ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1203


    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๐๓

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน

    วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราประมาทไม่ได้เลย ว่าตั้งแต่เกิด ไม่สนใจที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีแต่ละ ๑ ว่านี้ ตอนนี้ได้กลิ่นดอกมะลิเห็นไหม ได้กลิ่นดอกมะลิไหนนี้ นี้ ๑ - ๑- ๑ ได้กลิ่นไม่ใช่กลิ่น เพราะฉะนั้น กลิ่นคือนี้ ได้กลิ่นคืออีก ๑ นี้ เพราะฉะนั้นนี้ทั้งนั้น แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า แต่ละนี้ ไม่ใช่เรา และไม่รู้ว่าแต่ละนี้เกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นลองคิดดู แค่ประโยคสั้นๆ ว่า เธอจงทำความเพียรเพื่อรู้ความจริงของทุกข์ แค่นี้ต้องศึกษานานเท่าไหร่ และเห็นถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจจริงๆ ว่าเราไม่เคยรู้เลย ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงว่าขณะนี้ แต่ละ ๑ นี้ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วจนไม่รู้ว่านี้ไหนเกิด นี้ไหนดับ แต่ละ ๑ นี้ละเอียดมาก และก็กำลังเกิดดับอยู่จนกว่าจะประจักษ์ความจริง และความเพียรที่จะรู้ว่า แม้ความเพียรก็เป็นนี้ ๑ ซึ่งเกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นแค่ประโยคสั้นๆ แต่อาศัยความไตร่ตรอง ความเข้าใจถูกต้อง และการรู้ความจริงว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออย่างไร ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจ ตามความเป็นจริงอย่างนั้น มิฉะนั้นไม่มีโอกาสรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

    ผู้ฟัง ดังนั้นที่พระผู้มีพระภาคตรัสถึง พึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามเป็นจริงว่านี้ทุกข์ หมายความว่าสิ่งที่เป็นจริง แต่ละลักษณะปรากฏก็เพราะอาศัยความเพียร

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเพียร แต่อาศัยความเพียรที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น

    อ.วิชัย ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็มีความเพียร

    ท่านอาจารย์ ความเพียรแน่นอน ความเพียรทำอะไร

    อ.วิชัย ก็ตั้งแต่ตื่นนอนจากที่นอนเลย

    ท่านอาจารย์ ความเพียรทำอะไร ตื่นแล้วทำอะไร แค่ลืมตาก็ไม่รู้ว่าเพียร แต่เพียรเป็นเราเพียร เพราะไม่รู้ ไม่รู้ความจริงว่าเพียรลืมตา หลับตาอยู่ไม่เพียรจะลืมตาได้ไหม

    อ.วิชัย ถ้าไม่มีความเพียรก็ลืมตาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแม้แต่ลืมตาก็เพียร ลืมตา ยกมือ ไม่เพียรยกมือได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทั้งวันเพียรหรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็มีความเพียรเกิดขึ้นเป็นไปในการกระทำกิจต่างๆ

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงคือไม่ใช่เรา นี้ทุกข์ และนี้ทุกข์ เกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้ทั้งหมดที่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ในขณะที่สิ่งนั้นๆ กำลังปรากฏเกิดขึ้น อย่างได้ยิน มีเสียง ใช่ไหม เสียงต้องเกิด ได้ยินต้องเกิด ถ้าได้ยินไม่เกิด เสียงก็ไม่ปรากฏ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแล้วเกิดแล้วดับไป ไม่มีอะไร แต่ละคำเป็นสิ่งซึ่งเราจะต้องไตร่ตรอง เพื่อจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความไม่มีเรา ในความเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ซึ่งฟังไปเถอะ อีกนานเท่าไหร่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี ขณะนั้นเพียรหรือเปล่า

