ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1229


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๒๙

    สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธาตุดินหมายความถึงสิ่งใดๆ ก็ตาม สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นแข็ง ธาตุดินที่เราพูดตั้งแต่เด็กเรารู้จักธาตุดิน แต่ความจริงธาตุดินก็คือสิ่งที่มีจริงเปลี่ยนไม่ได้เลย เปลี่ยนแข็งให้เป็นเสียงก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธาตุดินมีจริงไหม มีจริงเดี๋ยวนี้มีธาตุดินไหม มี แข็งไหม ธาตุน้ำก็แข็ง ดอกไม้ก็แข็ง โต๊ะก็แข็ง แต่เราเรียกตามรูปร่างสัณฐาน ว่าเป็นแก้วน้ำ เป็นคน แต่จริงๆ พอกระทบสัมผัสก็มีแค่แข็งใช่ไหม เพราะฉะนั้นธาตุดินอยู่ที่ไหน ที่ๆ แข็ง ที่ตัวนี้มีธาตุดินไหม มี เพราะแข็งใช่ไหม เพราะฉะนั้นแข็งเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง จะเรียกอะไรก็ได้ จับสิ่งที่แข็ง และบอกว่าจับแก้ว เพราะทรงจำไว้ว่า ลักษณะรูปร่างสัณฐานอย่างนี้เป็นแก้วน้ำ แต่ความจริงสิ่งที่ปรากฏคือแข็ง เพราะฉะนั้นทั้งหมดโลกนี้กี่จักรวาล ก็ไม่ปราศจากธาตุแข็ง ที่ตัวเราก็แข็ง ตัวคนอื่นก็แข็ง แก้วน้ำก็แข็ง อะไรก็แข็ง ทั้งหมดเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งต้องเกิดขึ้นถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ใช่ไหม คือต้องคิดต้องไตร่ตรอง ที่ว่าเกิดเป็นเรา เราเกิดมา ความจริงเป็นธาตุใช่ไหม เพราะว่าพอโตขึ้นก็มีแข็ง แต่ตอนเล็กๆ นี้ก็ ต้องพูดถึงหลายระยะ แต่ก็พูดถึงทั่วๆ ไป และให้เข้าใจคำว่าธรรมให้ชัดเจน จนกระทั่งไม่เปลี่ยนแปลงเลย นอกจากธาตุดินมีธาตุอะไรอีก

    ผู้ฟัง น้ำ

    ท่านอาจารย์ ธาตุน้ำอยู่ไหน แม้ได้ยินคำที่เราคุ้นหู แต่ว่าถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เข้าใจผิด ธาตุน้ำไม่ได้หมายความว่า น้ำที่เราดื่มกิน แต่ธาตุน้ำเป็นธาตุที่มีอยู่ที่สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ ที่กระทบสัมผัสแข็ง นอกจากกระทบสัมผัสแข็ง สัมผัสอะไรอีก เดี๋ยวนี้ใครคิดออก ไม่ได้มีแต่แข็งอย่างเดียว ห้องนี้เย็นไหม ถ้ามีกระทบสัมผัสจะรู้ว่าเย็นไหม ไม่รู้ว่าเย็น เพราะฉะนั้นกายเป็นที่สัมผัสสิ่งที่เย็น เย็นมีจริงเป็นธรรมหรือเปล่า รู้ไหมว่าเป็นธาตุอะไร เมื่อกี้มีดิน มีน้ำ มีไฟ มีลม รู้จักธาตุดินแล้ว สิ่งที่แข็งทั้งหมดเป็นธาตุดิน และร้อนเป็นธาตุอะไร ธาตุไฟ พอพูดถึงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น

    เพราะฉะนั้นธรรมหลากหลายมาก แต่ว่าธรรมแต่ละ ๑ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้เลย แข็งจะเปลี่ยนเป็นร้อนก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมมีลักษณะเฉพาะแต่ละ ๑ ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ จึงใช้คำว่าธาตุ หรือธาตุ ซึ่งหมายความว่าสิ่งใดก็ตาม ที่ทรงสภาพความเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าธรรมก็ได้ จะใช้คำว่าธาตุหรือธาตุก็ได้ ตอนนี้เริ่มเข้าใจ ๒ คำ ชัดเจนหรือยัง ๒ คำ ไม่สงสัย อะไรอีกที่เป็นธรรมหรือเป็นธาตุ ที่ตัวตัวนี้แต่ละคนนี่ มีกี่ธาตุ

