ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1227


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๒๗

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณมะลิวรรณ รัตนประสิทธิ์

    วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอาศัยการฟังจนไม่ลืม แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ลืมตลอดเวลาทุกขณะ แต่สามารถที่จะมีปัจจัยเกิด และก็รู้เท่าที่ปัญญารู้ เกินกว่านั้นก็ไม่ได้ เป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องรู้เองด้วยตัวเองในชีวิตประจำวัน และก็เป็นเรื่องละ ไม่ใช่ว่า ที่นี่อยู่ตั้งหลายปีไม่เห็นรู้อะไรเลย ไปที่โน่นดีกว่าจะได้ไปรู้อย่างนั้นอย่างนี้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง เราก็อยู่ตั้ง ๑๐ ปีแล้ว ไม่เห็นมีความเข้าใจอะไรเลย แปลว่าเรา

    ท่านอาจารย์ ก็จับด้ามมีด ๑๐ ปี นี่เดี๋ยววาง เดี๋ยววาง จับนิดหนึ่งวาง จับนิดหนึ่งวาง เอาจับให้ตลอดไป ๑๐ ปีเลย ดูสิด้ามมีดจะสึกไหม ก็ยังไม่สึกลองดู และนี่ไม่ได้จับอยู่ตลอดเวลาด้วย บางเวลาที่ได้ฟังธรรม แล้วจะเอาอะไรกับปริมาณของความไม่รู้ซึ่งมากมายมหาศาล

    ผู้ฟัง แม้กระทั่งวันนี้สนทนาธรรม ก็ไม่ได้จับด้ามมีดเลย ตอนทานนี่ไม่ได้ไม่ระลึกเลยหรืออะไร อย่างทุกอย่างอร่อยหมด

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา เห็นไหม คำนี้มั่นคงแค่ไหน ว่าไม่มีเรา แล้วจะรู้ไหมว่าขณะที่ไม่รู้ก็เป็นธรรม ยากใช่ไหม แต่ให้รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราน่ะไปทำเถอะ ทำเท่าไรก็โง่ ใช่ไหม เพราะว่าทำ จะฉลาดได้ยังไง ลงทำก็คือตัวเราละ ตัวเราก็ต้องไม่ฉลาดละใช่ไหม แต่เป็นหน้าที่ของปัญญาฟังคำนี้ไว้ ไม่ใช่หน้าที่ของใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นหน้าที่ของธรรมที่เริ่มเข้าใจ เพราะฉะนั้นเข้าใจกับไม่เข้าใจ ต่างกันมากเลย แค่เข้าใจว่าขณะนี้มีเห็นเป็นอนัตตาไม่มีใครทำได้เลย เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย กับเดี๋ยวนี้มีเห็นก็ไม่เห็นมีอะไร ต่างกันเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าปัญญาทำหน้าที่ของปัญญาระดับไหน แต่ทีนี้คน เพราะความไม่รู้ใช่ไหม เขาจะพยายามไปทำหน้าที่แทนปัญญา จะไปเค้นจะไปบีบจะไปรัดให้ปัญญารู้เร็วๆ แต่ปัญญาเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ปัญญา แต่ขณะที่เริ่มเข้าใจรู้เลยว่า ต่างกับที่ไม่เข้าใจ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นปัญญาเริ่มเกิด และปัญญาเกิดเมื่อไหร่ ทำหน้าที่ของปัญญาเมื่อนั้น