    อ.วิชัย เพียร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแทนที่จะเพียรยกมือ เพียรหลับตา เพียรลืมตา ก็เพียรเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง จึงจะรู้ได้ว่าไม่มี แล้วเราหลงอยู่ในสังสารวัฎฏ์ เลยเข้าใจว่ามีมาโดยตลอด มีเมื่อเกิดขึ้น แต่เมื่อดับไป ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม เหมือนเดิมที่ไม่เคยมี เป็นอย่างนี้มาในสังสารวัฎฏ์ ชาติก่อนทั้งชาติ ก็เหมือนชาตินี้ มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น ลิ้มรส มีสุข มีทุกข์ มีเหตุการณ์ต่างๆ มีการรับประทานอาหาร สนุกสนานรื่นเริง แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ไหน ไม่มีเลยทุกชาติเป็นอย่างนี้ ชาตินี้ก็เช่นเดียวกัน พอถึงชาติหน้า ชาตินี้ก็หายไปไหน ทั้งๆ ที่พอไม่ถึงชาตินี้ ก็นี่ไงล่ะ ชาติก่อนของชาติหน้า กำลังเป็นอย่างนี้ทุกอย่างแล้วก็หมดไป แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นก็เพียรเพื่อที่จะเข้าใจให้ ถูกต้องตามความเป็นจริง มีประโยชน์ไหม หรือจะหลงอยู่ต่อไป ในสังสารวัฎฏ์

    อ.วิชัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงความยากโดยประการต่างๆ แต่โดยใจคือไม่เห็นตามความเป็นจริงอย่างที่พระองค์แสดงถึงการเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งก็มีโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมที่พระองค์ได้ประกาศ หรือแสดง ก็ยังดำรงอยู่ แต่ไม่เห็นความลึกซึ้งของความยาก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระสูตรนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรมแล้ว จึงรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ถ้าไม่เข้าใจเลย แม้แต่ ทุกข์คือเดี๋ยวนี้ ซึ่งเกิดแล้วดับ จากไม่มีแล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ เหมือนตอนไม่มีแล้วมีทำไม โดยไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย เป็นธาตุเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงจนกระทั่งว่า ถ้าไม่มีอะไร เพียงแค่มีสิ่งซึ่งเป็นปัจจัย ทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตลอดเวลา เมื่อครู่นี้ทำอะไร หมดแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นอยู่ด้วยความไม่รู้ตลอดมาในสังสารวัฎฏ์ เพราะฉะนั้นเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างนก ได้ยินเสียงก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่คนก็สามารถที่จะจำ และก็เข้าใจความหมายของเสียงแต่ละเสียง ที่เป็นภาษาต่างๆ ได้ นี่ก็เป็นโอกาสที่หายากอย่างยิ่ง เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าชาติก่อนเกิดเป็นอะไร และชาติต่อไปจะเกิดเป็นอะไร แม้แต่ขณะต่อไปจะเกิดเป็นอะไร ทุกคนเหมือนกับอยู่ในโลกนี้ แต่จะนานเท่าไร บางคนก็ออกจากบ้านไปทำธุระก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะออกจากบ้าน หรืออยู่ในบ้าน หรือที่ไหนก็ตามก็ไม่รู้ว่า ขณะต่อไปจะเป็นอะไร และมีโอกาสจะได้ฟังคำของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกหรือไม่ เพราะฉะนั้นโอกาสที่ประเสริฐที่สุดในแต่ละชาติ ทรัพย์สินเงินทองก็นำไปไม่ได้ รูปร่างทุกสิ่งทุกอย่าง คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติอะไรติดตามไปไม่ได้เลย แต่ว่าความเข้าใจธรรมที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ สะสม จนกระทั่งสามารถที่จะถึงเวลาที่ สภาพธรรมจะปรากฏกับปัญญา ที่สามารถเข้าใจธรรมนั้นได้ ต้องปรากฏกับปัญญาที่สามารถเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจธรรม สิ่งนั้นปรากฏไม่ได้ ปรากฏอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจ เหมือนเดิมใช่ไหม เห็นก็กำลังปรากฏ ได้ยินก็กำลังปรากฏ แข็งก็กำลังปรากฏแต่ไม่เข้าใจ จนถึงวันหนึ่งซึ่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ละความไม่รู้เพิ่มขึ้น สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็ปรากฏกับปัญญาที่สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจได้ สภาพธรรมก็เป็นอย่างนี้ เหมือนปกติ ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรขึ้นมาเลย เพราะเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    อ.วิชัย ก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงปรากฏแก่ปัญญา ที่สามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้ ไม่ใช่แค่อย่างอื่น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏ เข้าใจอย่างนั้นหรือยังว่าเกิดดับ

    อ.วิชัย ยัง

    ท่านอาจารย์ ยัง เพราะไม่ได้มี ความเข้าใจมั่นคงมากพอ ที่จะเข้าใจความเกิดดับได้

    อ.ธิดารัตน์ การที่จะอบรม หรือทำให้ปัญญามีเพิ่มขึ้นจนสามารถจะเข้าใจได้ ต้องอาศัยอะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ คำถามนี้ทุกคนตอบได้ใช่ไหม คือฟัง เพราะก่อนฟังจะเข้าใจอย่างนี้ไหม ไม่มีเลย แต่ฟังแล้วเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวนี้คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพราะเดี๋ยวนี้จริง มีสิ่งที่มีจริงๆ เห็นมีจริง คิดมีจริง ได้ยินมีจริง ถ้าไม่ฟังจะเข้าใจได้อย่างไร

    อ.ธิดารัตน์ เหตุที่บางคนฟัง ก็นาน แต่ยังไม่เข้าใจ แต่บางคนก็ฟังแล้วสามารถจะเข้าใจได้ ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ถ้าฟังแล้วไม่คิด ไม่ไตร่ตรอง จะเข้าใจไหม ผ่านหูไปเลย ฟังแล้ว จะเข้าใจได้อย่างไรง แต่คนที่จะเข้าใจได้มาก เพราะฟังมามาก เข้าใจมามากใช่ไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังอีก ได้ยินอีก ความเข้าใจที่มีมากแล้วหายไปไหน ไม่ได้หายไปเลย เมื่อวานนี้เราฟังทำให้เราเข้าใจวันนี้เพิ่มขึ้น จากการที่เราได้ยินซ้ำอีก เพราะฉะนั้นเราจะขาดการฟังได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ หมายความว่าการฟัง ก็สะสมเพิ่มทุกครั้งหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ จริงหรือไม่

    ผู้ฟัง ก็จริง เพราะว่าจากที่ว่าเคยฟังเมื่อก่อนนี้ กับฟังเดี๋ยวนี้ ก็เหมือนกับสามารถที่จะเข้าใจได้มากกว่าเมื่อก่อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้ได้ใช่ไหม ว่าทำไมถึงได้เข้าใจได้มากกว่าเมื่อก่อน ถ้าฟังเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจแค่ที่ฟังจบแค่นั้น ไม่มีการได้ฟังต่อไปอีก แต่พอฟังอีก ฟังอีก ฟังอีก ความเข้าใจแต่ละครั้งเพิ่มขึ้นหรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ การเพิ่มขึ้นหมายถึงเป็นการสะสมสืบต่อของสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าว่าไม่มีการฟังมาก่อน เข้าใจ เพราะว่าจิตเกิดดับ สืบต่ออยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างที่เป็นกุศลอกุศล สะสมอยู่ในจิต

    อ.ธิดารัตน์ และก็ไม่ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียวใช่ไหม เพราะว่าอดีตอาจจะเคยฟังมา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ชาตินี้คืออะไร

    อ.ธิดารัตน์ ขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ชาตินี้คือการเกิดดับสืบต่อของจิตไม่ขาดสายเลย แต่ว่าเราสมมติว่าเกิด และตาย แต่ทันทีที่ จุติจิตคือจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ ทำจุติกิจ คือเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีเป็นอีกชาติหนึ่ง เพราะฉะนั้นชาติหนึ่ง ชาติหนึ่งก็คือการเกิดดับสืบต่อของจิต แล้วแต่ว่าเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จิตก็ไม่ได้สิ้นสุดเกิดดับสืบต่อ แต่เป็นบุคคลใหม่ ตามกรรมที่ได้เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น