    ผู้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ธาตุอะไร

    ผู้ฟัง มีดิน และไฟแล้วก็ลม

    ท่านอาจารย์ ทีนี้โดยมากเราจะพูดว่า ธาตุ ๔ หายไปใน ๑ ครบหรือยัง ได้ยินธาตุ ๔ ใช่ไหม ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่เราพูดถึง ดิน ไฟ ลม แล้วธาตุน้ำอยู่ไหนล่ะ มีจริงๆ มีแน่ๆ เลย ธาตุน้ำเป็นธาตุซึ่งกระทบสัมผัสไม่ได้ ต่างกับที่เราเคยคิดว่าเราดื่มน้ำ อาบน้ำใช่ไหม เพราะเหตุว่าธาตุน้ำเป็นธาตุที่เกาะกุม ซึมซาบธาตุทั้ง ๓ ให้รวมกัน แยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่ใดที่ร้อน ตรงนั้นก็มีธาตุดิน แล้วก็มีธาตุลม ซึ่งสามารถที่จะเคลื่อนไหว หรือตึง เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่ตัวเราทั้งหมด เราไม่เคยรู้เลย ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ความจริงถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่เกิดขึ้น จะมีเราหรือ เห็นไหม ความจริงก็คือว่า ธาตุเป็นธาตุ ธรรมเป็นธรรม แต่เพราะไม่รู้ความจริง ก็หลงเข้าใจว่าเป็นเรา แต่เรามีชีวิตอยู่แค่ไหน จากเกิดขึ้นแล้ววันหนึ่ง ก็ต้องจากโลกนี้ไป มีชีวิตอยู่เท่านี้เอง บางคนอาจมีชีวิตยืนยาวมากถึง ๙๐ ปีก็ได้ใช่ไหม แต่อย่างข่าวที่เราได้ฟัง อายุไม่มากเลยก็มีอุบัติเหตุ แล้วก็จากโลกนี้ไปโดยไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็กราบไหว้ เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จะเพียงกราบไหว้ โดยไม่เข้าใจพระคุณ ที่ทำให้เราสามารถรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นที่มีสิ่งนั้นต้องเกิด ถูกต้องไหม ถ้าไม่เกิดจะมีไหม ถ้าไม่เกิดไม่มีทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ถ้าแข็งไม่เกิดก็ไม่มีแข็งถูกต้องไหม ร้อนไม่เกิดก็ไม่มีร้อน หิวไม่เกิดก็ไม่มีหิว เดี๋ยวนี้หิวเกิดหรือยัง ถ้าหิวเกิดหิวก็มี ถ้าไม่หิวจะบอกว่าหิวได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราหิวหรือว่าหิวเกิด ถ้าหิวไม่เกิด ไม่มีหิว เพราะฉะนั้นไม่มีเราอย่างนั้นหรือ

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็คือว่าเป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ต่อไปนี้ให้มีความเข้าใจเล็กน้อย ยังไงก็ตามแต่ให้มั่นคง ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม และก็หลากหลายมาก เพราะฉะนั้นก็ต่างกัน เป็นสิ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพนั้นๆ ไม่ได้เลย จึงใช้อีกคำหนึ่งว่าธาตุหรือธาตุ เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมกับคำว่าธาตุเหมือนกันเลย เห็นมีจริงไหม เป็นธาตุหรือเปล่า เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นเราหรือเปล่า ถ้าเห็นไม่เกิดเป็นเราไหม ไม่มีเรา ได้ยินไม่เกิดมีเราได้ยินไหม ไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะไม่รู้ก็เข้าใจว่าเป็นเรา แต่ว่าคำหนึ่งซึ่งถ้าได้ยินแล้วก็มีความสนใจที่จะเข้าใจ จะเป็นที่พึ่งทุกชาติ คือธรรมทั้งหลายธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา อนัตตาหมายความถึงสิ่งซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ยั่งยืนที่เที่ยง ฟังแล้วต้องคิด จริงหรือเปล่า เสียง ก่อนมีเสียงปรากฏ ไม่มีเสียง แล้วเสียงเกิด แล้วเสียงก็หายไปไม่กลับมาอีก ในสังสารวัฎฏ์ จะไปตามเสียงที่ไหน ไม่มีภพ ไม่ว่าโลกไหนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นแต่ละ ๑ ที่มีปัจจัยเป็นสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกัน ปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ชั่วคราว แสนสั้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นเห็นเป็น ๑ ขณะใช่ไหม ได้ยินเป็นอีก ๑ ขณะ คิดเป็นอีก ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นที่เราว่าเป็นชีวิตของเรา ก็คือเป็นธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเริ่มฟังคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการกราบนมัสการบูชาคุณเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ใครจะคิดว่าจะกราบพระ ฟังธรรมเข้าใจเมื่อไหร่ เป็นการบูชาสูงสุด เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ประสงค์ที่จะให้ใครบูชาพระองค์ ด้วยสิ่งใดเลย แต่บำเพ็ญบารมีที่จะรู้ความจริง และให้คนอื่นได้รู้ด้วย เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นเราคืออะไร

