หนูข้องใจเพราะอยากจะรู้ว่าตายแล้วไปไหนจริงๆ แล้วคนเราที่เกิดมา ก็แล้วแต่กรรมที่ทำมาในอดีต

    ท่านอาจารย์ รู้จักคนหรือยัง ลองบอกมามาสิ คนเป็นอะไร เห็นไหม แค่นี้ไม่มีใครตอบได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จะมีคนไหม จะมีโลกไหม จะมีโต๊ะ เก้าอี้ ไม่มีใช่ไหม แต่อะไรเกิดก็ต้องเป็นสิ่งนั้นเกิด ถ้าเห็นเกิดเห็นก็ต้องเป็นเห็น ถ้าได้ยินเกิดได้ยินก็ต้องเป็นได้ยิน เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีทั้งหมดที่ปรากฏ เกิดทั้งนั้นเลย เกิดแล้วไปไหน แค่คำตอบก็คือว่า เกิดแล้วก็ดับไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าคนเกิด ถึงเวลาก็ดับไปไม่เหลือเลย จะเป็นคนนั้นต่อไปอีกไม่ได้ แต่ว่าเห็นที่ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกแน่นอน แต่ทำไมเดี๋ยวนี้เห็นอีก มีเหตุปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดอีก เห็นก็ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้นยังมีเหตุปัจจัย ที่จะให้เกิดเป็นคนก็เกิดอีก มีปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นนก นกเกิดไหม นกก็เกิด นกตายไหม นกตาย และนกไปไหนเห็นไหม ก็เหมือนกันทุกอย่าง ไม่ใช่แต่เฉพาะเราซึ่งเป็นคน สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมด มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ แต่ว่าต้องมีปัจจัยทำให้ธาตุรู้นั้นเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง อาศัยกันเกิด โดยไม่มีใครรู้เลย นานแสนนานมาแล้ว แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก จนกว่าจะรู้ว่าเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะไม่รู้ เราคงไม่ต้องย้อนไปถึงตอนเราเกิด ย้อนไม่ได้แน่เยอะแยะหมดธรรม เอาเดี๋ยวนี้เลย ถึงจะรู้ว่าตายแล้วไปไหน ได้ยินเมื่อกี้มีใช่ไหม กำลังได้ยิน ได้ยินไปไหนเมื่อกี้นี้ หมดแล้ว เงียบ ไม่มีเสียง ไม่มีได้ยิน แล้วได้ยินไปไหน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    19 พ.ย. 2567