ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1232


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๓๒

    สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เริ่มเห็นพระคุณที่ห่างกันมหาศาล แต่ละคำนี้เป็นคำจริง เพราะฉะนั้นเมื่อมีพระองค์เป็นที่พึ่ง จะเกิดปัญญาความเห็นที่ ถูกต้องยิ่งกว่านี้อีกมาก เพราะฉะนั้นเป็นที่พึ่งจริงๆ ที่เราจะเข้าใจทุกอย่าง แม้แต่คำว่าโลก ด้วยเหตุนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงวัตถุ เป็นโลก เป็นภูเขา เป็นต้นไม้ ก็เป็นโลกใช่ไหมเพราะเกิด มนุษย์เป็นโลกหรือเปล่า เป็น เห็นไหม เริ่มเข้าใจละ จะน้อยหรือมากก็ขอให้เข้าใจก่อน และคำนี้จะไม่เปลี่ยนไปเลย เพราะฉะนั้นโลกของแต่ละคน เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหม ถ้าคนนี้ไม่เกิดขึ้นเห็น ไม่ได้ ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่มีเรื่องราวต่างๆ ก็ไม่มีโลกของคนนี้ เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็เป็นแต่ละโลก และย่อยลงไปแต่ละ ๑ ขณะ ก็เป็นแต่ละโลกด้วย แต่ถ้าพูดโดยรวมถ้าเราออกไปถึงพ้นฟ้าไปหน่อย พ้นพื้นดินไปหน่อย ไกลแสนไกลไป โลกที่เราอยู่ นี่เล็กหรือใหญ่ เล็กมากถ้าเทียบกับพระอาทิตย์ใช่ไหม พระอาทิตย์ก็ใหญ่กว่า ใหญ่มาก โลกนี้ก็เล็กนิดเดียว แล้วคนในโลกตั้งกี่คน เล็กแค่ไหน ยิ่งกว่ามดไหม ถ้าออกไปห่างไกลๆ แต่ช่างเต็มไปด้วยสุขทุกข์ มากมายมหาศาลของแต่ละคน นี้ก็แสดงเห็นว่าสิ่งที่เราไม่รู้เรื่องโลกมีมาก เพราะฉะนั้นโลกอื่น นอกจากโลกนี้จะมีไหม ในเมื่อดาวก็ไม่ได้มีดวงเดียว มีดาวกี่พันดวง นับเท่าไหร่ไม่ถ้วน ใครเคยนับ นับไม่ถ้วนแน่ ในครั้งอดีตก็มีผู้ที่ต้องการที่จะรู้ ความมากมายของโลก เหาะไปเท่าไหร่ก็ไม่หมด เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า โลกเราของเรา ความจริงก็คือว่าเป็นสิ่งที่เราคิดว่าโลกนี้ เป็นโลกนี้ เป็นโลกที่เราอยู่ แต่โลกอื่นจะมีไหม ที่จะมีสิ่งอื่นที่มีชีวิตด้วย มนุษย์โลกอื่นมีไหม คนที่ตอบว่าไม่มี และส่ายหน้าเพราะไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโลกไว้มาก แต่ก็ไม่เป็นไร คือว่านอกโลกเราไม่รู้ โลกอื่นเราไม่รู้ รู้แค่โลกนี้ก็พอจะรู้ได้ว่า โลกอื่นมีสิ ก็เพราะเหตุว่าโลกนี้แค่ดาวดวงหนึ่ง ยังเป็นที่เกิดของมนุษย์ได้ เพราะฉะนั้นโลกอื่นก็ย่อมเป็นที่เกิดของสัตว์อื่นได้ เพราะว่าโลกย่อมต่างกัน

