ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1226


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๒๖

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณมะลิวรรณ รัตนประสิทธิ์

    วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ได้ยินเมื่อกี้มีใช่ไหม กำลังได้ยิน ได้ยินไปไหน เมื่อกี้นี้หมดแล้ว เงียบ ไม่มีเสียงไม่มีได้ยิน แล้วได้ยินไปไหน ไม่ได้ไปไหนเลย ดับคือหมายความว่าไม่กลับมาอีกเลย หมดปัจจัยที่จะให้เกิด ถ้าเราจุดเทียนมีไส้ มีน้ำมัน ก็ยังมีแสงไฟ แต่ถ้าไม่มีไส้หรือไม่มีน้ำมัน จะยังมีไฟต่อไปไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นไฟแรกที่จุด ไม่ใช่ไฟที่เกิดต่อๆ ไปใช่ไหม ตราบใดที่มีไส้เทียน เพราะฉะนั้นชีวิตก็เหมือนกัน แต่ละขณะก็มีปัจจัยที่จะให้เกิดก็เกิด ไม่สามารถจะหมดไปได้เลย จนกว่าจะหมดเหตุปัจจัย ซึ่งต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงสามารถที่จะไม่เกิดได้ แต่ว่าอยากเกิดไหม ตอนนี้ยังไม่ตาย ยังไม่อยากตาย ใช่ไหม ถึงตายแล้วก็อยากเกิดไหม เห็นไหม ก็อยากเกิด โดยไม่รู้ว่าต้องเกิด อยากหรือไม่อยากก็ต้องเกิด ยังไงก็ต้องเกิด

    ผู้ฟัง แล้วเหตุปัจจัยมาจากไหน

    ท่านอาจารย์ คุณแอ๊วลองจับแข็งสิ

    ผู้ฟัง แข็งก็คือเป็นสิ่งที่มีจริงที่มีอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ แค่จะรู้ว่าแข็งมี แต่แข็งต้องเกิด ก็ยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้ถึงปัจจัยที่ทำให้เกิด เกินวิสัย เพราะฉะนั้น การที่จะรู้อะไรก็ต้องรู้ตามลำดับ ไม่มีสิ่งนั้นเลยแล้ว จะให้ไปรู้ปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิด สิ่งไหนล่ะ มันเยอะไปหมด ใช่ไหม แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด แค่นี้ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้ถึงปัจจัยที่ทำให้เกิด อย่างแข็ง เกิด แข็งเกิดมาได้ไงไม่รู้ ถ้าฟังแล้วไม่คิดก็ไม่เข้าใจ เข้าใจเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็รู้ว่าเพราะได้ฟังแล้ว ไตร่ตรอง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่าดอกไม้ มันอยากจะเกิดเป็นดอกไม้ไหม มันไม่รู้เรื่องหรอกว่ามันเป็นดอกไม้ แต่ทำไมพวกเรา ถึงไปหลงรักดอกไม้ ซึ่งมันไม่รู้ด้วยว่ามันเกิดเป็นดอกไม้ ทำไมเราไปหลงรักมันมากมายกว่านั้นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า เราไม่ใช่ดอกไม้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะมีธาตุรู้ จึงมีเรา อย่างเห็นเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น รู้ใช่ไหมรู้ว่ามีอะไรตรงหน้านั่นคือรู้ เสียงได้ยินเสียงเมื่อไหร่ ก็รู้ว่าเสียงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นธาตุรู้ก็เป็นเรา ได้ยิน เป็นเราเห็น พอธาตุที่ชอบติดข้องเกิดขึ้นก็ว่าเป็นเราชอบ พอธาตุโกรธขุ่นใจเกิดขึ้นก็ว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นเป็นเราหมดเลยเพราะไม่รู้ มีใครที่เกิดมาแล้วบอกว่าไม่ใช่เราบ้าง ไม่มีเลยเพราะไม่รู้ใช่ไหม ต่อเมื่อฟังธรรมแล้วเริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา ในขั้นฟัง ต้องมั่นคงขึ้น