    ผู้ฟัง คือธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เห็นไหม ใครปฏิเสธได้ นี่เข้าใจแล้วใช่ไหม ที่ว่าเป็นเก้าอี้เป็นอะไร

    ผู้ฟัง ธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม ที่ว่าแข็งเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เพราะฉะนั้นตอบได้เลย ทุกอย่างที่มีเกิดขึ้นจึงมี ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ถ้าเกิดเองก็ไม่ได้ ใครไปทำให้เกิดได้ คนตาบอดไปทำให้เขาเห็นได้ไหม แต่คนที่มีตาเห็นไหม เห็น เพราะฉะนั้นเห็นเพราะมีตา ไม่ใช่เห็นเพราะเราไปทำให้เห็นเกิดขึ้น หรือใครไปทำเห็นเกิดขึ้น เริ่มเห็นความเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้อะไร เกิดขึ้นได้เลยทั้งสิ้น ทั้งหมดเลย แต่สิ่งที่มีจริงที่มีต้องเกิด เพราะเหตุปัจจัยที่อาศัยกัน ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น ต้องมีสิ่งซึ่งเกิดขึ้น ตามสิ่งที่อาศัยกัน และกันทำให้เกิดขึ้น เช่นเห็นต้องอาศัยตา ถ้าหูหนวกได้ยินเสียงไหม ไม่ได้ยิน แต่ถ้ามีหูแต่ไม่มีเสียงกระทบ ได้ยินไหม ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้นพอมีหูแล้วเสียงกระทบ ได้ยินเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เองแล้วก็หมดไป บังคับไม่ให้หมดได้ไหม ให้ได้ยินต่อไปได้ไหม ให้มีเสียงต่อไปได้ไหม นี่คือค่อยๆ เข้าใจคำว่าธรรมความเข้าใจทั้งหมด ไม่ว่าเราจะได้ยินได้ฟังอะไรทั้งสิ้น วิชาการใดๆ ในโลกทั้งหมด โลกไหนก็ตามแต่รวมอยู่ที่ธรรมเป็นธรรม คือเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้น และก็หมดไป ต้องตายใช่ไหม ไม่ตายได้ไหม ไม่ได้ นั่นแหละเป็นธรรม ที่ถึงเวลาอยู่ต่อไปไม่ได้ เห็นไหม อยู่ต่อไปไม่ได้ เหมือนเห็นๆ ตลอดเวลาไม่ได้ เห็นก็ต้องหมดไป ได้ยินก็ต้องหมดไป ทุกอย่างก็ต้องหมดไป เมื่อวานนี้ก็ต้องหมดไป เคยมีความสุขมากๆ ไหม ยังอยู่ไหม ไม่อยู่ กลับมาอีกได้ไหม เห็นเมื่อกี้นี้กับเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นเห็นอันเดียวกันหรือเปล่า ได้ยินเดี๋ยวนี้กับได้ยินเมื่อกี้นี้ เป็นได้ยินเมื่อกี้นี้ กลับมาเกิดได้ยินหรือเปล่า ไม่ได้ เพราะฉะนั้นความสุขที่เคยมี จะกลับมามีอีกได้ไหม ถ้าเกิดความสุขใหม่แล้ว ไม่ใช่เก่า เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเก่าเลย ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เป็นใหม่อยู่ตลอดเวลา จากเด็กเล็กๆ ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น และก็จากโลกนี้ไป ต้องเกิดอีกไหม