    อ.วิชัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ตรัสถึงขณะที่หาได้ยากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เธอทั้งหลาย อย่าได้ล่วงเลยขณะไปเสียเลย ความละเอียดจะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ไม่ได้ฟังธรรม ล่วงเลยแล้วใช่ไหม

    อ.คำปั่น พระธรรมก็ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้แต่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของขณะ ขณะนี้หมายถึงว่าช่วงเวลาที่เหมาะควร ที่จะเกื้อกูลให้ผู้นั้นได้ศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจความจริง ก็คือผู้นั้นได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ทรงแสดงธรรม แล้วผู้นั้นมีศรัทธาเห็นประโยชน์ ที่จะได้ฟังความจริง ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจความจริง แล้วก็มีการฟังมีการศึกษาความเข้าใจเจริญขึ้น นี่คือขณะที่ประเสริฐขณะที่มีค่า เพราะว่า ๓ สิ่งนี้ ที่จะประจวบพร้อมกัน เกิดขึ้นได้ยากในโลก ซึ่งท่าานอาจารย์ก็กล่าวสรุปว่า ก็คือได้ฟังพระธรรม ที่จะเป็นขณะ เป็นโอกาสที่มีค่าที่จะทำให้ความเข้าใจเจริญขึ้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้าใจ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวเน้นย้ำอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องของการมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ว่าเป็นการที่จะได้สะสมความเข้าใจ ฟังแล้วได้ฟังอีก ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นมั่นคงขึ้น แต่ถ้าไม่ฟังเลย หมดโอกาสที่จะเข้าใจ

    ผู้ฟัง ขอถามเรื่องการสะสมของจิตกับเจตสิก

    ท่านอาจารย์ คำถามนี้แสดงถึงความยังไม่ละเอียดในการเข้าใจจิต และเจตสิก ถ้ามีความเข้าใจจิต และเจตสิกละเอียด ก็จะไม่สงสัย แต่ความสงสัยจะไม่มีหมดไปเลย รู้ไว้เถิดจนกว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน จะมีความสงสัยเกิดแทรกคั่น เพราะว่าไม่เคยรู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นในขั้นฟังยังสงสัย และต่อไปก็ต้องยังสงสัยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดความสงสัย เพราะฉะนั้นก่อนอื่น เดี๋ยวนี้มีจิต พูดอย่างนี้ เหมือนรู้ ไปบอกใครที่ไหนเขาก็รู้ ยังไม่ใช่คนตายก็ต้องมีจิต แต่ก็ยังไม่รู้จักจิต เพราะฉะนั้นการรู้จักจิตไม่ง่าย ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง แต่เป็นธาตุที่รู้ แล้วเราจะสงสัยไหม ว่ารู้คืออย่างไร เพราะเห็นอย่างนี้ รู้คืออย่างไร รู้จักแต่เห็น ว่าเห็นกำลังเห็น แต่ความจริงเห็นคืออะไร สิ่งที่ปรากฏคืออะไร ถ้าสามารถที่จะรู้ได้ ว่าที่มีสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เพราะเห็น แค่นี้ดูไม่ยากใช่ไหม สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้เพราะเห็น แต่ตัวเห็นจริงๆ ซึ่งเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเห็น ซึ่งเราไม่เคยสนใจมาเลย ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีจิตไม่ได้เลย ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะคิดไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ทั้งวัน เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้น ถ้ามีแต่ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกอย่างที่เป็นธรรม แต่ถ้าธรรมที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไรก็ไม่ใช่จิต