    ผู้ฟัง จริงๆ เราเหมือนคนโง่มากนะท่านอาจารย์ ก็ไปหลงรักหลงชอบ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีโง่จะมีเราโง่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโง่เป็นโง่ ไม่ใช่เรา จนกว่าจะโง่เป็นโง่ไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นยังไงถึงถูกต้อง

    ผู้ฟัง ต้องเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถึงต้องฟังตลอดชาติกี่ชาติ ก็คือให้รู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา แต่ลักษณะนั้นมีแน่นอนเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา โง่เขามีของเขาจริง

    ท่านอาจารย์ ถ้าโง่ ไม่เคยจะมีเราโง่ไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่เข้าใจว่าเป็นธรรม ค่อยๆ คลายความเป็นเรา นี่จะทุกข์ร้อนไหม เพราะไม่ใช่เรา มีหลายคำใช่ไหม ฟังผ่านหูเหมือนรู้แล้ว แต่หลายคนยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่ากิเลส เคยได้ยินไหม ดีไหมไม่ดี ทุกคนต้องยอมรับว่าไม่ดี จะดับได้ยังไง จะไม่มีได้ยังไง เพราะว่าไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ทำให้มีกิเลสเพิ่มเติมขึ้น อีกหลายอย่างจากความไม่รู้ ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ ก็ชอบในสิ่งที่ปรากฏใช่ไหม เหมือนเดี๋ยวนี้เลย ธรรมไม่ต้องไปคอยเวลาไหนเลย พูดถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะทุกอย่าง เราชอบดอกไม้เพราะเราไม่รู้ว่าเพียงแค่เห็นเท่านั้นแหละดับแล้ว เร็วปานนั้นใช่ไหม แต่ปรากฏเหมือนกับว่าไม่มีอะไรดับไปเลย ยั่งยืนปรากฏเป็นสีส้ม สีชมพู สีขาว สีเหลือง สัณฐานน่าพอใจ

    เพราะไม่รู้ว่าจากไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ไม่มี แล้วก็มีอย่างเร็วมาก เหมือนแกว่งก้านธูป ๑ ดอกให้เป็นวงกลม เห็นเป็นวงเลย ถ้าแกว่งให้เป็นรูปกลีบดอกไม้ก็ได้ ใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแสดงความไม่รู้ว่า มากมายมหาศาลแค่ไหน เพราะฉะนั้นกิเลสทั้งหลาย มาจากต้นตอกิเลสคือ ความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นคนที่ยังมีกิเลสอยู่ จะดับไม่ได้เลยด้วยตัวเอง นอกจากมีผู้ที่ตรัสรู้ และดับกิเลสแล้ว และแสดงหนทางดับกิเลสว่าจะดับได้ยังไง ความไม่รู้ไปทำให้ดับกิเลสไม่ได้ มีแต่ไม่รู้ขึ้นไม่รู้ขึ้น แต่ว่าความรู้ตรงกันข้ามกับความไม่รู้เริ่มเห็นแล้ว เราไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมที่อยู่ตรงนี้ เห็นมีจริงเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดปรากฏว่ามีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นทุกอย่างหมดเลย ไม่เว้นเลยสักอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เมื่อเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ว่าเป็น ๑ และก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้จะหมดกิเลส ได้ไหม ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นกว่าเราจะได้ฟังธรรมค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ รู้ว่าเป็นอนัตตา หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการละความเป็นตัวตน ความเป็นเรา เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าไม่มีเรามีแต่ธรรม