    เพราะฉะนั้นแม้ในโลกนี้ โลกมนุษย์เป็นโลกที่มีทั้งสุข และทุกข์ ตามกรรมที่ได้กระทำไว้ ถ้าเป็นกรรมดีไม่มากพอ ที่จะไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่มีความเดือดร้อนทางกายอย่างโลกมนุษย์ เพราะกุศลกรรมที่ประณีตมาก เมืองไทยนี่ก็เห็นบูชาเทพกันเยอะแยะ และทำไมคิดว่าไม่มีโลกอื่นหรือ ไปเชื่อว่าเทวดาได้ยังไง ถ้าไม่มีโลกใช่ไหม นี่ก็คิดวือเชื่อ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริง โดยเหตุโดยผล แต่ถ้าโดยเหตุโดยผล โลกสวรรค์มี เพราะว่าเป็นที่เกิดของกุศลที่ปราณีตยิ่งกว่ากุศล ที่ทำให้เกิดในโลกมนุษย์ คนในโลกนี้ที่สวยมากก็มีใช่ไหม ที่ไม่สวยก็มี แต่บนสวรรค์นี่สวยหมด แต่สวยต่างกัน วิมานที่อยู่ก็ต่างกันไป ตามบุญตามกรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นที่เพลิดเพลิน แต่ไม่เที่ยง ยังไงก็ต้องหมดบุญที่ได้ทำไว้ ก็ต้องไปสู่โลกอื่น เพราะฉะนั้นไม่มีที่ไหนเลยที่เกิดแล้วไม่มีตาย และถ้ากล่าวถึงธรรม ก็คือว่าเกิดแล้วดับทันที สืบต่อจนปรากฏ เหมือนว่ายังไม่ตาย แต่ความจริงขณะนี้กำลังเกิดดับทุกขณะ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย ที่ทำให้พ้นจากโลกนี้ ที่เราใช้คำว่าถึงแก่กรรมในภาษาไทย ชัดเจนถึงแก่กรรมที่ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย ใครจะขอร้องก็ไม่ได้ สวดมนต์ภาวนาก็ไม่ได้ เอาเงินทองมหาศาลซื้อก็ไม่ได้ เพราะว่าถึงเวลาที่จะสิ้นสุดผลของกรรม ที่ทำให้เป็นคนนี้ ต้องเป็นผลของกรรมอื่นที่จะให้ผล เพราะฉะนั้นทันทีที่จากโลกนี้ไป ก็เกิดทันที เรายังไม่ได้พูดถึงคำหนึ่งซึ่งคนไทยชินหู คือคำว่าจิต อีกคำหนึ่งใจ เคยได้ยินไหม วิญญาณเคยได้ยินไหม มโนเคยได้ยินไหม อีกครั้งคำหนึ่งมนัส เคยได้ยินไหม แล้วคืออะไร ทั้งหมดคืออะไร เห็นไหม พูดกันไปเรื่อยๆ แต่ความจริงคือธาตุรู้หรือสภาพรู้ ที่เรากล่าวถึงนั่นเองว่าธรรม มี ๒ อย่าง อย่าง ๑ มีจริงๆ เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไร แต่อีกอย่าง ๑ ตรงกันข้ามเลย ไม่มีรูปร่าง ไม่แข็ง ไม่อ่อน ไม่เย็น ไม่ร้อน ไม่หวาน ไม่เปรี้ยวแต่เกิดขึ้นต้องรู้ คือเห็นเดี๋ยวนี้ รู้ว่ามีใครอยู่ที่นี่ นั่นคือธาตุ เห็นสีสันวรรณะต่างๆ ถ้ามีกลิ่นปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุรู้กลิ่น กลิ่นปรากฏไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างปรากฏ เมื่อมีธาตุรู้ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติใช้หลายคำ ใช้คำว่าจิตตก็ได้ คนไทยเก็บมาหมดเลย จิตก็ใช้ มโนก็ใช้ มนัสก็ใช้ หทยก็ใช้ ใจก็ใช้ ก็หมายความถึงธาตุรู้ เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นคนก็คือ ธาตุรู้เกิดพร้อมกับรูป ทั้งนามธรรม และรูปธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น โดยกรรมหนึ่งเป็นปัจจัย จะเป็นคนนี้ไป จนกว่ากรรมนั้นจะหมด ก็ทำให้จิตขณะสุดท้ายที่เกิดดับไม่กลับมาอีกเลย ใช้คำว่าพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้คือตาย แต่ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายดับ จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น เพราะฉะนั้นถ้าใครร้องไห้ ที่พี่น้องหรือเพื่อนฝูงจากไป เขาเกิดแล้ว เวลาคนเกิดดีใจกันใช่ไหม คนนี้เกิดมามีลูกมีหลาน เกิดละแต่ว่าเขาเพิ่งตาย แต่ว่าเขาต้องอยู่ในท้องในครรภ์ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราไม่รู้หรอก ว่าเขาเกิดเมื่อไหร่ เพราะจิตนี้เกิดดับเร็วมาก เราไม่รู้การเกิดดับของจิต เผยแต่ขณะนี้นับไม่ถ้วนเลย จากเห็นเป็นคิดล่ะใช่ไหม มีใครรู้บ้างว่ากำลังคิด ต่อจากเห็นทันที ถ้าไม่คิดไม่จำรูปร่างสัณฐานต่างๆ นี่เป็นความที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่ธรรมเตชะคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ทำให้รู้จักตัวเอง รู้จักทุกอย่างทั้งหมด ตามความเป็นจริง รู้เหตุ และผล เพราะฉะนั้นถ้ากรรมดีมี ที่เกิดหลังจากโลกนี้ไปแล้ว อาจจะไปเกิดในมนุษย์ เป็นมนุษย์อีกก็ได้ หรือเกิดบนสวรรค์หรือเราใช้คำว่า ในสวรรค์หรือที่สวรรค์ โลกสวรรค์ก็ได้ ก็เป็นที่เกิดอีก ไม่ใช่มีสวรรค์ชั้นเดียว มีหลายชั้นทั้งหมดมีในพระไตรปิฏก ซึ่งทรงแสดงเหตุ และผลด้วย จนกระทั่งถึงพรหมโลก ซึ่งเป็นเทพที่ไม่ใช่เทพที่เกิดในกามภูมิ คือภพภูมิที่เกิดที่มีทั้ง รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอย่างโลกนี้เลย แต่เป็นโลกที่ประณีตขึ้นปราณีตขึ้น

