ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1233
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๓๓
สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม
วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ จิตทำกิจดำรงภพชาติ โดยไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ที่เราใช้คำว่าหลับ เราคิดว่าเราหลับ แต่ความจริงจิตขณะนั้นเกิด แต่ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างขณะที่ตื่น แต่ทำหน้าที่ดำรงภพชาติ รักษาความเป็นบุคคลนั้นไว้ เกิดดับสืบต่อ ถึงไม่เห็นก็ตามแต่ก็ต้องเป็นคนนี้ ไม่พ้นจากความเป็นคนได้เพราะนี้ได้เพราะอะไร ตื่นขึ้นเห็นก็ยังคงเป็นคนนี้ไม่ใช่คนใหม่ จากการที่ตายแล้วเกิด เพราะฉะนั้นจิตขณะนั้นทำภวังคกิจ มาจากคำว่าภวะ กับอังคะ องค์ของภพคือดำรงความเป็นบุคคลนั้น ยังไม่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น แต่ถ้าตายในหลับได้ ใช่ไหมหลับตายเคยได้ยินไหม ที่สมัยหนึ่งใช้คำว่าไหลตาย ขณะนั้นต้องมีจิตเกิดดับสืบต่อ แต่สิ่งที่คนไม่รู้คือว่าก่อนตาย ต้องมีกุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิด สั้นมาก น้อยมาก แล้วจึงตายได้ และกุศลจิต และกุศลจิต ที่เกิดก่อนตายนั่นแหละ ทำให้ผลของกรรมนั้นเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก วิปากนี่คือผลที่เราใช้คำว่าวิบาก ไม่ใช่ลำบาก หมายความว่ากุศลจิตเป็นเหตุทำให้เกิดจิตที่เป็นผลคือกุศลวิบาก วิปากคือผล เพราะฉะนั้นอกุศลจิตซึ่งเป็นเหตุ ดับไปแล้วเป็นปัจจัย ให้เกิดอกุศลวิบาก หรือเราออกเสียงว่า อกุศลวิบากคือจิตที่เป็นผล
เพราะฉะนั้นขณะที่หลับสนิทไม่เห็นใช่ไหม ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดนึก แต่จิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ โดยที่ว่าไม่เห็นแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นโลกนี้ ไม่ได้ยินจะเหมือนขณะที่ตื่นได้ยังไง เราจึงใช้คำว่าตื่นกับหลับ แต่หลับก็คือจิตที่เกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ และจิตขณะนั้นที่เกิดดับสืบต่อรู้อารมณ์ไหม ถ้าเราไม่ได้ศึกษาธรรมแล้วก็บอกไม่รู้ ใช่ไหม แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เปลี่ยนไม่ได้ ว่าจิตเป็นธาตุรู้เมื่อเกิดแล้วต้องรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ใช้คำว่าอารมณ์ เมื่อมีจิตต้องมีอารมณ์ เมื่อมีสิ่งที่รู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ แต่อารมณ์ของจิตขณะที่หลับไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าเป็นอารมณ์เดียวกับจิตใกล้ตายของชาติก่อน เพราะฉะนั้นไม่ปรากฏในชาตินี้ ชาตินี้ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ เมื่อเห็น เพราะเห็น เพราะได้ยิน เพราะได้กลิ่น เพราะลิ้มรส เพราะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะคิดนึกจึงมีโลกนี้ ถ้าขณะนั้นจิตไม่ทำหน้าที่เหล่านี้ ขณะนั้นโลกนี้ไม่ปรากฏด้วยเหตุนี้จิตต้องรู้อารมณ์ แต่อารมณ์ของจิตที่เป็นภวังค์ที่หลับไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าอารมณ์ของจิตที่กำลังหลับ เป็นอารมณ์เดียวกับ จิตที่ใกล้ตายของชาติก่อน ชาติก่อนเป็นใคร ตายเพราะอะไร รถชน ป่วย ไข้หรืออะไรก็ไม่รู้ ก่อนตายคิดอะไร รู้อะไรก็ไม่รู้ เราไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะเดี๋ยวนี้แม้ที่ยังไม่ตาย จิตที่เกิดระหว่างเห็นกับได้ยินก็รู้อารมณ์แต่เราก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า อารมณ์ของจิตนี้ ถึงแม้มี ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นจิตทำหน้าที่อะไร อารมณ์ปรากฏไหม แต่จิตต้องรู้อารมณ์กำลังหลับ ก็คือจิตเกิดดับรู้อารมณ์ ใกล้ตายของชาติก่อน
ผู้ฟัง ติ๋งก็อยากจะถามคำว่าอโหสิ จะใช้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วหรือไม่ ก็ท่านที่บวชมีความหมายว่าอย่างไร คำว่าอโหสิกรรม
