ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1230


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๓๐

    สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเหตุดีที่ทำ ต้องให้ผลดี แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เหตุไม่ดีเวลาได้รับผลไม่ดี ก็เพราะเคยทำมาชาติไหนไม่รู้ กรรมอะไรก็ไม่รู้ แต่ครึ่งหนึ่งของชีวิตเกิดมาเป็นผลของกรรม อีกครึ่งหนึ่งเป็นกรรม เพราะยังมีกิเลสที่จะทำให้เกิดผลต่อไป นี่คือธรรมไม่ใช่เรา ต้องไม่ลืม สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แค่ไม่กี่คำ แต่ขอให้เข้าใจจริงๆ แยกธาตุตอนนี้เข้าใจไหม เพราะธาตุหลากหลาย ไม่มีใครไปแยก แต่ธาตุต่างกันเอง เพราะว่าไม่มีใครไม่มีคนมีแต่ธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องไปสู่ความมั่นคง ว่าไม่มีเราแต่มีธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรทั้งหมด อะไรจะเกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะแปลกประหลาดพิสดารสักเท่าไหร่ ก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ต่างกันเป็น ๒ อย่างคือธรรมอย่าง ๑ ไม่รู้อะไรเลยแข็ง เย็น ร้อน แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ โลกนี้ก็ไม่ปรากฏ อะไรอะไรก็ไม่ปรากฏเลย แต่เพราะเหตุว่ามีธาตุรู้ เช่นเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เสียงกับได้ยิน ก็ไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่ได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นเสียงไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินเป็นสภาพรู้ ด้วยเหตุนี้เราจึงพูดรวมกันไปหมดเลย ว่าธรรมต่างกันเป็น ๒ อย่างคืออย่าง ๑ เกิดขึ้นรู้ อีกอย่าง๑ เกิดจริงดับจริงแต่ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเป็นอีกคำหนึ่ง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงจำแนกธรรม เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสว่าสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย หลากหลายมากแต่ละหนึ่งเกิดแล้วดับ และไม่กลับไปอีกเลยนับไม่ถ้วน แต่ก็เป็นประเภทพวกที่ไม่รู้อะไร จึงใช้คำว่ารูปธรรม เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่ารูปธรรมก็เข้าใจได้เลย ว่าหมายความถึงสิ่งที่มี แต่ไม่รู้อะไร ธาตุเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม

    ผู้ฟัง เป็นรูปธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกไหม ถูกครึ่งหนึ่ง เห็นไหม อีกครึ่งหนึ่งอยู่ไหน ฟังมาอีกครึ่งหนึ่งอยู่ไหน ธาตุมากมายหลากหลายใช่ไหม ต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ ๒ อย่าง คืออย่าง ๑ ไม่รู้อะไร ยังไงยังไงก็ไม่รู้ โต๊ะ เพลงเพราะๆ โต๊ะก็ไม่ได้ยิน ธาตุแข็งไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรอะไรก็ไม่ปรากฏ จริงไหม ที่เห็นเป็นคน เพราะมีธาตุที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏว่า รูปร่างอย่างนี้อย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ เป็นคนนี้เป็นคนนั้น เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นต้องรู้ แต่ธาตุรู้ไม่ใช่รูปธรรม แยกธาตุโดยเด็ดขาด หมายความว่าธาตุรู้จะไม่รู้ไม่ได้ และธาตุไม่รู้ก็จะรู้ไม่ได้ นี้แยกใช่ไหม แยกธาตุให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นแค่คำเดียว แต่ต้องฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจ ที่เป็นพื้นฐานที่มั่นคง จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เห็นเป็นธาตุหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นสภาพรู้ใช้คำ ว่านามธาตุ ธาตุที่ไม่ใช่สภาพรู้ ใช้คำว่ารูปธาตุ เห็นเป็นธาตุอะไร