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาเราก็จะไม่รู้ ว่าสิ่งที่ได้ทำแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า ต้นเเป็นที่จะให้เกิดที่ไหน และก็ได้รับผลของกรรมอย่างไร แต่เกิดมาแล้วเป็นผลของกรรม และทุกขณะที่เห็นเป็นผลของกรรม เดี๋ยวนี้เป็นผลของกรรม ได้ยินเป็นผลของกรรม แต่คิดนึกชอบไม่ชอบ เป็นกิเลสไม่ใช่กรรม แต่เป็นเหตุที่จะให้กระทำกรรม เช่นกำลังเข้าใจธรรม ขณะที่ได้ยินเป็นผลของกรรม ถ้าไม่ได้เคยทำกรรมที่จะได้ฟังคำนี้ไม่มีโอกาสได้ฟัง อาจจะมีการจัดให้มีการสนทนาวันนี้ แต่เขาป่วยมาไม่ได้เขาได้ฟังไหม ไม่ได้ฟังใช่ไหม แต่คนที่ได้ฟังเพราะว่าไม่ได้เลือก ที่จะฟังหรือไม่ฟัง แต่มีเหตุที่จะได้ฟังก็ฟัง เพราะฉะนั้นทุกอย่าง เป็นไปตามเหตุปัจจัย ถามอีกครั้ง มีใครทำอะไรได้ไหม ไม่ได้ กรรมต่างหาก ธรรมต่างหาก ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นสวรรค์มีไหม มี ตายแล้วไปไหน ถ้าเป็นผลของกรรมดีไปสวรรค์ได้ เกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ แต่ถ้าเป็นผลของกรรมไม่ดี เป็นลูกนกก็ได้ ลูกปลาก็ได้ ลูกไก่ก็ได้ใช่ไหม ก็แล้วแต่ ไก่ก็มีลูกเกิดมาเพราะกรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นอะไรก็ได้ชั่วคราว แต่ถ้ามีโอกาสได้เป็นมนุษย์ และมีโอกาสได้ฟังพระธรรม หายากไหม เสียงมีตั้งเยอะตั้งแต่เด็ก ก็ได้ยินมาทุกคำ แต่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้หรือเปล่า ว่าเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ คน ไม่ซ้ำกันเลย แต่ละขณะของชีวิตด้วย สวรรค์มีแน่ไหม นรกมีแน่ไหม เพราะฉะนั้นนรกในโลกนี้ พอจะเห็นได้บ้าง ไฟไหม้ออกมาไม่ได้ นรกร้อนด้วยไฟ ที่ใช้คำว่าอเวจีไม่ว่างเว้น พระเทวทัตขณะนี้อยู่ที่นั่น เพราะผลของกรรม เป็นตัวอย่างที่มีในพระไตรปิฏก ที่เกิดมีหลายชั้น และหลายภูมิด้วย จำแนกออกเป็นสวรรค์ ๖ มนุษย์ ๑ เป็น ๗ อบายภูมิอีก ๔ เป็นภูมิที่เต็มไปด้วย รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ พ้นไม่ได้เลย เกิดมาวันนี้ไม่เห็นได้ไหม ไม่ได้ มีตากระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏต้องเห็น ไม่ได้ยินได้ไหม ไม่ได้ ก็อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ปรากฏ แต่ต้องรู้ความจริงว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นมั่นคงในคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    อ.ธีระพันธุ์ อนัตตาก็คือความไม่มีตัวตนสัตว์บุคคล ถ้าอัตตานี้ก็คือมีตัวตน และอีกความหมายคือว่า ถ้าไม่มีตัวตนแล้วยังไง บังคับบัญชาได้มั้ย ถ้าเป็นอนัตตาแล้วจริงๆ สภาพธรรมที่เป็นไป ไม่อยู่ในอำนาจบัญชา บังคับบัญชาไม่ได้เลย เกิดเพราะเหตุปัจจัย อย่างเช่นที่เมื่อเช้า ที่มีผู้ถามใช่ไหม ว่าเหมือนกับเป็นเราถาม ที่เราอยากจะถามก็ถาม แต่ว่าถ้าไม่มีจิตคิดที่จะถาม จะมีเสียงเปล่งออกมาได้ไหม นี่เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ไม่ใช่เราที่ถามด้วย