    ผู้ฟัง ต้องเกิดอีก

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่ามีเกิดแล้วก็มีดับ

    ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้อง แต่ว่ายังไม่เข้าใจลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นให้ทราบแต่ละอย่างที่ได้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้ นี่คือความมั่นคง ที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าไม่เคยฟังไม่เคยเข้าใจ ที่จะทำให้เราพ้นจากการที่จะต้องทุกข์มากๆ เพราะเสียดายของที่หมดไป หมดไป ก็หมดไปกลับมาอีกไม่ได้เลย แต่ก็มีใหม่ แล้วก็หมดอีก ดีไหม

    ผู้ฟัง ดี

    ท่านอาจารย์ ฟังหน่อย มีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป เสียดายไหม ความสุขที่เกิดขึ้น ไม่มีแล้วเสียดาย แต่ก็มีสุขเกิดขึ้นอีกแล้วก็ดับไปอีก แล้วสุขก็เกิดขึ้นอีกแล้วก็ดับไปอีก ไม่เหมือนเดิมเลย แต่ว่าไม่ได้มีแต่เฉพาะสุข ทุกข์ก็มี เพราะฉะนั้นสุขกับทุกข์ก็สลับกัน ทุกคนอยากสุข แต่ทำไมทุกคนไม่เป็นสุข แต่เป็นทุกข์ บางคนเจ็บไข้ บางคนมีเรื่องเดือดร้อนต่างๆ เลือกได้ไหม ทำได้ไหม ทำไม่ได้ ต้องมั่นคง เลือกก็ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ ถ้าทำได้กรุณาทำอะไรสักอย่างสิ ที่คิดว่าทำได้

    ผู้ฟัง ทำได้

    ท่านอาจารย์ ทำอะไรได้

    ผู้ฟัง คุยกับอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ขอโทษ ถ้าไม่คิดจะพูดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม แล้วห้ามคิด ไม่ให้คิดอย่างนี้ ให้คิดอย่างอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ห้ามคิดห้ามไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องคิดอย่างที่เกิดคิด แล้วก็พูดอย่างที่เกิดคิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นทำหรือว่าคิดทำ ถ้าไม่มีคิดก็ไม่พูด เพราะฉะนั้นคิดเกิด แล้วก็ทำให้กายไหวไป เพราะฉะนั้นที่เราว่าเราทำ จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ต้องฟังอีกมาก และก็ต้องมั่นคงในแต่ละคำ ถึงจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ และก็บูชาพระองค์ด้วยการเข้าใจพระธรรม เป็นการบูชาสูงสุด จะไปกราบพระที่ไหนไหม จะไปไหว้พระที่ไหนไหม บูชาด้วยการฟังธรรมเข้าใจ ดีกว่าใช่ไหม ธรรมนี้เป็นเรื่องที่ถามได้เรื่อยๆ และก็ควรจะตอบได้เมื่อได้ฟังนะ เพราะฉะนั้นตกแง่คิดได้ไหม แสดงว่าคิดไม่ใช่แข็ง ถูกต้องไหม แต่ว่าต่างกันยังไง เห็นไหม เราจะต้องเป็นคนที่ไตร่ตรองแล้วก็พิจารณา และเข้าใจตอบแล้วถูก ก็ต้องรู้ว่าถูกแค่ไหน หมดหรือยัง ถูกทั้งหมดหรือยัง หรือว่าถูกเพียงบางส่วน หรือว่าเข้าใจได้นิดหน่อย เพราะฉะนั้นเวลานี้รู้ละว่าคิดไม่ใช่แข็งใช่ไหม เพราะฉะนั้นคิดเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นธาตุหรือเปล่า ทุกอย่างที่เป็นธรรม เป็นธาตุทั้งหมด เพราะฉะนั้นแข็งเป็นธรรม แข็งเป็นธาตุ คิดเป็นธรรม คิดเป็นธาตุ แต่ต่างกับแข็งใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมหลากหลายมาก แต่ว่าต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือธรรมอย่าง ๑ ไม่รู้อะไรเลย หวานไม่รู้ แข็งก็ไม่รู้ เค็มก็ไม่รู้ เสียงก็ไม่รู้ กลิ่นก็ไม่รู้ แต่ว่ามีสภาพที่เห็น รู้ว่าอะไรอยู่ข้างหน้า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นเห็น รู้ไม่ใช่ไม่รู้ อย่างแข็งเปรี้ยว หวาน เค็ม เพราะฉะนั้นธรรมต่างกันเป็น ๒ อย่าง คืออย่าง ๑ ไม่รู้อะไรเลย ภูเขารู้อะไรไหม ภูเขามีไหม เป็นธาตุ เป็นแข็ง รู้อะไรไหม ไม่รู้ แต่ใครรู้ภูเขา ใครเห็น ธาตุชนิด ๑ ซึ่งเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้นโลกทั้งหมดกี่โลกก็ตาม จะต่างกันคือว่ามีธรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร กับมีอีกอย่าง ๑ เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เกิดขึ้นต้องรู้ จริงไหม เสียงนี่ก็ไม่รู้หรอก ไม่ได้ยินหรอก แต่ขณะใดก็ตามที่เสียงปรากฏ หมายความว่ามีธรรมที่กำลังได้ยินเสียง เราใช้คำว่าธรรมเพราะได้ยินมีจริงๆ แต่ได้ยินไม่ใช่เสียง เริ่มลำบากหรือเปล่า หรือว่ามีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วทำไมไม่รู้ล่ะ ทำไมไม่เข้าใจล่ะ นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงให้รู้ความจริงว่า แต่ละ ๑ อย่าได้เสียเวลาลำบาก ที่จะต้องทุกข์ร้อนเลย เพราะเขาเกิดขึ้นเป็นไป ยับยั้งไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ ในที่สุดก็จะค่อยๆ คลายความทุกข์ที่ยึดมั่นว่าเป็นเรา และเวลาที่ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็โศกเศร้าเสียใจ เวลาที่พลัดพราก จากสิ่งที่พอใจ ก็ร้องห่มร้องไห้เสียใจ แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าเป็นธรรมดา อะไรล่ะที่ไม่หมด เสียงเมื่อกี้นี้ยังหมดเลย แล้วอย่างอื่นจะไม่หมดหรือ เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ต้องหมดไป เป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าให้เราได้รู้จริงๆ อย่างนี้ทันที แต่เริ่มฟังเริ่มไตร่ตรอง เริ่มรู้ประโยชน์ ว่าดีกว่าไม่รู้ไหม