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่หน้าที่ของใคร จะไปทำอะไรทั้งสิ้น ปัญญามีความเข้าใจแค่ไหนปัญญาก็ทำหน้าที่แค่นั้น ปัญญามีความเข้าใจมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ปัญญาก็ไม่พาไปไหน ไม่พาไปที่อื่น แต่รู้ว่าจะเข้าใจขึ้นต่อเมื่อฟัง ใช่ไหม เพราะว่าที่เข้าใจได้เพราะฟังใช่ไหม ฟังแค่นี้ก็ไม่พอ จึงได้ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา นานไหมแล้วแต่ละคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ถ้าบอกว่าเห็นไม่ใช่เราแค่นี้พอ ไม่มีใครสามารถที่จะละการยึดถือเห็นได้เลย แต่บอกว่าเห็นต้องเกิดเมื่อมีปัจจัย ต้องมีตา รูปพิเศษ ไม่ใช่แข็งไม่ใช่อ่อน แต่ว่าเป็นรูปที่สามารถกระทบ กับสิ่งที่กำลังปรากฏ เหมือนเสียงก็ต้องกระทบกับรูปที่เป็นหู ที่เราใช้คำว่าหู ไม่กระทบส่วนอื่น ตรงเฉพาะรูปที่สามารถกระทบกับเสียง และก็เกิดขึ้นตามปัจจัย คือมีกรรมเป็นปัจจัย ต้องพูดสารพัดทุกอย่างเพื่อจะให้ปัญญาค่อยๆ เข้าใจ เพื่อที่จะละความเป็นตัวตน ในขั้นที่แทงตลอดในปริยัติ ซึ่งถ้าไม่มีขั้นนี้ ก็ไม่เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด ก็ไปนั่งทำสติ ไปนั่งเจริญสติ แต่ไม่รู้ว่าสติจะเกิดได้ยังไง และที่เกิดก็ไม่ใช่สติ เพราะฉะนั้นทางผิดมีมาก เพราะเหตุว่าเป็นทางได้ เป็นทางเอา เป็นตัวตน แต่ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทางละ คิดดูสิ เกิดมาไม่มีใครอยากจะละอะไรบ้าง ละตัวนี้ดีไหม ไม่ต้องไปเอาใจใส่ไม่มีทาง ใช่ไหม ติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่มี โดย ๒ สถานะ สถานะ ๑ คือเป็นเรา อีกสถานะ ๑ เป็นของเรา เพราะฉะนั้นยากแสนยาก เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน แล้วจะให้เข้าใจให้ถูกต้อง ค่อยๆ ละคลาย ค่อยๆ ละคลายเพราะรู้ ถ้าไม่รู้ไม่มีทางละคลาย และรู้นั่นก็คือปัญญา เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปทำหน้าที่ของปัญญา แต่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ตัวที่เข้าใจ สภาพที่เข้าใจเป็นสังขารขันธ์ เราอุตส่าห์ท่องมา รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ตัวนี้แหละตัวปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ขันธ์อื่นๆ ก็ทำหน้าที่ของขันธ์อื่นๆ แต่ละขันธ์ แสดงให้ละเอียดว่าไม่ใช่เรา ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ จึงจะเป็นปัจจัยให้สภาพที่กำลังปรากฏ สติแทงตลอดได้ ในการเกิดดับ คิดดู กำลังเกิดดับแต่โมหะความไม่รู้ก็ปิดกั้น ซ้อนด้วยความเป็นเรา แล้วก็ยังอยากอีกเติมเข้าไป ก็ปิดกั้นหมด

    ผู้ฟัง อย่างเห็นไม่ใช่เรา เห็นต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่ฟังแค่นี้ยังไม่มั่นคง

    ท่านอาจารย์ อีก ๑๐ ชาติ ถ้าได้ฟังติดต่อกัน จะมั่นคงขึ้นไหม เอาแค่อย่างนี้ พรุ่งนี้ได้ฟังซ้ำอย่างนี้ จะมีความมั่นคงขึ้นไหม ไม่มีทางรู้เลย ไม่มีทางรู้ว่าเจตสิกทำหน้าที่ของเจตสิก เงียบ ตามลำพังของเจตสิกนั้นๆ ปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา เกิดเมื่อไหร่ก็เข้าใจเมื่อนั้น ยังมีเจตสิกอื่นอีกซึ่งไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นต่างก็ทำหน้าที่ของตนของตน ไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้จิตเจตสิกทั้งนั้นเลย มีใครที่ไหน แล้วแต่ว่าจิตเจตสิกจะเกิดขึ้นทำหน้าที่อะไร เพราะฉะนั้นไม่รู้ ไม่มีทางรู้ จนกว่าความรู้จะปรากฏ มีชีวิตอยู่เพื่อความรู้ปรากฏ จะรู้แค่ไหนก็คือแค่นั้น ถ้าพรุ่งนี้ตายก็คือว่ารู้แค่นี้ ถ้าอยู่ไปอีกหน่อยก็รู้ไปอีกหน่อย ถ้าอยู่ไปชาติหนึ่งก็รู้เท่าที่ชาตินั้นจะรู้ได้ แต่ถ้าเรารู้ว่าถ้าเราไม่ฟังก็คือไม่เข้าใจ แล้วก็ลองคิดดู เมื่อเช้าเราก็เข้าใจหน่อยหนึ่ง พอไปรับประทานอาหารพักผ่อน แล้วพอฟังอีกก็เข้าใจอีกหน่อยหนึ่ง แล้วถ้าไม่มีตอนนี้ตอนบ่าย ความเข้าใจชั่วโมงนี้ก็ไม่มีหายไป จะไปตั้งต้นอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    อ.วิชัย สำหรับตอนนี้ก็มีธรรมที่เกิดแล้วก็หมดไป แล้วมีปัจจัยที่ให้ธรรมใหม่เกิดสืบต่อตลอด

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้เลย ไม่รู้เลย แต่ธรรมก็ต้องเป็นอย่างนี้ แม้เห็นอย่างนี้ก็ยังไม่เห็นเมื่อกี้นี้ นั่นคือปัญญาระดับไหน คิดดู เพราะฉะนั้นจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเมื่อเข้าใจคำของพระองค์ ถ้าไม่ตรัสรู้ไม่ประจักษ์แจ้ง จะไม่มีคำต่างๆ เหล่านี้เลย

    อ.วิชัย แสดงว่าถ้าปัญญาไม่รู้ตามความเป็นจริง จะคลายความติดข้องยึดถือในสิ่งนั้นไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง ไม่มีทาง

    อ.วิชัย ถ้าไม่เห็นความจริงของสิ่งต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ใช่แสงสว่างก็ทำลายความมืดไม่ได้

    สนทนาธรรมที่ บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์

    วันที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ ความเห็นถูก ก็หมายถึงว่าสัมมามรรค แล้วก็ตามด้วย สัมมาญาณะ และสัมมาวิมุติ แล้วถ้าเป็นความเป็นผิด ก็ต่อด้วยรู้ผิดกับหลุดพ้นผิด ซึ่งตรงนี้ดูเหมือน จะเข้าใจถึงความเป็นธรรมขณะนี้ยาก