    อ.อรรณพ คำถามนี้เป็นคำถาม ที่มักจะมีการถามกันบ่อยๆ ในเรื่องของว่าสวรรค์นรกมีไหม ทำดีแล้วไปสวรรค์ ทำชั่วแล้วไปนรก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเลือกแล้วใช่ไหม ทำดีหรือทำชั่ว ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิด แต่ก็ได้ทำมาแล้วทั้งหมด ทั้งดีทั้งชั่วมากมาย ยับยั้งไม่ให้เกิดในนรกได้ไหม จะให้เกิดในสวรรค์ได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตราบใดที่ยังไม่ถึงการเข้าใจถูก ถึงขั้นพระโสดาบัน ก็ยังจะต้องมีโอกาสไปเกิดตามกรรมที่ได้ทำไว้ ถ้าเป็นอกุศลกรรมก็เกิดในอบายภูมิ พระนางมัลลิกามเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล เกิดในนรก เป็นใคร มเหสีของพระเจ้าปัสเสนทิโกศล ทำบุญก็เยอะ แต่ว่ายังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้นกลัวตกนรกไหม กลัวใช่ไหม ก็ต้องเข้าใจธรรม จนกว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน

    ผู้ฟัง มีคำถามเรื่องคำว่าสมาธิ ก็อยากรู้ว่าผลของสมาธิกับเรื่องจิต หนูมองว่ามันน่าจะสัมพันธ์กัน ในเรื่องของการฝึกตน เพราะถ้าเขาไปฝึกสมาธิบ่อยๆ น่าจะมีผลในแนวเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความคิดหลากหลาย ตำรับตำราเรื่องสมาธิก็มีมากทั่วโลก ถูกต้องไหม แต่ว่ารู้จริงๆ รึเปล่าว่าสมาธิคืออะไร เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะได้ยินคำไหนก็ตาม จะรู้จริงต่อเมื่อได้ฟังคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นก่อนอื่นสมาธิเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ทำไมสมาธิเป็นธรรมเพราะสมาธิมีจริง สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นที่มีจริงๆ เป็นธรรม เพราะว่าภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย ภาษาบาลีเขาไม่พูดว่ามีจริงๆ นะ แต่เขาบอกว่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง แข็งเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ สมาธิเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย เพราะมีจริง แต่ต่างกันใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แข็งเป็นสมาธิได้ไหม

    ผู้ฟัง เป็นไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะ

    ผู้ฟัง แข็งก็คือแข็ง

    ท่านอาจารย์ เพราะแข็งไม่รู้อะไร

    ผู้ฟัง เพราะแข็งไม่รู้ สมาธิ

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ภาษาบาลีใช้คำว่าอะไร รูปธรรม

    ผู้ฟัง รูปธรรมใช่

    ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้ ฟังคำว่ารูปธรรม เริ่มรู้ว่ามีจริงแต่ไม่รู้อะไร แข็งมีจริงกลิ่นมีจริงเป็นรูปธรรม แต่สมาธิเป็น