    ผู้ฟัง เป็นนามธาตุ

    ท่านอาจารย์ นามธาตุ เพราะฉะนั้นแยกธาตุแล้วใช่ไหม ธาตุรู้ก็เป็นธาตุรู้ ธาตุไม่รู้ก็ไม่รู้ นามธาตุจะเป็นรูปธาตุไม่ได้ รูปธาตุจะเป็นนามธาตุไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ตัวมีธาตุอะไร ทุกคนกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ เป็นธาตุหมดเลย อย่าลืมทุกคนเป็นธาตุหมด ทุกอย่างเป็นธาตุหมด เพราะฉะนั้นที่ตัวของแต่ละคน เป็นธาตุอะไร

    ผู้ฟัง รูปธาตุ

    ท่านอาจารย์ รูปธาตุ อะไรเป็นรูปธาตุ นี่คือการสนทนาธรรม เพราะถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ว่าเข้าใจแค่ไหน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อกี้ที่ตัวนี้เป็นรูปธาตุ รูปธาตุอะไร รูปธาตุมีตั้งเยอะแยะไป เสียงก็รูปธาตุ กลิ่นรูปธาตุ อะไรที่ไม่รู้ก็เป็นรูปธาตุหมด เพราะฉะนั้นที่ตัวเดี๋ยวนี่เป็นรูปธาตุอะไร ลองจับตัวสิแข็งไหม