    ท่านอาจารย์ จะง่ายได้ยังไง ไม่มีทางง่ายเลย เป็นแต่ว่ามีโอกาสมีบุญที่ได้สะสมมา มีโอกาสได้ฟังคำ คำซึ่งคนที่ไม่สนใจ ไม่ได้สะสมมาจะไม่เห็นประโยชน์เลย แต่ว่าคนที่สะสมมาแม้แต่คำเดียว ก็สะดุดใจรู้ว่าลึกซึ้ง และก็เป็นประโยชน์มากกับชีวิต ซึ่งใครก็ไม่รู้ สั้นแค่ไหนแล้วก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จะชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง แล้วมีอะไรก็เกิดมากิน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน และก็กิน แล้วก็นอนไปเรื่อยๆ ใช่ไหม ระหว่างนั้นก็แสนจะเพลิดเพลิน สนุกสนาน ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้แล้วไม่มี ต้องการในสิ่งที่คิดว่ามียั่งยืน แต่ความจริงมีชั่วขณะ ที่ปรากฏแล้วหมดไป แล้วใครจะรู้ว่าคำนี้น่าฟังเป็นความจริงถึงที่สุด ไม่มีอะไรจะจริงยิ่งกว่านี้ และก็เป็นประโยชน์มาก เพราะเหตุว่ารู้ความจริงของสิ่งที่มี จนสามารถที่จะเห็น ทุกอย่างเป็นธรรมดา เห็นไหม แม้แต่คำว่าธรรมดา ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ตาความเป็นไป คนไทยก็ธรรมดา ทุกอย่างธรรมดาธรรมดาจนไม่รู้ว่าอะไร ใช่ไหม แต่ความจริงธรรมดาของธรรม ที่จะต้องเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น จะต้องมีปัจจัยที่จะทำให้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่ต้องกระวนกระวายไปหา คิดโน่นคิดนี่อะไรเป็นปัจจัย ทำให้อย่างนั้นเกิดอย่างนี้เกิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง เท่าที่คนฟังสามารถจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเราจะเกินกว่านั้นไปไหม จะให้เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ให้ไปรู้ทั่วทุกอย่าง วันหนึ่งวันหนึ่งเห็นอะไรก็สงสัย ว่านี่ปัจจัยอะไรทำให้เกิดอย่างนี้ ก็เสียเวลาใช่ไหม แต่ว่าอาศัยผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แล้วก็รู้ว่าไม่มีใครที่สามารถจะมีพระปัญญาที่ตรัสคำจากใจ และปัญญา ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน เท่านี้จะไปรู้ความจริงของสิ่งที่มีก็เหลือวิสัย คิดได้ยังไง ใช่ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่คนได้ยินคำ ซึ่งทำให้เขาเกิดความต้องการ แต่ไม่เกิดทำให้รู้แล้วละความเป็นจริง ว่าจะต้องการได้ยังไง ในเมื่อไม่มีใครสามารถที่จะไปทำอะไรให้เกิดขึ้นมา ได้เลยสักอย่างเดียว เดี๋ยวนี้ ทั้งหมดในห้องนี้ ไม่มีใครสามารถไปทำอะไรให้เกิดขึ้นได้เลย แต่มีปัจจัยทำให้เกิดแล้ว สิ่งที่ไม่รู้คือเกิดโดยปัจจัยแค่ปรากฏแล้วดับ เพราะฉะนั้นก็เป็นโลกที่ลวง ให้เห็นว่ายั่งยืน และก็มีทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าติดข้องต้องการ แต่ก็ต้องจากไป ไม่ว่าอะไรทั้งหมด จะร่างกายที่คิดถือว่าเป็นเรา จะสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นของเรา เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงแค่ปรากฏ คำนี้ชัดเจนที่สุดคือแค่ปรากฏ ขณะที่ไม่ปรากฏคือหมดแล้ว เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมี มีแค่ปรากฏ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ กับความติดข้องในอีกนานเท่าไร กว่าจะค่อยๆ ละคลาย จนกระทั่งสภาพธรรมที่เพียง ปรากฏว่ามีแล้วก็ไม่มี จะปรากฏตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นฟังเพื่อละ ฟังเพื่อเข้าใจไม่มีเรา แต่รู้ว่าความเข้าใจต่างหากที่กำลังทำหน้าที่ปรุงแต่งเป็นสังขารขันธ์ ขณะนี้จิตเจตสิกก็เกิดดับ เงียบสนิทไม่ปรากฏ ให้ใครรู้สึกว่ามีจิตเจตสิกที่กำลังเกิด ก็เป็นธรรมซึ่งฟังแล้วเข้าใจแล้ว ความเข้าใจก็จะค่อยๆ นำไปสู่การรู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดเป็นความจริง ถ้ารู้เมื่อไหร่ก็เหมือนที่เคยฟังนั่นแหละทุกอย่างไม่ต่างกันเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อน เป็นตัวตนจะไปสงสัย จะไปอย่างนั้นอย่างนี้เลย ฟังให้เข้าใจว่าธรรมเป็นอย่างนี้ คือทั้งหมดต้องน้อมไปสู่ไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่ใช่เราบ่อยๆ ใช่ไหม ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็ไม่มีของเรา แต่ก็ไม่ต้องกำหนดกาลเวลา ว่าจะนานเท่าไหร่ เพราะว่าแต่ละคน ก็สะสมมาแต่ละ ๑ ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง ให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้แล้วก็ดับ ตลอดเวลานี่ดับหมด ไม่มีใครรู้เห็นไหม เพราะฉะนั้นมืดแค่ไหนทั้งๆ ที่สว่าง เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ไม่รู้ ความไม่รู้ในมืดยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะแม้สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏก็ไม่รู้ ตามความเป็นจริงก็มีทางเดียวคือฟัง เวลาเข้าใจก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกว่าเข้าใจจะเจริญขึ้นมั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้ และเข้าใจ เห็นกำลังเห็น เห็นเกิดแล้วเห็นดับ นั่นคือกำลังเข้าใจ สภาพนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ก็เห็นก็เห็นไป เห็นตั้งนานไม่ดับ เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ ใครหรือจะสามารถเข้าใจได้ ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นก็หนทางเดียว มีโอกาสเมื่อไหร่ก็ฟังไตร่ตรอง เพื่อเพิ่มความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา ไม่ได้ไปเร่งรีบ ไปทำอะไรที่ไหนเลย มีแต่ความเข้าใจจากการฟัง ค่อยๆ เจริญขึ้น เป็นปกติไม่ต้องเดือดร้อน สบายดีไหม