    เพราะฉะนั้นกว่าความรู้ จะค่อยๆ เจริญขึ้นเจริญขึ้น ค่อยๆ ลบล้างความไม่รู้ที่ยึดถือว่าเป็นเรา ก็ต้องนานมาก ในขั้นการฟังต้องมั่นคงว่า จากการที่เราฟังวันนี้เดี๋ยวนี้ อีกสักกัปป์ ๑ ก็จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ที่กำลังเป็นอย่างนี้ โดยไม่ต้องมีใครไปทำอะไรเลย แต่เป็นไปตามปัจจัย ที่ถึงเวลาที่จะเกิดรู้ความจริงเมื่อไหร่ ก็รู้ความจริงเมื่อนั้น แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา มะม่วงลูกเล็กๆ ที่เพิ่งเกิด เอามาปอกรับประทานจิ้มน้ำปลาหวานกินอะไรได้ ก็ไม่ได้ มันเล็กนิดเดียวใช่ไหม แต่ว่ากว่าจะเติบโตขึ้นกว่าจะถึงระยะที่กินอย่างดิบ หรือว่ากินอย่างสุกหรืออะไรอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยจะไปเร่งรัดก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าตามเหตุตามปัจจัย ไม่อย่างงั้นชาวนาที่ปลูกข้าวก็รดน้ำหมดเลย กี่วันกี่เดือนกี่ปีให้ได้รวงข้าว ก็ไม่ได้ใช่ไหม ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นการฟังของเราวันนี้ ความเข้าใจวันนี้ไม่สูญหายเลย ตายแล้วไปไหนก็ต้องเกิดอีกแน่ๆ ไม่มีใครที่ยังมีกิเลสอยู่แล้วไม่เกิด พระอรหันต์ที่ดับกิเลสแล้วเท่านั้นที่จะไม่เกิดอีกเลย เพราะการเกิดเป็นทุกข์เพราะอะไร แค่ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ ตลอดเวลาเลย แล้วมันมีประโยชน์อะไร ในเมื่อความจริงมันไม่มี แต่ลวงว่ามีเพราะว่าเกิดดับสืบต่อ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะฟังธรรมเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรานะที่เข้าใจ เป็นปัญญาเป็นความเข้าใจในขณะที่ฟัง เพื่อละความเป็นเรา ที่จะไปทำ ที่จะไปตามคำบอกมาอย่างนี้ก็จะทำอย่างนั้น อย่างบางคนก็บอกเอ้าน้อมไป ก็จะน้อมไปไม่รู้ว่าเป็นจิตเป็นเจตสิก คือฟังตั้งแต่ตั้งต้นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ก็ต้องไม่ใช่เรา น้อมไปเป็นอัตตาก็ต้องเป็นอนัตตา ทุกคำต้องมั่นคงในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวเป็นอย่างนี้ ไม่มั่นคงใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่ดับได้ แต่ไม่ใช่เราดับ ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ไปพยายามดับกิเลส ไปสำนักปฏิบัติไปนั่ง ๑๐ วัน ๗ วันแล้ว จะดับกิเลสได้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่รู้หมดเลยทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดกี่ชาติ เพราะฉะนั้นกว่าจะดับความไม่รู้ได้ ก็ต้องค่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะสามารถรู้ความจริงได้ ด้วยเหตุนี้รู้จักกิเลสแล้ว ไม่ดี แต่มีระดับของกิเลสแล้วเราก็เห็นแต่กิเลสใหญ่ๆ นั่งอยู่อย่างนี้มีกิเลสไหม ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสก็ไม่รู้ คิดว่าไม่มี เห็นไหม เพราะฉะนั้นมีกิเลสที่ปรากฏให้รู้ กับไม่ปรากฏให้รู้ อย่างเข้าฆ่ากัน รู้ได้เลยเพราะกิเลสใช่ไหม แต่รับประทานอาหารอร่อยเป็นกิเลสไหม เป็น ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บอก ไม่เห็น ไปตีรันฟันแทงใครที่ไหน ไม่ได้คิดร้ายกับใครด้วย