    เพราะว่าถ้าไม่รู้คนฆ่าตัวตายทำไม ทำไมเขาฆ่าตัวตาย ถ้าสุขสบายดีจะฆ่าตัวตายไหม ก็ไม่ฆ่าตัวตาย แต่ทุกข์จนทนมีชีวิตอย่างนั้นไม่ได้ แต่เขาหารู้ไม่ว่า ถึงแม้ว่าจะจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีชีวิตอย่างนี้ ก็ต้องมีชีวิตอย่างอื่น เหมือนอย่างที่ก่อนจะเกิดมาในโลกนี้ ก็มีชีวิตอย่างอื่น เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วพอเกิดมาก็สุขทุกข์อย่างนี้แหละ จะมากจะน้อยยังไง ก็ต้องจากไป แล้วก็ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้นทุกอย่างชั่วคราว ถ้าได้ยินคำนี้มั่นคงจริงๆ สามารถที่จะหมดกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ว่าความไม่รู้มีมาก ความติดข้องมีมาก เพราะฉะนั้นก็หลงไม่รู้ และหลงติดข้องต่อไป จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ พูดถึงชีวิตทุกชีวิตทั้งหมดมีจริงๆ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างด้วย ซึ่งถ้าไม่รู้ก็คือว่า ทำไมเกิดมาเป็นเรา เพราะต้องเป็นเรา เพราะเหตุที่ได้ทำไว้ จะต้องเป็นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าใส่เกลือในขนมมากเค็มไหม เพราะฉะนั้นให้หวานได้ไหม ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการกระทำใดๆ มีทั้งดี และชั่วผลก็ต้องเป็นตามเหตุ ถ้าเหตุไม่ดีจะนำมาซึ่งผลดีไม่ได้ แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าเราเกิดมา ทำไมถึงต้องบางวันเป็นสุข บางวันเจ็บไข้ได้ป่วย บางวันก็มีเรื่องทีสนุกสนานรื่นเริง แต่บางวันก็เป็นทุกข์ร้อน บังคับได้ไหม ไม่ได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว แต่ว่าเราไม่รู้เลยว่าวันนี้เราทำไม่ดี ผลจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และผลนั้นคืออะไร เราพูดง่ายๆ แค่คำสองคำว่า กรรมคือการกระทำ ถ้าทำดีก็ได้ดีนำมาซึ่งผลดี ถ้าทำชั่วก็นำมาซึ่งผลชั่ว ติดคุกได้ใช่ไหม บาดเจ็บ ล้มหายอะไรก็ได้ทั้งหมด แต่ว่าเหตุต้องมี เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้เข้าใจต่อไป ว่าเหตุไม่ดีที่ทำผลคืออะไร จากโลกนี้ไปแล้วเกิดไม่ดี ทำไมมีนก มีหนู มีแมว มีช้าง มีจิ้งจก มีตุ๊กแก ทำไมไม่มีแต่คน เนื่องจากที่ได้กระทำไว้ สุนัขบางตัวก็รูปร่างน่ารักมาก แม้เกิดเป็นสุนัข กรรมยังทำให้วิจิตรต่างกันไป นี่แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลง เหตุที่ได้กระทำแล้วได้เลย แม้เกิดเป็นมนุษย์ รูปร่างหน้าตาก็ต่างกัน แม้เป็นพี่น้องกันก็ยังต่างกันได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามเหตุ เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดดี ดีตลอดชีวิตหรือเปล่า ไม่เลย เพราะว่าเราเกิดมาเราไม่ได้ทำดีตลอดชีวิต ที่ทำไม่ดีก็มี