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นอย่างที่อาจารย์กล่าวก็สบายดี แต่

    ท่านอาจารย์ แต่ความเป็นตัวตน ก็ทำให้เดือดร้อน ความเข้าใจนี่สบายดี เพราะไม่ใช่เรา นิดหนึ่ง บางแค่ไหน น้อยแค่ไหน ที่จะรู้ไม่ใช่เรา แต่ความหนาแน่นของความเป็นเรา ตามทันที

    ผู้ฟัง ก็ย้ำกันว่า ฟังจนกว่าจะน้อมไปที่จะไม่ใช่เรา เหตุปัจจัยที่จะเป็นว่าฟังเข้าใจ จนกว่าจะน้อมไปที่ไม่ใช่เรา ดูเหมือนต้องฟังด้วยดี ฟังถูก ฟังเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ฟังด้วยการรู้ว่าไม่ใช่เราตั้งต้นนี่ให้มั่นคง เพราะว่าคนฟังขาดความแยบคาย ได้ยินคำพูดคิดว่าบอกให้ทำ คิดเองเลย น้อมไป และพยายามเคี่ยวเข็ญจะให้น้อมไปได้ น้อมได้ยังไง ก็เราแข็งออกอย่างนั้น หนักแน่นมั่นคงอย่างกับตอในวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ น้อมไปด้วยความเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่เรา เข้าใจเมื่อไหร่น้อมไปนิดนึง นิดนึงที่จะไปสู่ความรู้ว่าไม่มีเรา แล้วถ้าไม่มีเราลองเทียบดูสบายจริงๆ หรือเปล่า ปัญญาถึงระดับนั้นหรือเปล่า หมดสิ้นซึ่งความที่จะต้องผูกพัน เกี่ยวข้อง ยึดถือในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่มีแม้แต่ปัญญานั้นก็ไม่มี เกิดแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่มั่นคงว่าเป็นธรรมตลอดเลย เมื่อกล่าวว่า น้อมไป สังเกตพิจารณา อันนี้ก็ต้องเข้าใจว่าธรรม ที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเขาทำกิจ

    ท่านอาจารย์ เราเรียนเรื่องจิตเจตสิก ลืมหมดเลย เดี๋ยวนี้เราหรือว่าจิตเจตสิก

    ผู้ฟัง จริงๆ เป็นจิตเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ถามถึงเจตสิก นี่ตอบได้หมดเลย ๕๒ เกิดกับจิตกี่ประเภทอะไรบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏแม้เงา เพราะว่าเกิดแล้วดับแล้ว ทำไมไม่ปรากฏ ก็ไม่ได้รู้ตรงนั้น ไม่ได้เข้าใจตรงนั้น แล้วจะปรากฎได้ยังไง แต่ละคำฟังเพื่อละความไม่รู้ แทนที่จะคิดว่าเราจะต้องเข้าใจเยอะแยะ ละความไม่รู้ ทุกคำคำไหนก็ได้ ที่ทำให้ตรงต่อความเป็นจริง ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปฏิจสมุปาท หรืออะไรก็เพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ความมั่นคงในปริยัติว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ดูเหมือนจำเป็นมากๆ ในการศึกษา เพราะว่าถ้ามิเช่นนั้นนี่จะ

    ท่านอาจารย์ เป็นหนทางที่จะไปถึง ไม่งั้นฟังทำไม ฟังให้รู้ว่าเป็นเราฟังหรือ เพราะฉะนั้นไม่ว่าฟังอะไรทั้งหมด จุดสุดท้ายก็คือว่า ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่มีเรา ไม่มีเรานี่น่าจะเบา ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีตัว ไม่มีหมดเลย มีเมื่อไหร่ก็ติดข้องทันทีไม่ว่ามีอะไร

    ผู้ฟัง ดูเหมือนจะไม่มั่นคง ไม่ว่าจะกล่าวอะไรนี่ ก็จะมีตัวตน หรือความอยากที่จะไปทำเช่นนั้น ก็ยังส่องถึงความไม่มั่นคงในความเป็นธรรม ที่ตามเหตุปัจจัยไม่มีเราไปกำหนด ไปเจริญสติปัฏฐาน ไปอยากให้อะไรเกิด อยากทำอะไร ไม่ได้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ ก็แค่ฟังแล้วจะหมดกิเลส คิดดู ฟังยังไง ความเข้าใจต่างหากที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นอยู่ที่ความเข้าใจ เห็นดอกไม้นี่เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ก็นี่แหละใช่ไหม แต่จะเข้าใจไหม เมื่อได้ฟังค่อยๆ รู้ว่าเป็นแค่ปรากฏให้เห็นได้ เมื่อไหร่คำนี้จะมั่นคง เป็นแค่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ว่าใครทั้งนั้นในห้องนี้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด เพียงปรากฏให้เห็น แล้วก็ไม่มี ตายแล้วมีได้ไง ตอนเป็นนี่แหละ ดูเหมือนกับว่ามีแต่ก็ต้องตาย และจะมีได้ยังไง หมดไปโดยไม่รู้เลยทุกขณะ หลงเข้าใจว่ายังมีอยู่ เพราะฉะนั้นฟัง เพื่อให้ความเข้าใจเกิดขึ้น และความเข้าใจเขาทำหน้าที่ของเขาคือเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จากดอกไม้ที่เห็น ก็รู้เองว่าเข้าใจขึ้นบ้างไหม ถ้าไปหาทางอื่นอายตนะ ขันธ์ ธาตุ แต่ไม่รู้ว่าแค่ปรากฏให้เห็น จริงที่สุด ไม่ต้องเรียกขันธ์ก็ขันธ์ใช่ไหม ไม่ต้องเรียกอายตนะก็อายตนะใช่ไหม แต่ก็ไม่ต้องเรียกเพราะแค่ปรากฏให้เห็นได้ เราชอบอะไรตั้งมากมาย ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ติดข้อง จะรู้ไหมว่าแต่ละ ๑ เป็นเพียงปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นอีกนานไหม ต้องเป็นผู้ที่ตรงที่สุด ว่าสามารถจะรู้ความจริงได้แน่ เพราะมีผู้ที่ประจักษ์แจ้งความจริง ทรงแสดงความจริง และผู้ที่ฟังความจริงจนกระทั่งรู้จริงๆ ก็มีมากในอดีต และทำไมการเข้าใจเดี๋ยวนี้จะไม่เป็นเหมือนอย่างบุคคลในครั้งอดีต เมื่อมีกำลังเมื่อเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ เมื่อกี้อาจารย์กล่าวถึงขันธ์ ธาตุ อายตนะนี่ ว่าธรรมก็มีลักษณะของเขา เพียงแต่ใช้ชื่ออธิบายว่าเขาเป็น ความเป็นธรรมของเขาเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจ ตลอดเวลาเลย