    เพราะฉะนั้นกิเลสมีหลายระดับ ตั้งแต่อย่างหยาบ แล้วปรากฏเป็นกายทุจริต วจีทุจริต พูดคำไม่จริง ความจริงง่ายออก ตรงไปตรงมาทำไมไม่พูด พูดคำที่ไม่จริงนี่คิดดูสิ ด้วยกำลังของกิเลสทั้งนั้นเลยใช่ไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากายที่ไม่สุจริต วาจาที่ไม่สุจริตก็เพราะกิเลส ทำให้ทุจริตทางกาย ตีรันฟันแทง ขโมยเค้า อะไรเขาก็ได้ทุกอย่างละเอียดยิบ จนกระทั่งนั้นอย่างหยาบๆ ที่ปรากฎให้เห็น แต่กำลังนั่งอย่างนี้ อยากได้ แต่ไม่ได้บอกใคร ไม่ได้ไปหยิบเอามา ไม่ได้ขโมยด้วยแต่ชอบ ใช่ไหม ไม่ถึงระดับที่จะมีกายเคลื่อนไหวไปทำ ที่จะให้สิ่งนั้นได้มา แต่สิ่งนั้นเกิดแล้ว แสดงกำลังว่ายังไม่พอที่จะทำทุจริต แต่ควรรู้ไหม ตัวเองรู้ไหมว่าขณะนั้นไม่ดี ถ้าไม่รู้ก็คือเป็นธรรมดา เค้ามีกันทั้งโลก เขาก็ชอบนั่นชอบนี่ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย นี่ก็ดอกไม้ก็สวย กลิ่นก็หอม ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่ว่าสิ่งที่ไม่ดี แม้เล็กน้อยเท่าไหร่ก็เป็นพิษเป็นโทษเท่านั้น อย่างไฟน้อยเท่าไรก็ร้อน เผาบ้านเผาเรือนก็ร้อน ก็คือร้อนนั่นแหละมากขึ้น

    เพราะฉะนั้นกิเลส มีอย่างที่ไม่ปรากฏเลย อย่างตอนหลับสนิท ทุกคนก็ไม่เห็นไปลักขโมย ไม่เห็นไปตีรันฟันแทง เหมือนไม่มีกิเลส แต่ถ้าไม่มีกิเลส ... มันจะมีไหม ก็ต้องไม่มี แต่นี่กิเลสได้มีหลายระดับ ระดับที่เกิดแล้ว ชอบแล้วนะ ชอบสีเหลือง เวลาไม่เห็นสีเหลืองไม่ได้ชอบสีเหลือง เวลาไม่ได้เห็นสิ่งนั้นไม่ได้ชอบสิ่งนั้น แต่ความที่เคยชอบสะสมอยู่ในจิต ละเอียดลึกจนกระทั่งพอเห็น ดอกไม้สีเหลืองก็ชอบ และ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดแล้ว ไม่ได้หายไปไหนเลยสะสมอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นต้องรู้จักจิตว่าคืออะไร จิตคือสภาพรู้ธาตุรู้ในขณะที่สิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่รู้เช่นแข็ง ไม่มีจิตใจไม่รู้อะไร ใครไปกระทบสัมผัส ก็ไม่รู้ ตีรันฟันไทยยังไงไม่เจ็บไม่ปวดอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ธาตุรู้ต้องแยกกัน ธรรมมี ๒ อย่าง อย่าง ๑ มีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร อีกอย่าง ๑ เกิดขึ้น แล้วต้องรู้ แต่ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น อย่างเห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีสัณฐานรูปร่างต่างๆ แต่ตัวเห็นจริงๆ ไม่มีเลย ใช่ไหม แต่เกิดขึ้นแล้วรู้คือกำลังเห็นแล้วก็ดับ อย่างได้ยินเสียงปรากฏใช่ไหม เสียงเบาหรือว่าเสียงดัง เรียกว่าเสียงดนตรีแต่ละอย่างก็หลากหลาย ปรากฏลักษณะต่างๆ กันไป ให้รู้ความเป็นเสียงซึ่งต่างกัน แต่จิตได้ยินเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นได้ยินไม่ต่าง เกิดเมื่อไหร่ก็ต้องรู้เสียง รู้เสียงอะไรก็ได้แต่เป็นธาตุรู้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นธาตุรู้เมื่อเกิดขึ้น ก็คิดว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นสัตว์ บุคคล ไก่ นก เป็ด งูพวกนี้มีจิตทั้งนั้น เป็นสิ่งที่มีชีวิต แต่รูปร่างต่างกันหลากหลายตามกรรม แม้แต่คน พี่น้องกันก็รูปร่างต่างกัน ตามกรรมที่ต่างคนต่างก็ได้กระทำมา

    เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ ไม่มีซ้ำกันเลย แต่ละ ๑ จริงๆ แม้แต่รูปธรรมหรือนามธรรม เกิดแล้วดับไปแล้ว ก็ไม่กลับมาเกิดอีก แต่มีปัจจัยให้เกิดตลอดไป ในสังสารวัฎฏ์ ไม่รู้จักจบสิ้นตราบใดที่ยังมีเหตุ จนกว่าจะหมดกิเลสที่ทำให้เกิดได้ ด้วยเหตุนี้กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ ให้เราได้มีโอกาสได้ฟังแต่ละคำ เหมือนเราอยู่ในความมืดสนิทเลย มืดสนิทนี่เลยไม่มีแสงสว่างเลยนานมากด้วย ไม่ใช่แค่วันเดียวปีเดียว นานมาแล้วในสังสารวัฎฏ์ ไม่รู้เลย เหมือนคนหลับไม่ตื่น ฝันไปเถอะทุกชาติเหมือนฝัน ฝันเรื่องนี้จบก็ฝันเรื่องนั้น ฝันเรื่องนั้น ฝันเรื่องนั้น ฝันไป แต่จริงรึเปล่าไม่รู้ความจริงเลย แท้ที่จริงแล้วตื่นมาไม่มี เหมือนเดี๋ยวนี้เลย สิ่งที่มีอยู่เมื่อไม่รู้ก็หมดไปเหมือนฝัน เกิดมาแล้วก็หมดไปเกิดมาแล้วก็หมดไป ไม่รู้ความจริงจนกว่าจะตื่นเมื่อไรจึงรู้ได้ว่าไม่มีเรา แต่ในฝันนี้มีเราใช่ไหม มีทุกสิ่งทุกอย่าง คิดไปอะไรไปทุกอย่าง เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าธรรมมี ๒ อย่าง สภาพรู้เกิดขึ้นต้องรู้ ใช้คำว่าจิตก็ได้ วิญญาณก็ได้ มโนก็ได้ มนัสก็ได้ หทยก็ได้ แต่ถ้าไม่ศึกษาวิญญาณคืออะไร เห็นไหม คิดไปต่างๆ นานา

    ผู้ฟัง คือจิตใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เราไม่ได้พูดถึงว่าจิต หรือวิญญาณ แต่สภาพรู้มีจริงเรียกอะไรก็ได้ แต่ขอให้รู้ว่าหมายความถึง ธาตุรู้ สภาพรู้ เรียกวิญญาณก็ได้ เรียกจิตก็ได้ เรียกใจก็ได้ เรียกอะไรก็ได้ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอะไรก็เรียกกันไป แต่หมายความถึงขณะที่รู้โดยมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้รู้ อย่างทางตาเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทางหูก็ได้ยิน มีเสียงปรากฏให้ได้ยิน เพราะฉะนั้นได้ยินไม่ใช่เสียง แต่ได้ยินเสียงคือรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ก่อนอื่นต้องฟังเบื้องต้นให้รู้ว่า ที่ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร จนกว่าจะประจักษ์แจ้งจริงๆ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประจักษ์แจ้งเป็นคำที่ได้ฟังแล้วทั้งนั้น แต่ในขณะที่ฟังไม่ได้ประจักษ์เลย เพราะเพิ่งเริ่มฟัง แต่พอประจักษ์ ก็เหมือนที่เคยได้ฟังทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้นการเริ่มฟังธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมหมด หิวเป็นธรรมไหม เป็น ใช่ไหม เป็นเราหรือเปล่า ถ้าเป็นธรรมจะเป็นอะไรไม่ได้เลย นกหิวไหม ไก่หิวไหม แล้วหิวเป็นไก่ หรือหิวเป็นนก หรือหิวเป็นเรา หิวเป็นหิว จนกว่าจะไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ทั้งนั้นเลยไม่ว่าอะไรเป็นธรรมหมด เมื่อนั้นจึงจะละความเป็นเราได้ อีกนานไหม กว่าจะรู้ความจริง แต่รู้ได้เบิกบานละ ยังไงวันหนึ่งก็รู้ได้ จะนานเท่าไรก็รู้ได้ ดีกว่าไม่มีหนทางเสียเลย เหมือนคนอยู่ในความมืดสนิท ไม่มีแสงสว่าง ไม่เห็นอะไรตามความเป็นจริง แต่พอได้ฟังธรรม ค่อยๆ รู้ว่ามืดคือไม่รู้ความจริง มืดแค่ไหน ค่อยๆ สว่างแค่ไหน ค่อยๆ เข้าใจแค่ไหนจนกว่าสว่างจริงๆ คือประจักษ์ความจริง ตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นจะเดือดร้อนไหม ถ้าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเป็นปัญญาก็รู้ตามความเป็นจริง มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นเราก็ทุกข์ร้อน แต่ห้ามไม่ได้ ด้วยเหตุนี้กิเลสไม่ใช่ใครไปห้าม ใครไปสั่ง ใครไปบอกว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจะไม่มีกิเลส แต่ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจึงรู้ความต่างกันของคำว่า ปุถุชนคนที่หนาด้วยกิเลส กับพระอริยะบุคคลผู้ที่เริ่มฟัง และก็มีความเข้าใจขึ้น จนกระทั่งปัญญาเพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งความจริง ดับกิเลสตามลำดับขั้น เพราะกิเลสมีเยอะ ดับทีเดียวหมดไม่ได้ แค่ดับการที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา นานแสนนานมาแล้ว กว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งเปิดเผยความจริงที่ไม่ใช่เรา ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่นานเป็นธรรมดา ธรรมดาคือความเป็นไปของธรรมก็เป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง ดูเหมือนว่าไม่มั่นคงพอ ที่จะฟังคำจริงแล้วเข้าใจ แล้วไม่ไปทำอย่างอื่น ก็ยังยาก ก็ยังเหมือนกับว่ามีโอกาสฟังแล้ว แต่ก็ยังเลือกที่จะไปอย่างอื่น ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสฟังคำจริงแล้วประมาณนี้