    ผู้ฟัง แข็ง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นรูปแข็ง แข็งไม่ใช่รูปเสียง เห็นไหม รูปก็ต่างๆ กันไปหลากหลายมาก ตอนนี้ไม่มีเราแล้วใช่ไหม มีแต่ธาตุ จนกว่าจะมั่นคง อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา ให้เราค่อยๆ เข้าใจจนมั่นคงอย่างพระองค์ ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง รู้กับไม่รู้อะไรดีกว่ากัน รู้ ก็ต้องฟังต่อไปใช่ไหม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ อย่างนี้กันติก็จะเป็นงานเรื่องของการบริการ ก็จะมีเรื่องของการใช้หลักอย่างเช่น เมตตาหรือกรุณาหรือมุทิตา อยากจะขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายความเข้าใจ ในเรื่องของการที่จะบริการทั้งลูกค้า หรือการทำงานร่วมกัน กับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ คำตอบสั้นมาก แค่คำเดียว เป็นคนดี แล้วดีก็เป็นธรรม เห็นไหม เราต้องมีความเข้าใจขึ้น ได้ยินคำว่าเป็นคนดีทุกคนชอบ ไม่มีใครชอบคนร้ายเลย แต่ว่าจริงๆ แล้ว ก็ต้องไม่ลืมว่าดีมีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา เมื่อกี้บอกว่าเป็นคนดีใช่ไหม แต่ว่าดีไม่ใช่เรา ฟังดูเหมือนกับค้านกันใช่ไหม แต่ความจริงเพราะเหตุว่ามีธรรม แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็เข้าใจว่าธรรมนั้นเป็นเรา เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่เพราะไม่รู้ก็เข้าใจว่าเป็นเรา เราเห็น ยังไงยังไงก็เราเห็น ได้ยินคำว่าเห็นไม่ใช่เราสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่การที่เคยยึดมั่น เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ เดี๋ยวนี้ เห็นไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นในขณะที่ได้ยินไม่มีเห็น จะมีพร้อมกันสองอย่างไม่ได้ เพราะว่าเห็นต้องอาศัยตา แต่ว่าได้ยินต้องอาศัยหู เพราะฉะนั้นคนถ้าไม่มีตาแต่ได้ยิน ได้ คนที่ไม่มีหูก็เห็นได้ เพราะฉะนั้นทั้ง ๒ อย่าง เรียกว่าทั้งหมดไม่ใช่เราแต่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นฟังไว้ก่อนทุกอย่าง ไม่ใช่หมายความว่า ฟังไม่ให้ทุกคนไม่มีการยึดถือว่าเป็นเราเลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องรู้จริงยิ่งกว่านี้มาก ผู้ที่ทรงตรัสรู้คนแรกคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเรานับถือพระองค์เหมือนพ่อแม่ใช่ไหม เรานับถือ แล้วเราก็เชื่อฟังพ่อแม่ เพราะรู้ว่าไม่มีใครหวังดีเท่าพ่อแม่ เพราะฉะนั้นคำว่าหวังดี เป็นอีกคำหนึ่งของคำว่าเมตตาหรือมิตร เพราะฉะนั้นทุกอย่างเวลาที่เราได้ยินจนชินหู แต่ว่าเราฟังเผินๆ ทุกอย่างเผินหมดทุกคำ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ของทุกสิ่งทุกอย่างถึงที่สุด มีใครมั่นใจในใคร ไม่เท่ากับมั่นใจในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ไม่มีคำเท็จ ไม่มีคำหลอกลวง ไม่มีคำหวังร้าย จากทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ๔ คำ อาจจะคุ้นกับคำว่าเมตตา มากกว่าคำอื่น กรุณาก็คงได้ยินบ้าง แต่มุทิตาถ้าไม่ไปวัดวาอารามจะได้ยินไหม มุทิตาแปลว่าอะไรก็ยังไม่รู้เลยใช่ไหม แต่ว่าเมตตาหมายความถึง ความเป็นเพื่อน ความหวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูลทำประโยชน์ให้กับคนที่เราหวังดี เพราะฉะนั้นภาษาไทยเราใช้คำว่ามิตร มาจากคำว่าเมตตา มิตตะ เมตตาแต่ว่าภาษาไทย บอกว่าเพื่อน ถ้าเรามีเพื่อน เพื่อนมีความหมายมาก ถ้ามีเพื่อนหมายความว่า เรามีคนที่หวังดีต่อเรา พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล เพราะเขามีความหวังดีเป็นมิตร เพราะเมตตา เพราะฉะนั้นเมตตาไม่ใช่ชื่อ แล้วก็ไม่ใช่คำ แต่เป็นความจริง เป็นความรู้สึกของใจ ของจิต ซึ่งขณะนั้นพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับคนอื่น คนไทยได้รับคำชมเชยมากว่า เราเป็นคนที่ใจดี เวลาที่เห็นคนที่เราไม่รู้จัก เราก็ยังจะบอกทางเขาได้ เวลาที่เขาถามว่าไปทางไหน หรือให้ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เราช่วยได้ แต่ว่าส่วนที่ไม่ดีก็มีมาก เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่า ต้องเป็นคนที่ตรงๆ ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ดีก็คือดี ชั่วก็คือชั่ว เพราะฉะนั้นเรามีทั้งดี และไม่ดีใช่ไหม ใช่ เริ่มรู้ความจริง เริ่มตรงต่อความจริง และดีกับชั่วเรายังไม่ต้องรู้อะไรมากมาย แค่สองคำ ดีกับชั่วก็ต่างกันละ อะไรดีกว่ากัน ดีต้องดีใช่ไหม ชั่วต้องชั่ว แล้วเราเคยคิดไหม ว่าตัวเราดีมากกว่าชั่ว หรือว่าชั่วมากกว่าดี ต้องตรง ทุกคนถ้าได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นพระมหากรุณาคุณ ให้เรารู้ความจริงว่าเราไม่ดีมาก ทั้งวันดีน้อยจริงหรือเปล่าเห็นไหม ความจริงต้องจริง ถ้าดีจะไม่เป็นคนที่เห็นแก่ตัว คำนี้ก็ยาก ใช่ไหม มีตัวเกิดมาก็มีเรา แล้วคำตอบที่ทุกคนต้องตอบตรงกัน ทั้งหมด ด้วยความจริงใจ ก็คือว่ารักตัวที่สุด ใช่ไหม ถึงมีเพื่อนเยอะแยะ มีคนอื่นมากมาย แต่ก็ไม่รักใครเท่ารักตัวเอง ถ้ารักตัวเองจริงๆ ต้องไม่ทำชั่ว เห็นไหม แต่ว่าเวลาที่เราทำไม่ดี เพราะขณะนั้นเราไม่รู้เลยว่าไม่ดีเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ต้องมีผลช้าหรือเร็ว และไม่ใช่คนอื่นด้วย ต้องเป็นตัวเองที่ได้รับผลของการกระทำนั้นๆ เรื่องยาวมากเลย ธรรมแต่ละคำ โยงกันไปถึงคำอื่นๆ ด้วย