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างมีจริง พร้อมที่จะให้เข้าใจได้ แต่ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็คิดไม่ออก

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ เริ่มต้นยกตัวอย่างเรื่อง ความเห็นถูกเป็นความเห็นถูก และก็ความเห็นผิดความเป็นผิด ตรงนี้ก็คือขณะนี้ แล้วก็เริ่มตั้งถามได้ว่าเป็นขณะนี้ยังไง แต่พอฟังท่านอาจารย์อธิบาย ก็จะรู้ว่าทุกคำก็ส่องถึงธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏขณะนี้ ดังนั้นความเข้าใจเค้าจะน้อมว่า อันนี้คือขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ถึงรู้ไง ว่าเราฟังธรรม ก็มีธรรมทั้งนั้นแหละรอบตัว เราสนทนาธรรม ก็พูดถึงสิ่งที่มีให้เข้าใจขึ้น เพราะรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็มี ก็ปรากฏ แล้วจะไม่เป็นสิ่งที่มีจริงได้อย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่สำหรับทุกคน ต้องสำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์จริงๆ รู้คุณค่าจริงๆ และรู้ว่าสามารถจะเป็นไปได้จริงๆ

    ผู้ฟัง กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพอย่างสูง และก็สวัสดีเพื่อนๆ ร่วมสนทนาธรรมทุกท่าน ท่านอาจารย์ ถ้าฟังธรรม สนทนาธรรม ฟังธรรมเพื่อเข้าใจอย่างเช่นยกตัวอย่างว่า เห็นไม่ใช่เรา สิ่งที่เห็นไม่ใช่เรา ก็ฟังไปอย่างนี้ ก็เข้าใจไปที่ฟัง ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นอยู่แค่นี้ ทำไมถึงจะต้องมี ขันธ์ ๕ ถึงจะมีอายตนะ ถึงจะมีธาตุเหล่านี้มาให้ศึกษาล่ะ ท่านอาจารย์ ถ้าหมายถึงว่าแค่ฟังว่าเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา ทำไมถึงมีแบบว่า

    ท่านอาจารย์ ท่านพระสารีบุตรฟังท่านพระอัสสชิ ท่านพระอัสสชิพูดเรื่องขันธ์ ๕ อายตนะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้พูด

    ท่านอาจารย์ แต่ทำไมท่านพระสารีบุตรรู้แจ้งสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏเป็นพระโสดาบัน

    ผู้ฟัง เพราะมีการสะสมมาแล้วที่จะ

    ท่านอาจารย์ เพราะกว่าจะเข้าใจว่า ปัญญาไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย ปัญญารู้สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น แต่ปัญญาอย่างนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ใครบังคับได้ พอพูดแล้วให้มีกันทุกคนได้หรือ แต่ว่าพอกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ว่าเพียงแค่ปรากฏให้เห็นได้ ต้องคิดแล้วใช่ไหม ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ไตร่ตรอง แล้วจะเข้าใจได้ไหม เพราะฉะนั้นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วแต่ว่าความคิดของใคร จะมากมั่นคงระดับไหน เดี๋ยวนี้ เป็นคนนั้น คนนี้ เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ค่อยๆ ละความเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นดอกไม้ เป็นคน โดยค่อยๆ เข้าใจว่า ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง คือแต่ละคำนั้นต้องมีความใส่ใจ พิจารณา แยบคายในแต่ละคำ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่ามีตนเป็นที่พึ่ง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้พึ่งคำของพระองค์ หรือว่าคำของพระองค์เป็นที่พึ่งให้เราเข้าใจ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    22 พ.ย. 2567