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นอนัตตา สำหรับคนที่เข้าใจ เพราะฉะนั้นคำเดียวเข้าใจแค่ไหน เข้าใจมั่นคงหรือเปล่า อย่างได้ยินคำว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ มีแน่นอน แต่ว่าไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นเลยทั้งสิ้น เสียงไม่ปรากฎ ถ้าไม่มีได้ยิน แค่ฟังอย่างนี้ คนที่เข้าใจเข้าใจเลย เป็นสิ่งที่ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกคำ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าเขาฟังมานานเท่าไหร่ แต่ฟังแล้วเข้าใจแค่ไหน เพียงเข้าใจเรื่องราวกับคำ แต่ไม่ใช่ความเข้าใจตัวธรรมว่าไม่ใช่เรา เป็นเขาที่กำลังฟัง ถ้ารู้จริงๆ นึกขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ก็คือว่าไม่ใช่เรา ไม่เว้นเลย กำลังโกรธ ได้ยินมานานแล้วว่าโกรธไม่ใช่เรา แต่พอโกรธเกิดขึ้น ไม่ได้คิดเลยว่าไม่ใช่เรา แม้คิดก็ไม่มี เพราะว่าความเข้าใจไม่มากพอ ไม่มั่นคงพอ เพราะฉะนั้นความเป็นธรรม ก็มีธรรมที่ละเอียดมาก ความเข้าใจก็ละเอียดมาก ความเข้าใจระดับไหนก็ระดับนั้น ระดับที่คนที่พอโกรธ และเขาก็สามารถแทงตลอดธรรมก็ได้