    เพราะฉะนั้นเริ่มต้นด้วยคำว่าเมตตาก่อน เมตตามีจริงเป็นธรรมแต่ไม่ใช่เรา เราเห็นกิริยาอาการภายนอกของใคร ที่ช่วยเหลือคนอื่น ทำทุกอย่างให้คนอื่นได้ เสียสละได้ เราบอกว่าเขาเป็นมิตรที่ดี มีเมตตา ควรจะเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเป็นคนที่ตรง แต่ทำไมเป็นไม่ได้ ทุกคนอยากดี ดีมากขึ้นมากขึ้น แต่ดีไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่รู้ความจริง คำนี้สำคัญที่สุดเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความจริงถึงที่สุดว่าไม่มีเรา แต่มีความดี และความชั่ว แต่ถ้ามีเรา เราเห็นแก่ตัวใช่ไหม คนอื่นทำไม่ดีไม่เห็นเราว่าเขา แต่เวลาเราทำไม่ดีเราเฉย ปกปิดด้วยใช่ไหม ไม่เห็นบอกใครเลย แต่พอคนไม่ดีเที่ยวบอกเขาไปหมดเลย ว่าคนโน้นทำไม่ดีอย่างนี้ ทำไม่ดีอย่างนั้น เห็นไหม เป็นมิตรหรือเปล่า เมตตาหรือเปล่า หวังดีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปอีก จะเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น แล้วก็จะรู้ความจริงมากขึ้น และความดีก็มากขึ้น รวมถึงความรักตัวก็น้อยลง เพราะว่าถ้าเรารักตัวมาก เราอาจจะทำสิ่งที่ไม่ดีเลย ทำร้ายคนอื่นก็ได้ เพราะความรักตัว ไม่มีความเมตตา แต่ถ้าเรามีความเป็นมิตร มีความเมตตาจริงๆ ก็คือว่าหวังดี ทำร้ายคนที่เราหวังดีได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะที่ทำร้ายใคร ขณะนั้นไม่เมตตา

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบมีปัญหาเรื่องเมตตาหรือเปล่า เพราะว่าทุกคำควรจะชัดเจน

    ผู้ฟัง สรุปว่าเมตตาคือ ความหวังดีเป็นมิตร

    ท่านอาจารย์ พร้อมที่จะช่วยเหลือ มีอะไรสงสัยไว้ เมตตาจะต่อไปถึงคำอื่นหรือยังทีละคำ

    ผู้ฟัง มีใครสงสัยอะไรไหมเอ่ย

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่สงสัยในคำนี้ รู้จักตัวเองว่า เป็นเพื่อนกับใครบ้าง เป็นเพื่อนกับกี่คน ยิ่งมากยิ่งดีใช่ไหม เพราะเราหวังดีกับทุกคน ดีกว่าหวังดีเพียงบางคน เพราะฉะนั้นถ้าเมตตา ตรงกันข้ามกับโทสะ ความไม่ชอบ ถ้าเราไม่ชอบใคร เราเป็นเพื่อนกับเขาได้ไหม ไม่ได้ แล้วเราควรชอบหรือควรไม่ชอบเขา เห็นไหม ปัญหาธรรมดามาก แต่ถ้าเราไม่ไตร่ตรอง ดูเหมือนกับว่าเราไม่คิดที่จะเข้าใจประโยชน์ เลยว่าเราควรจะเป็นเพื่อน ควรจะเมตตากับเขา หรือควรจะโกรธเขา ไม่ชอบเขา เพราะฉะนั้นเมตตาไม่มีประมาณ เพราะเหตุว่าเป็นคุณธรรมที่ดี จะไม่มีการเบียดเบียนกันเลย ไม่ว่าทางกายทางวาจา เพราะเหตุว่าความเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนจากใจ เพราะฉะนั้นพูดกับคนอื่นด้วยเมตตา ไม่มีทางที่เขาจะโกรธเรา เพราะว่าเรามีความหวังดี ไม่ให้เขาเดือดร้อนเพราะคำของเราเห็นไหม ที่ชอบกันไม่ชอบกัน ก็เพราะเหตุว่าการกระทำ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง แม้แต่คำพูดธรรมดา ทำให้คนอื่นเสียใจก็ได้ น้อยใจก็ได้ จำไปจนตลอดชีวิตก็ได้ ไม่ลืมมีคนหนึ่งเขาพูดว่าขอจำไปจนตาย น่ากลัวไหม ไม่ลืมเลย จำไว้ทำไมจำเมื่อไหร่ก็ทำร้ายตัวเอง เพราะต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่พอใจ เขาถึงจะขอจำไปจนไปจนตาย เท่ากับทำร้ายตัวเองไปตลอดเวลา ถ้าเราไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เราจะไม่รู้เลยทำร้ายเราเอง ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น แต่ว่าอาจจะทำร้าย คนอื่นให้เขาบาดเจ็บได้ แต่ก่อนเราทำร้ายตัวเองเราก่อน แล้วถ้าเป็นเพียงคำพูด ว่าเขาติเตียนเขาสักเท่าไหร่ก็ตาม เขาเดือดร้อนหรือเปล่า หรือว่าเราเดือดร้อนเราจึงว่าเขา เพราะฉะนั้นหาทุกข์ใส่ตัว ก็ไม่รู้ใช่ไหม