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม ต่างกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง แยกธาตุละ ธาตุรู้กับธาตุไม่รู้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่รู้เป็นนามธรรม สมาธิมีจริงๆ แต่ว่าเราต้องรู้ว่าแม้สภาพรู้ธาตุรู้ก็ต่างกันอีก นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งใดที่ต่างก็ต้องต่าง จะเป็นอันเดียวกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้ เราพูดถึงสภาพรู้ที่เป็นใหญ่ เราใช้คำว่าจิต เช่นเห็นเดี๋ยวนี้เห็นใช่ไหม กำลังรู้ว่ามีอะไรในห้องนี้ เพราะเห็น เวลาที่ได้ยิน ก็รู้ว่าเสียงอะไรพูดเรื่องอะไรก็เป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ต่างกันเป็น ๒ อย่างอีก เริ่มเข้าใจธรรมขึ้นเก่งมากเลยนี่ คือจากคำว่าธรรม รูปธรรมนามธรรม จากธาตุรู้ซึ่งใช้คำว่าจิต จะใช้คำว่าวิญญาณก็ได้ จะใช้คำว่ามโน มนัสก็ได้ เหมือนกันหมดเลย หมายความถึงธาตุรู้ แต่หลากหลายจึงใช้หลายคำ แต่ก็ธาตุรู้ ก็มีจิต และเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใดทั้งสิ้น ไม่มีคำว่าเจตสิก นอกจากพระพุทธศาสนา เพราะว่าเขาไม่รู้ความต่างกันของธาตุรู้ซึ่งมี ๒ อย่าง ธาตุรู้ ๑ เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ อย่างเสียงอย่างนี้ รู้เลยว่าเสียงอะไรใช่ไหม เพราะจิตรู้แจ้งธาตุรู้นั้นกำลังรู้แจ้งเสียงนั้น ไม่ใช่เสียงอื่น นั่นไม่ใช่เสียงคน แต่เป็นเสียงอื่นจิตรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นสภาพที่รู้แจ้งคือจิต แต่ว่าสภาพธรรมอื่นซึ่งเกิดกับจิตรู้ด้วย เป็นธาตุรู้ด้วยแต่ไม่ใช่จิต ใช้คำว่าเจตสิกเช่นคำว่าโกรธ เห็นเป็นเห็น เห็นไม่ใช่โกรธ เพราะว่าเห็นแล้ว บางคนโกรธ บางคนไม่โกรธ แต่โกรธมีจริงๆ เพราะฉะนั้นโกรธเป็นเจตสิก อะไรก็ตามที่พ้นจาก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว เป็นเจตสิกทั้งหมด เพราะฉะนั้นสมาธิเป็นธรรมมีจริง เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม นามธรรม เป็นจิตหรือเจตสิก เป็นเจตสิก เพราะว่าจิตแค่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เห็นไหม มีความละเอียดอีกเยอะ แต่ค่อยๆ รู้ขึ้น รู้ทีเดียวทั้งหมดใน ๔๕ พรรษานี้ไม่ได้ แต่ต้องมีพื้นฐานที่มั่นคง และเป็นความเข้าใจของตนเองจริงๆ ด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้มีคำใหม่อีกคำหนึ่ง คือธาตุรู้มี ๒ อย่างคือจิตกับเจตสิก ๒ อย่างนี่ ต้องเกิดพร้อมกันด้วย และอาศัยกัน และกันเกิด ดับพร้อมกันด้วย เมื่อเป็นธาตุรู้ก็รู้สิ่งเดียวกันด้วย เพิ่มอีกคำหนึ่ง จิตเป็นสภาพรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ใช้คำว่าอารมณ์ ในภาษาไทย และภาษาบาลีต้องออกเสียงว่าอารัมมณะ หรืออารัมภพนะ คือสิ่งที่จิตรู้ ขณะนี้กำลังเห็นอะไร สิ่งที่ถูกเห็นเป็นอารมณ์ของจิต ขณะนี้ได้ยินเสียงอะไร เสียงที่จิตกำลังได้ยิน เป็นอารมณ์ของจิต เพราะฉะนั้นเสียงนั้นเสียงเดียว และจิตนั้นจิตเดียวที่ได้ยิน เป็นจิตที่กำลังรู้อารมณ์นั้นจิตเกิดขึ้นรู้ได้เพียงทีละ ๑ อารมณ์ เวลานี้มีจิตไหม มี รู้ไหม รู้ รู้ทางตาคือเห็น ทางหูคือได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ความต่างของคนเป็นกับคนตายอยู่ตรงไหน อยู่ที่คนตายไม่มีจิต ด้วยเหตุนี้ธรรมละเอียดมาก แต่ก็เข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย สมาธิเป็นเสียงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความต่าง ของนามธรรม และรูปธรรม สมาธิเป็นจิตรึเปล่า