    ผู้ฟัง ตรงนี้ ความเข้าใจความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา จึงสำคัญมากๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังแล้วไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา มั่นคงแค่ไหน ถ้ามั่นคงแล้วจะไปนั่งทำอะไร ไปไหนใช่ไหม ก็คือไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้เห็นที่กำลังปรากฏเกิดแล้วดับ แล้วจริงแล้วไปทำอย่างอื่น ไปสำนักปฏิบัติ ไปทำอะไรจะรู้อะไร ก็ไม่ได้ตรงตามที่ได้ฟังว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าเข้าใจคำนี้คำเดียวมั่นคงขึ้นทุกอย่างก็ตรง เพราะฉะนั้นพอฟังว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ก็จะให้ไม่ใช่เราเดี๋ยวนี้เลย ฟังว่าขณะนี้เห็นเกิดดับ ก็จะให้เห็นเดี๋ยวนี้เลยเห็นเกิดดับ คิดได้ยังไง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใครแค่นี้ตอบปัญหาทั้งหมด เราจะเป็นอย่างท่านหรือ ที่ท่านตรัสว่าธรรม ท่านตรัสอย่างนี้แล้ว เราอ่านอย่างนี้ ได้ยินนี่เข้าใจแค่ไหน ห่างกันแค่ไหน เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องลึกซึ้ง สุดที่จะประมาณได้ ไม่มีใครเทียบได้เลย ครูบาอาจารย์ไหนจะเอาคำของตัวเองมา เขารู้อะไรแค่ไหน เขาถึงกล้าที่จะพูดว่าเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น แต่ใครก็ตามที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เห็นความต่างมาก เห็นความลึกซึ้งมาก ผู้นั้นจึงรู้ว่าถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำอื่นไม่ทำให้สามารถที่จะรู้ความจริงได้ อย่างพระองค์ตรัสว่า การที่จะประจักษ์เห็นเกิดดับมีหนทาง ไม่ใช่บอกว่าไม่มีหรอกฉันรู้คนเดียว ไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เพราะความลึกซึ้ง แค่นี้เราประมาณได้ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วเห็นความลึกซึ้ง ขณะที่เห็นความลึกซึ้งขณะนั้นไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง แต่ก็รู้ว่ามีผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจได้ แล้วจริงไหม ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ และก็เห็นความลึกซึ้งของธรรม และการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น จึงรู้ว่าเรานับถือใคร ใครเป็นครู ใครเป็นศาสดาจริงๆ ทุกภพชาติมีใครเปรียบได้ไหม เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้ให้เข้าใจอย่างนี้เลย เพียงฟังแล้วก็เหมือนกับว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรก็ต้องรู้อย่างนั้น ชาตินี้ก็ต้องเป็นพระโสดาบัน ก็ต้องไปประจักษ์การเกิดดับ เขาเป็นใคร

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจว่าคำว่าแทงตลอดในปริยัติ ถึงจะเป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติ แทงตลอดในปริยัตินี้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ กำลังอยากรู้ธรรมเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นก็สามารถที่จะแทงตลอดว่า แม้ขณะนั้นก็เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ก็คือ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีความสงสัยในธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสามารถที่จะเป็นปัจจัย ให้สติเริ่มรู้เฉพาะลักษณะ ที่กำลังปรากฏได้ ซึ่งก่อนนั้นไม่มีทางที่สติจะรู้ได้เลย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นความมั่นคงว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เท่านั้น เพราะฉะนั้นที่ฟังทั้งหมด ไม่ว่าจะกี่ปี แสดงธรรมกี่พรรษาก็ตาม เพื่อให้รู้ความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำเดียวถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะมั่นคงว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง คงต้องฟังต่อไป เนื่องจากว่า อย่างที่บอกว่าเป็นใคร เป็นบุคคลหนาแน่นด้วยความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะหวังสติปัฎฐานไหม จะคอยสติปัฎฐานไหม จะรอสติปัฏฐานไหม จะทำสติปัฏฐานไหม เห็นไหม ปัญหาพวกนี้มาจากไม่เข้าใจธรรม ไม่ได้แทงตลอดในขั้นปริยัติ และแทงตลอดไม่ได้เพราะอะไร อวิชชาท่วมท้น มากมายมหาศาล รู้ได้เลยเมื่อกี้นี้ สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมหรือเปล่า เวลารับประทานอาหาร หลังจากที่เราสนทนาธรรมแล้ว มีการเข้าใจธรรมในขณะนั้นไหม เห็นไหม แล้วอย่างนี้จะแทงตลอดได้ยังไง เพราะฉะนั้นอาศัยการฟังจนไม่ลืม แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ลืมตลอดเวลาทุกขณะ แต่สามารถที่จะมีปัจจัยเกิด และก็รู้เท่าที่ปัญญารู้ เกินกว่านั้นก็ไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    20 พ.ย. 2567