    เพราะไม่รู้ ทั้งหมดทุกอย่างที่ไม่ดีทั้งหมด มาจากความไม่รู้ ถึงแม้ว่าจะดีสักเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ จนกว่าจะรู้ความจริง จากการได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้รู้ว่าผู้ที่รู้ทุกอย่างโดยประการทั้งปวง ทรงเป็นที่พึ่งให้เราเป็นคนดี ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนนี้ทราบเลยใช่ไหม รู้จักเมตตา ไม่มีประมาณ อย่าจำกัดว่าเฉพาะคนนี้หรือคนนั้น ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก ถ้าเค้าทำผิดที่นี่ต้องมีคนทำผิดแน่ ที่ไหนที่ไหนก็มีคนทำผิด ถ้าใครทำผิดเกลียดเขาไหม หรือว่าสงสารเขา ถ้าเรารู้ว่าเขาต้องได้รับผลของการกระทำนั้น และผลของการกระทำผิด ไม่มีใครรู้เลยว่ามากมายสักแค่ไหน แต่ว่าที่ปรากฏในชีวิต ก็คือว่าป่วยไข้ได้เจ็บ ไม่ต้องหกล้ม ไม่ต้องมีใครฆ่าถึงเวลาตาเจ็บได้ แค่ฝุ่นเข้าตารำคาญไหม น้อยที่สุดแล้ว แต่ทำไมล่ะ ฝุ่นถึงได้เข้าตา ไม่มีใครรู้สาเหตุเลยใช่ไหม แต่เหตุมี เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกอย่าง ที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลต่างๆ ทั้งหมดที่เป็นผลที่ไม่ดี ต้องมาจากความไม่ดี ทางกายทางวาจาซึ่งเพราะใจ ถ้าใจดี กายดี วาจาดี ถ้าใจไม่ดี กายก็ไม่ดี วาจาก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นก็ทรงเหมือนยิ่งกว่าพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดความเข้าใจ ในสังสารวัฎฏ์ที่ไม่เคยได้เข้าใจมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นควรฟังไหม

    ผู้ฟัง ควร

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ฟังคำเดียวพอ หรือว่าเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะว่าไม่รู้

    ผู้ฟัง เท่าไหร่ก็ไม่หมด

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม มีผู้ที่เห็นประโยชน์ของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคำหนึ่งซึ่งเราคงจะไม่ค่อยได้ยิน คือคำว่าเดช หรือเตชะในภาษาบาลี ขอเชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น คำว่าเดชหรือเตชะ ก็เป็นคำที่มีความหมายว่า หมายถึงเผา หรือทำลายสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน ซึ่งที่ท่านอาจารย์กำลังจะกล่าวถึง ก็กำลังจะมุ่งให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็คือพุทธะวจนเดชหรือว่าธรรมะเตชะหรือว่าธรรมเดช ที่เมื่อได้ฟังได้ศึกษาแล้ว ความเข้าใจเจริญขึ้นมีปัญญาเกิดขึ้นเป็นความเข้าใจของตัวเอง ที่อาศัยคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เกื้อกูลให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง และความเข้าใจธรรมจากพระธรรม แต่ละคำนี่แหละที่จะเป็นเครื่องทำลาย หรือว่าเผาผลาญสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงได้