    ผู้ฟัง สมาธิไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เก่งมาก ภาษาบาลีออกเสียงว่า เจตะสิกะ แต่ภาษาไทยเรียกสั้นๆ ว่าเจตสิก

    ผู้ฟัง ที่นี่ตอนเย็นๆ สวยมากเลย พระอาทิตย์จะส่องลงมาตรงนี้

    ท่านอาจารย์ แต่คุณไชยยศทราบไหม อะไรที่ดีกว่านั้น

    ผู้ฟัง เข้าใจธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรามาที่นี่ ทุกท่านมาร่วมกัน เพื่อที่จะได้ฟังสิ่งซึ่งยากที่จะได้ฟัง ยากไหม แล้วก็ยากที่จะเข้าใจ ใช่ไหม แต่เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นไม่พ้นวิสัยที่จะเข้าใจได้ ถ้าเราคิดว่าน้อยคนในสากลจักรวาล หรือในโลกมนุษย์นี้ ที่จะได้เข้าใจลองคิดดูสิ ทั้งบ้านกี่คนเข้าใจ แต่ละบ้านแต่ละบ้าน เพราะฉะนั้นขอให้เป็นหนึ่งก็ยังดี ที่จะดำรงไว้ซึ่งคำสอน เพื่อคนอื่นก็จะได้รู้จักความจริง เพราะว่ากราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานานมาก แต่ยังไม่ถึงการเข้าใจพระคุณของพระองค์ จะกราบด้วยความซาบซึ้งยิ่งกว่า

    ผู้ฟัง หนูกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ตอนที่เราหลับสนิท จิตเราอยู่ที่ไหน

    ท่านอาจารย์ เป็นคำถามที่ดีมาก เพราะว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เมื่อจิตเกิดแล้วดับ จะต้องเป็นปัจจัย ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ไม่หยุด ไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็นดับ ได้ยินเกิดต่อ คิดเกิดต่อ ทุกอย่าง ทีละ ๑ ทีละ ๑ เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ แต่หลากหลายตามกิจการงาน เราคิดว่าเราทำงานใช่ไหม แต่ความจริงเมื่อไม่มีเราอะไรทำ ก็จิตต่างหากที่ทำ แต่ว่าจิตที่ทำงาน เราจะไม่รู้เลย ว่าจิตแต่ละ ๑ ทำงานต่างๆ กันไป เกิดขึ้นทำกิจการงาน ขณะแรกทำงานหรือเปล่า ถ้าไม่มีจิตขณะแรก จะมีวันนี้เดี๋ยวนี้ไหม ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะแรกของชีวิต มีจิตเกิดขึ้น ทำกิจสืบต่อจากจุติจิต คือจิตสุดท้ายของชาติก่อน ไม่มีเราที่จะไปทำ แต่ว่าเป็นหน้าที่ของจิตว่า เพราะจิตหนึ่งเกิดแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปยับยั้ง หรือเลือกให้จิตโน้นเกิดจิตนี้เกิด แต่เป็นปัจจัยที่ว่าจิตนั้นทันทีที่ดับไป เป็นจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน จิตที่เกิดต่อต้องเป็นผลของกรรม ๑ ถ้าไม่มีกรรมอย่างพระอรหันต์ไม่มีการเกิด เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ยังไม่ใช่พระหันต์ต้องเกิดทันที ที่จิตขณะสุดท้ายดับ ตาย พ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้น จิตที่เกิดต่อทำหน้าที่สืบต่อ นี่คืองานของจิตนั้นว่าต้องเกิดขึ้นทำกิจการงาน เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้นทำกิจการงานไม่ใช่เรา เข้าใจตอนนี้ เดี๋ยวนี้จิตกำลังทำงานหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ทำงานอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตเห็น ทำหน้าที่ได้ยินได้ไหม จิตหลับไม่ใช่จิตตื่น เห็นไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตไม่เห็น จิตไม่ได้ยิน จิตไม่ได้กลิ่น จิตไม่ได้ลิ้มรส จิตไม่ได้รู้สึกที่กระทบสัมผัส จิตไม่คิดนึก แล้วจิตจะทำอะไร ใช่ไหม จิตทำกิจดำรงภพชาติโดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกที่เราใช้คำว่าหลับ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    3 ธ.ค. 2567