    เพราะฉะนั้นที่เรากล่าวว่าจิตเราหมายความถึงที่เห็นเดี๋ยวนี้ ที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ ที่รู้เดี๋ยวนี้ นั่นคือสภาพที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปทำให้เกิดขึ้นได้ หรือไปหยุดยั้งไม่ให้เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใครเลยทั้งสิ้น เป็นสิ่งซึ่งเราเคยเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเรา และของเรามานานมาก จิตของเรา เจตสิกของเรา แต่ความจริงถ้าไม่เกิดจะมีเราแล้วจะมีของเราไหม แค่นี้ลืม ลืมสนิท จนกระทั่งเข้าใจอย่างมั่นคงต้องเกิดขึ้นขณะนี้ จิตต้องเกิดขึ้นรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เสียงปรากฏเพราะจิตรู้เสียง สิ่งที่กำลังมีให้รู้ทางตา เพราะจิตเกิดขึ้นเห็น เพราะจิตเกิดขึ้นเห็นเดี๋ยวนี้เอง แล้วเวลาคิดก็เพราะจิตเกิดขึ้นคิดนึก เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ ฟังกี่ครั้งแล้ว ไม่พอเลย เห็นไหมว่าถ้าขาดการฟัง ลืมสนิท ฟังเมื่อไหร่ก็ค่อยๆ เตือน ถ้าฟังบ่อยๆ แม้ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ก็ยังมีการระลึกได้ ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ต้องแยกให้ละเอียดเป็นแต่ละ ๑ จริงๆ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน

    เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุรู้ อะไรที่ปรากฏ อย่าลืม อะไรที่ปรากฏเพราะจิตรู้ แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือว่าธาตุรู้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะจิต มีธาตุรู้ซึ่งมีลักษณะแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งเกิดพร้อมจิต เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดจิต อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่จะเกิดตามลำพังไม่มีเลย ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมนั้นเป็นอย่างนั้น ถ้าเสียงกระทบหู จะให้จิตเห็นเกิดไม่ได้ จริงไหม แต่เพราะเสียงต่างหากที่กระทบโสตปสาท เพราะฉะนั้นก็เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบ โสตปสาท คือหู คือเสียงนั่นแหละ จะรู้อย่างอื่นไม่ได้ นั่นคือจิต จิตรู้ จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตคิดนึก แต่จิตเกิดตามลำพังไม่ได้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏเพียง ๑ คนธรรมดาไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นมีสภาพธรรมอะไรอยู่ที่นั่นเกิดร่วมกัน เราเห็นแต่เพียง ๑ เช่น เห็นสี แล้วบอกว่าดอกไม้ แต่ถ้าไม่มีอ่อน มีแข็ง จะมีสีไหม เพราะกระทบสัมผัสไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่เราเห็น เป็นสีต่างๆ พอกระทบสัมผัสกาย เป็นอ่อนเป็นแข็ง เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ในการเห็น ในการรู้สิ่งที่กระทบ เจตสิกเป็นสภาพธรรมต่างหาก เป็นนามธาตุ แต่ต้องเกิดกับจิต แยกจากกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นมีความหมาย เกิดกับจิต เกิดพร้อมจิต เกิดในจิตก็ได้ เพราะเหตุว่าไม่ได้นอกไปเลย แยกไม่ได้ จึงกล่าวคำว่าใน เข้ากันสนิทเลย สิ่งที่ผสมกันเข้ากันได้ ใครแยกออกได้ แกงหม้อหนึ่ง แกงเผ็ด เครื่องปรุงตั้งหลายอย่าง พริก หอม กระเทียม อะไรอีกสารพัด เครื่องเทศ ใส่กะทิลงไปอีก ใช่ไหม ยิ่งแยกไม่ออกใช่ไหม ว่าอะไรเป็นอะไรฉันใด จิต และเจตสิกก็เกิดพร้อมกัน แล้วก็ดับพร้อมกัน แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน โดยมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยหลายประเภท เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวัน ง่ายๆ ก็คือว่า ยังไม่ถึงความละเอียด แค่ธรรมดาก็คือว่า ขณะใดที่เห็น ขณะใดที่ได้ยิน ขณะใดที่ได้กลิ่น ขณะใดที่ลิ้มรส ขณะใดที่รู้สิ่งที่กระทบกายเป็นจิต นอกเหนือจากนั้นไม่ว่าเราจะพูดอะไรทั้งหมด ที่เป็นธาตุรู้เป็นเจตสิก คนนี้ขยัน เห็นไหม ขยันก็เป็นเจตสิก โกรธก็เป็นเจตสิก ชอบก็เป็นเจตสิก แต่ต้องมีสิ่งที่จิตรู้ และเจตสิกนั้นเกิดร่วมกับจิตนั้น จึงพอใจหรือไม่พอใจ ชอบหรือไม่ชอบในสิ่งเดียวกันคือสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นจิตเจตสิกเป็นสภาพรู้เกิดพร้อมกัน เป็นธาตุรู้สิ่งเดียวกัน เพราะเกิดพร้อมกันแยกไม่ออก จิตเกิดขึ้นรู้อะไร เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเป็นธาตุรู้จะไปรู้อื่นจากจิตไม่ได้ นอกจากจิตรู้ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตรู้อะไร เจตสิกก็รู้สิ่งเดียวกัน แต่หน้าที่ต่างกัน จิตเป็นใหญ่จริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย เกิดขึ้นรู้ เพราะเจตสิกทั้งหลายเกิดขึ้นทำกิจการงาน ให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นอย่างเมื่อวานนี้ เราพูดถึงผัสสเจตสิก ที่จริงแล้วทุกคนลืมสนิท ลืมคิดถึงว่าผัสสเจตสิก เป็นสภาพที่กระทบอารมณ์สิ่งที่จิตรู้ เรียกว่าอารมณ์ ตามภาษาบาลีที่ใช้ คำว่าอารมณะ หรืออาลัมพนะ เพราะฉะนั้นอารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ แต่บางแห่งจะใช้คำว่าอาลัมภะนะ แต่ส่วนใหญ่คนไทยจะคุ้นหูกับอารมณ์ มีอารมณ์ไหมเดี๋ยวนี้ ถ้าไปถามคนที่เขาไม่ฟังธรรม เขาก็มี แต่เป็นอารมณ์คนละเรื่องใช่ไหม แต่ถ้าถึงความละเอียด ถ้าไม่มีสิ่งนั้น เช่น อารมณ์เสียเพราะเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงไม่น่าพอใจ บอกว่าอารมณ์เสียโดยไม่รู้ว่าอะไร แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ให้เข้าใจสิ่งที่มีขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง ซึ่งไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม คิดว่าเป็นเรา แต่ที่ว่าเป็นเราคือเป็นธรรมแต่ละ ๑ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีอะไรที่จะเป็นเราได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ต้องไม่ลืมแต่ละคำ ที่ได้เรียนที่ได้ฟัง เข้าใจชัดเจนว่าจิต เจตสิก เป็นสภาพรู้ สิ่งที่ถูกจิตเจตสิกรู้เป็นอารมณ์ของจิต เพราะฉะนั้นจิตเจตสิกเกิดรู้อารมณ์เดียวกัน แยกกันไม่ได้เลย แต่หน้าที่ต่างกัน จิตโกรธ จิตทำกิจหน้าที่โกรธได้ไหม ไม่ได้ รู้อย่างเดียว แต่ว่าเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเป็นโทสเจตสิก มีสภาพที่กระด้าง ขุ่นใจ ไม่พอใจ เพราะฉะนั้นกายก็กระด้าง โกรธคนนั้น ทักทายได้ไหม ยกมือไหว้ได้ไหม แม้แต่กายก็ต้องเป็นไปตามจิต แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ชอบพอใจ ติดข้อง ขณะนั้นก็จะรู้ได้ว่ามีระดับของความพอใจหลายระดับ จิตไม่ต้องทำอะไรเลย ที่จะไปชอบ ไม่ชอบ แค่เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน และทันทีที่จิตดับ ทุกคนจะลืมว่าเจตสิกดับด้วยใช่ไหม เพราะฉะนั้นแทนที่จะพูดยาวๆ ทันทีที่จิต และเจตสิกดับ คนที่เข้าใจแล้วได้ยินทันทีที่จิตดับ ก็หมายความว่าเจตสิกดับด้วย จิตที่ดับแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    4 ธ.ค. 2567