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เคยได้ยินคนชื่อว่าธรรมเดชเลย ได้ยินแต่คำว่าเดช เตชะ แต่ยังไม่เคยได้ยินคนชื่อว่าธรรมเตชะ หรือว่าธรรมเดช แต่ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทุกคำของพระองค์ ใช้คำว่าพระธรรม เพราะว่ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ให้คนซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจ ด้วยตัวเองได้เข้าใจขึ้น เช่นเมตตา เมื่อกี้นี้ที่เราพูดถึงใช่ไหม ไม่ว่าจะพูดถึงคำอะไรก็ตาม จะมีความเข้าใจคำนั้นเพิ่มขึ้นมากขึ้น นี่คือเตชะหรือเดชของธรรม ซึ่งสามารถจะเพียงคำ ก็สามารถทำให้คนได้ในความเข้าใจที่ถูกต้อง ในสิ่งซึ่งไม่เคยได้เข้าใจมาเลย เช่นทุกอย่างที่มีจริง แต่ก่อนเราไม่เคยคิดว่าแข็งก็มีจริง เห็นก็มีจริง และทุกอย่างต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่มีอะไรเหลือเลย เมื่อวานนี้ไม่เหลือ จนกระทั่งเมื่อกี้นี้ก็ไม่เหลือ ได้ยินเมื่อกี้นี้ก็ไม่เหลือ ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น เราก็รู้ว่าเราเกิดมาในโลกนี้ชั่วคราว และก็มีชีวิตชั่วคราว จะสั้นหรือจะยาวมากน้อยสักเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ อาจจะเป็นอุบัติเหตุพรุ่งนี้ก็ได้ เย็นนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ มีอะไรที่เป็นสิ่งที่มีจริงๆ บ้าง จากทุกวันที่เกิด ไม่มีอะไรเหลือเลย เท่ากับมีปัจจัยที่เราไม่รู้เลย อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ต้องอาศัยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากกว่านี้ และก็จะเข้าใจเหตุผลความเป็นจริง มากกว่านี้ ที่จะทำให้เราค่อยๆ ละคลายความติดข้อง เพราะรู้ว่าทุกอย่างชั่วคราว จริงไหม ฟังธรรมต้องไตร่ตรอง นี้เป็นความเข้าใจ เริ่มเห็นความจริงว่าทุกอย่างชั่วคราว เกิดมาชั่วคราว สนุกชั่วคราว เท่ากับว่าเกิดมาตื่น และหลับใช่ไหม ตอนหลับก็ไม่มีอะไรปรากฏเลย เมื่อวานนี้ทั้งวันทำอะไรบ้าง พอถึงตอนกลางคืนหลับ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเลย หายไปหมดเลย ไปไหนทั้งวันนั้น ไม่เหลือเลยสักนิดเดียว แม้แต่ตัวเองชื่ออะไรก็ไม่รู้ จำก็ไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น นี่คือหลับ วันนี้ก็หลับอีกไม่กี่ชั่วโมง ก็ถึงเวลาที่จะไม่มีอะไรเหลือเลย หลับ ไม่เหลือพอตื่นมาใหม่แล้ว ไม่ใช่เมื่อวานนี้ แล้ววันนี้ละเหตุการณ์ไหมละ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว โดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก่อนที่จะได้ฟังคำนี้ ก่อนที่จะมานั่งตรงนี้ รู้ไหมว่าจะได้ยินคำอะไร ไม่มีใครรู้อะไรล่วงหน้าเลยสักอย่างเดียว แต่ก็มีสิ่งที่จะต้องเกิดมีปัจจัย ซึ่งยับยั้งไม่ได้ นี่คือธรรมสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นอนัตตาทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้นก็ทำดี เพราะเหตุว่าจากโลกนี้ไป ด้วยการที่ได้ทั้งเหตุที่ดีไว้ ใครยังไงเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเหตุที่ดี เพราะฉะนั้นเราต้องเกิดอีกแน่ แต่ถ้าเป็นผลของกรรมไม่ดี ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    29 พ.ย. 2567