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า การเกิดเป็นผลของกรรมแล้วยังมีอะไรอีกล่ะ ที่เป็นผลของกรรม จะได้จำไว้จะได้รู้ไว้ เมื่อปรารถนาสิ่งที่ดีก็ต้องทำเหตุที่ดี เกิดแล้วต้องเห็น ถูกไหม เกิดแล้วต้องได้ยิน เกิดแล้วต้องได้กลิ่น เกิดแล้วต้องลิ้มรส เกิดแล้วต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรม เลือกได้ไหม เพราะมีธาตุรู้ขณะที่กำลังเห็น เห็นสิ่งที่ดีก็เป็นสิ่งที่สวยงาม เพชรนิลจินดา ดอกไม้ต่างๆ ถ้าเห็นไม่ดีก็หลายอย่างใช่ไหม หนอง เลือดหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ อุบัติเหตุกลางถนน ใครอยากเห็นแต่เห็น น่าดูไหม ไม่น่าดู ไม่เห็นดีกว่าแต่ต้องเห็น เพราะว่าขณะใดก็ตาม เห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกรรมดีที่ได้ทำแล้ว ได้ยินเสียงที่ดีที่ไพเราะเพราะ ก็เป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว ได้กลิ่นที่ดีตอนนี้ไม่โทษใครแล้ว กรรมที่ได้ทำแล้วทำให้ขณะนั้นเกิดจิตที่ได้กลิ่นที่ไม่ดี รสอาหาร มีตั้งมากมาย บางวันก็อร่อย บางวันก็ไม่อร่อย บางคนชอบเผ็ด บางคนชอบอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าทำไมรสต่างกัน เพราะจิตเกิดขึ้นลิ้มรสที่ต่าง จะให้รสไม่ต่างกันไม่ได้ จะให้รสเหมือนกันทุกรสไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขณะที่ลิ้มรส ยังต้องเป็นผลของกรรม ว่าขณะนั้นลิ้มรสอะไร เคยลิ้มรสขมขมมากๆ ไหม ทำไมคนอื่นเขาไม่ได้ลิ้มรสนั้นล่ะ ทำไมเป็นเรา หรือทำไมต้องเป็นเรา อย่างที่ว่า ก็เพราะเหตุว่ากรรมใดทำไว้ที่จะทำให้ ขณะนั้นไม่ให้ผลทางตา ไม่ให้ผลทางหู แต่ให้ผลทางลิ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นมีตาสำหรับรับผลของกรรม มีหู มีจมูก มีลิ้น อีกกาย สำหรับรับผลของกรรม ต่อไปนี้ก็พอได้รับผลที่ดีก็รู้เลยว่า เพราะกรรมที่ได้ทำมา แต่กรรมไหนก็ไม่รู้ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่มีเหตุดีแน่ๆ ที่ได้ทำมา เพราะฉะนั้นเหตุดีที่ทำ ต้องให้ผลดี แต่เมื่อไหร่ไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    26 พ.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