อ.คำปั่น ดูจากความหมายก่อน อโหสิ ไม่ใช่คำไทยแน่ เป็นคำภาษาบาลี อโหสิแปลว่าได้มีแล้ว คำนี้ไม่เปลี่ยนเลยคือได้มีแล้ว ถ้ารวมกับคำว่ากรรมเป็นอโหสิกรรม หรือว่าอโหสิกรรมก็คือกรรมได้มีแล้ว หมายถึงการกระทำนั้นสำเร็จแล้ว ทำดีก็ตามทำชั่วก็ตามสำเร็จไปแล้ว แต่ถ้าได้กระทำผิดต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด เห็นโทษขอโทษได้ไหม
ผู้ฟัง ขอโทษได้
อ.คำปั่น ขอโทษได้ใช่ไหม ขณะที่ขอโทษกับขณะแรกที่ทำผิด เป็นคนละขณะกันใช่ไหม เป็นคนละส่วนกัน
ท่านอาจารย์ และต่อไปนี้จะอโหสิไหม
ผู้ฟัง ไม่อโหสิ
ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้อง ทำไปแล้ว แล้วจะอโหสิได้ยังไง เพราะฉะนั้นคนไทยใช้คำที่ไม่รู้จักจริงๆ จนกว่าจะได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้นการกล่าวถึงอโหสิกรรม ทรงจำแนกกรรม ว่ากรรมที่ได้ทำแล้วให้ผลแล้วก็มี กรรมที่ได้ทำแล้วให้ผลในชาตินี้ก็มี หรือกรรมที่ทำแล้วจะให้ผลในชาติต่อไปก็มี แต่กรรมนั้นได้ทำแล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะไปยกเลิก หรืออะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าใช้คำตรง เราก็รู้สึกเสียใจ ขอโทษเราจะไม่ทำอีกแต่ไม่ใช่อโหสิ เพราะว่ากรรมนั้นสำเร็จแล้วทำแล้ว แต่ที่เราทำใหม่ไม่ใช่โหสิกรรม ที่จะไปลบล้างไปอะไรได้ ก็จะพูดคำที่ถูกขึ้น ทุกคนไม่ว่าเคยพูดคำอะไรที่ไม่ถูก พอได้เข้าใจธรรม แล้วก็จะไม่พูดคำนั้น เช่นจะทำจิตให้แยบคาย ทำได้ไหม ทำไม่ได้แต่รู้อะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล ความเข้าใจอย่างเดียวที่ทำกิจของความเข้าใจ
สนทนาธรรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา
วันที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เป็นโอกาสดี ที่เราชาวพุทธจะได้พบกัน เพื่อที่จะได้เข้าใจความจริง และก็เข้าใจพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหน ถ้าได้เข้าใจธรรมคือคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแล้ว ก็จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ แต่ให้ทราบว่าทุกปัญหาที่เกิด เพราะความไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนทั้งนั้น แม้ในใจของแต่ละคนก็มีปัญหา เพราะฉะนั้นวิกฤตของทุกคนแต่ละคน รวมถึงวิกฤตของประเทศชาติ เพราะไม่เข้าใจธรรม คำว่าธรรมเป็นคำที่ไม่ง่ายทุกคนชินหู แต่ว่าเข้าใจจริงๆ รึเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชาวพุทธขาด ที่ทำให้เกิดวิกฤตทั้งกับพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ ก็คือความไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่เรื่องที่จะคิดเอง หรือว่าได้ยินได้ฟังแล้วก็ผ่านหู เหมือนกับว่ารู้จักพระรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ แต่ถ้าถามจริงๆ ทีละคำสามารถที่จะตอบได้ไหม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ถ้าตอบให้ละเอียด ก็คือผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงแต่ก็ยังไม่พอ ความจริงอะไร เมื่อไหร่ต้องชัดเจน และก็ต้องละเอียดด้วย
เพราะเหตุว่าพระธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แม้เดี๋ยวนี้ก็มีแล้วใครรู้จัก และใครเข้าใจความจริงของสภาพธรรม ที่มีเดี๋ยวนี้บ้าง ถ้าไม่ฟังพระธรรม เหมือนรู้จักธรรม แต่ถ้าถามว่าเดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม จะตอบได้ไหม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง มิฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร แต่ว่าเมื่อทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริง ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ถึง ๔๕ พรรษา มีวิชาไหนบางครั้งที่ใครเรียน ๔๕ ปี เกือบตลอดชีวิต และผู้ที่ศึกษาธรรมแล้วก็ยังไม่จบ ไม่มีทางที่จะจบได้ วิชาอื่นสามารถที่จะเรียนได้จบ แต่ธรรมไม่จบ จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ อย่างละเอียด เพราะฉะนั้นผู้ที่จะรู้จักเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือผู้ที่เข้าใจธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็รู้จักเผินมาก คือเพียงแค่พระองค์ทรงตรัสรู้ทรงแสดงธรรม และก็มีผู้ที่ได้ฟังธรรม รู้แจ้งสัจจธรรมตาม จึงมีพระรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ชินหูมาก แต่ถ้าสนทนาเพื่อความเข้าใจ ใครจะตอบได้ และก็มีกี่คนที่เป็นผู้ที่ละเอียด เพราะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าทรงแสดงสิ่งที่ต้องลึกซึ้งแน่นอน ๔๕ ปี ไม่น้อยสำหรับการที่จะเรียนวิชาหนึ่งวิชาใด โดยเฉพาะวิชาที่กำลังมีอยู่ที่ตัวทุกคนในขณะนี้ และทุกคนทุกแห่ง
เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว ตั้งต้นให้ถูกเข้าใจให้ถูกต้อง คือสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ก็มี เห็นมีจริงๆ ได้ยินมีจริงๆ คิดมีจริงๆ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่คิดว่าจะเข้าใจธรรมได้เร็ว ถูกหรือผิด ในเมื่อคำนั้นผู้ที่ตรัสคำว่าธรรม เป็นปัญญาระดับไหนที่ตรัสคำว่า ธรรมสิ่งที่มีจริงแต่คนฟังมีปัญญาระดับไหน ที่จะเข้าใจคำที่ผู้ที่ทรงปัญญา เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล จึงได้ทรงพระนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นฟังพระธรรมเริ่มต้นด้วยอะไร เริ่มต้นด้วยความเคารพ เริ่มต้นด้วยความจริงใจ เริ่มต้นด้วยการที่รู้ว่าถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เลย เพราะฉะนั้นพระคุณมากมาย เพราะเหตุว่าในสังสารวัฎฏ์ ไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ได้รู้แต่ว่าเกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตายนั่นเป็นของธรรมดา ใครๆ ก็รู้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เอง ยังไม่แก่ ยังไม่เจ็บ ยังไม่ตาย หรือว่าแก่แล้ว แต่ยังไม่เจ็บ ยังไม่ตาย ก็มีสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออริยสัจธรรม ความจริงที่ประเสริฐ ถ้าได้รู้จักธรรมเมื่อไหร่ ก็เห็นพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น ตามกำลังของความเข้าใจ ถ้าเข้าใจน้อย ก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อย ถ้าเข้าใจธรรมมากก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้น
เพราะฉะนั้นจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่ว่าไม่เข้าใจธรรม เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งทุกคน ซึ่งอาจจะฟังเผิน ก็เริ่มเป็นผู้ที่ละเอียด และตรง ที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละคำ แล้วก็แต่ละคำด้วย เพราะเหตุว่าคำจริงที่พระองค์ตรัส จากการตรัสรู้ถึงที่สุด โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นทุกคำประมาทไม่ได้เลย ต้องฟังแล้วก็ต้องพิจารณา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่างในสากลจักรวาล ไม่มีผู้ใดที่จะเปรียบได้เลย เพราะฉะนั้นคำของพระองค์แต่ละคำเป็นคำจริง เห็นมีจริง พระองค์ตรัสไว้อย่างไรเรื่องเห็น ได้ยินมีจริง เห็นไหม ธรรมดา เพราะฉะนั้นธรรมนี้ เมื่อฟังแล้วก็คือสามารถเข้าใจชีวิตประจำวัน ถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งปกติเราจะเข้าใจเรื่องอื่น แต่ไม่ได้สนใจที่จะเข้าใจทุกขณะ ในชีวิตตามความเป็นจริง แต่ให้ทราบว่าทุกขณะเป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้น และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีการดับไปเป็นธรรมดา ไม่ต้องฟังมากใช่ไหม เพียงเท่านี้ พิจารณาให้ลึกซึ้ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ก่อนเห็นไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นคือเห็น สิ่งนั้นมีการดับไปเป็นธรรมดา คำนี้ไม่ใช่คำของคนอื่น ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ นอกจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาหมายความว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างที่เราเคยคิด เราคิดว่าอัตตา ต้องเป็นความเห็นผิด เรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นตัวตนเท่านั้น แต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นความเข้าใจผิดแล้ว เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเกิดดับช้าๆ ก็จะไม่ปรากฏ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่สิ่งนี้แหละ เห็นนี่แหละ เห็นเมื่อกี้นี่ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ได้ยินเมื่อกี้นี้
เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ละเอียด ก็คือว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืน และก็ไม่มีอะไรที่เป็นของใครเลยสักคน เข้าใจผิดว่าสิ่งต่างๆ มี แต่ใครทำให้เกิดได้ มีหรือที่พรุ่งนี้จะไม่มีขณะต่อไปจะไม่มี แต่ว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิดไม่หยุด เกิดดับไปเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายของชาตินี้ ก็จะต้องมีการเกิดดับสืบต่อไปอีก เพราะว่าเหตุในชาตินี้ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ต้องมี เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ไม่มีวันจบ แล้วก็แต่ละคำก็ควรที่จะได้เข้าใจชัดเจน สำหรับคำว่าวิกฤตพระพุทธศาสนา ทุกคนก็ได้ยินได้ฟังตามหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวโทรทัศน์ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะไม่เข้าใจธรรม ถ้าเข้าใจธรรมแล้วไม่วิกฤติ แต่ว่าเหตุของการที่วิกฤต ก็เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจธรรม ไม่ทราบ ท่านผู้ใดมีประสบการณ์ ที่จะกล่าวถึงความวิกฤติ ขณะนี้ในประเทศไทย ซึ่งความจริงก็ต้องหมายความถึงทั่วโลกด้วย ขอเชิญให้ความรู้ด้วยได้ไหม ตามความเป็นจริงเพราะว่าประโยชน์ของการฟังธรรม ก็คือได้เข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่ว่าเราจะฟังนานสักเท่าไรก็ตาม ขอให้ได้ฟังความจริง ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจขึ้น จากการที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย ขณะนี้มีใครคิดว่าพระพุทธศาสนาไม่วิกฤติบ้าง คงไม่มีใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ขอเรียนเช่นคุณวิทยา
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ เรียนที่อาจารย์ถามว่า คำว่าวิกฤต เดี๋ยวนี้เราก็ดูว่าพระเป็น ๑๐๐ รูปเลย อำเภอผมเนี่ยเป็น ๑๐๐ แต่คนใส่บาตรน้อยกว่าภาคอื่น ผมก็คิดมากอยู่เหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ คนไม่นับถือศาสนาพุทธเลย ในฐานะที่นับถือศาสนาพุทธ ก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่า บางครั้งประพฤติปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ การนุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติการใส่บาตรทุกเช้าอย่างนี้ การทอดผ้าป่ากฐินอย่างนี้ ผมก็เลยอยากจะถามอาจารย์ ให้อาจารย์ไขข้อตรงนี้หน่อยว่า ที่ว่าวิกฤตในนิยามของอาจารย์ ความหมายกับผม ผมมองดูว่าถ้ามีคนไปใส่บาตรน้อย มีคนบวชน้อยผมก็ว่ามันวิกฤติ อยากให้อาจารย์ช่วยขยายตรงนี้นิดนึง
ท่านอาจารย์ แต่ไม่คิดว่าวิกฤติคือไม่ได้เข้าใจธรรม มองวิกฤตคนละแง่ใช่ไหม วิกฤตคิดว่าพระพุทธศาสนาเดี๋ยวนี้ กลัวว่าพระจะน้อย หรือว่าที่มีอยู่ก็มีข่าว ซึ่งไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย แต่ความจริงธรรมสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ก็ฟังธรรม เข้าใจถูกต้องที่จะรู้ว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะให้ความจริงอย่างนี้ได้เลย เพราะฉะนั้นแค่นี้ลึกซึ้งละ ต้องไม่ประมาทเลยไม่พึ่งคนอื่น และก็รู้ว่าแต่ละคน สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ เพราะเหตุว่าพระธรรมสำหรับทุกคนไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใด เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตาม ไม่มีความเข้าใจธรรม ก็หลงเข้าใจว่าคนอื่นเข้าใจ ต่อเมื่อไหร่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง คือเป็นผู้ที่ละเอียด ไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจจริงๆ แต่ละอย่าง เช่นพระภิกษุคือใคร วัดคืออะไร ก็จะเข้าใจได้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ที่ฟังธรรมแล้วต่างกันเป็นสองเพศ คือคฤหัสถ์กับบรรพชิต เป็นพุทธบริษัท ๔ ในครั้งนั้น มีภิกษุณี แต่ว่าในยุคต่อมาจนถึงบัดนี้ก็ไม่มี เพราะเหตุว่าไม่ใช่พระพุทธประสงค์ ที่จะให้สตรีได้ดำรงเพศบรรพชิต เพราะเป็นเพศที่ยากไม่ใช่ง่ายเลย ต้องเป็นผู้ที่อดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างมากมาย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วต้องไม่ลืมว่าคฤหัสถ์นี่แหละเป็นพุทธบริษัทด้วย ที่จะต้องมีความเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจธรรม แล้วก็สามารถที่จะอนุเคราะห์พุทธบริษัทเอง อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุได้ แต่ตามฐานะของเพศเช่น คฤหัสถ์ก็ศึกษาธรรม และก็สามารถที่จะกล่าวธรรมให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ไม่ห้ามเลยว่าคฤหัสถ์กล่าวธรรมไม่ได้ แต่ว่าเมื่อใครที่มีความเข้าใจธรรมแล้ว มีหรือที่จะไม่เห็นคุณที่จะให้คนอื่น ได้เข้าใจธรรมด้วย เพราะฉะนั้นธรรมต้องศึกษา ต้องเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตนเอง แล้วจะรู้ว่าผิดถูกคืออย่างไร เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ แล้วรู้จักภิกษุไหม รู้จักวัดไหม เพราะว่าภิกษุคือผู้ที่ต่างจากคฤหัสถ์ เมื่อได้ฟังพระธรรมเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลยแต่บวช แต่ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังธรรม คนที่ฟังธรรมในครั้งโน้นก็เป็นชาวบ้าน พอฟังเสร็จแล้วก็แล้วแต่อัธยาศัยว่า ใครพร้อมที่จะขัดเกลากิเลส ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ อย่าลืมภิกษุคือผู้ที่ขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ ก็สามารถที่จะเข้าใจธรรม และธรรมนั่นแหละขัดเกลากิเลส ไม่มีใครสามารถที่จะขัดเกลากิเลส โดยไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็รู้จักตัวเอง ท่านอนาถาบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้เลิศให้ทาน และก็บำรุงพระพุทธศาสนา ไม่ได้บวช จิตตคฤหบดีเป็นคฤหัสถ์ บรรลุอริยสัจธรรม ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ก็ไม่บวช ไม่เช่นนั้นแล้วพระศาสนาจะดำรงอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีคฤหัสถ์เลย ด้วยเหตุนี้คฤหัสถ์ตระหนักว่า ผู้ที่เป็นภิกษุต้องมีศรัทธามั่นคง และก็ต้องสามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน สละเพศคฤหัสถ์ กิจการงาน ทั้งหมดของคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่เห็นโทษของกิเลส และรู้ว่าอัธยาศัยของตนเอง สามารถที่จะดำเนินตามรอยพระบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นท่านผู้นั้นขออุปสมบท ทรงอนุญาตสำหรับผู้ที่มีศรัทธามั่นคง ที่จะประพฤติตามพระองค์ได้ และทรงบัญญัติสิกขาบททั้งหมด เพื่อประโยชน์สุข แก่การที่จะขัดเกลากิเลส มากมาย ที่ภิกษุจะต้องศึกษา และประพฤติปฏิบัติตาม เพราะว่าเจตนาที่จะบวช ต้องเป็นเพื่อศึกษาธรรมเข้าใจขึ้น แค่ฟังครั้งเดียวไม่พอ เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ก็มีความมั่นคงที่จะสละละกิเลส เพราะฉะนั้นภิกษุต้องเป็นผู้ที่ละกิเลส ด้วยการเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจธรรม เพราะว่าเดี๋ยวนี้ ขอประทานโทษที่จะกล่าวว่าเท่าที่ได้ทราบ อะไรอะไรก็จะบวช ถูกต้องไหม เชิญคุณวิทยาค่ะ
ผู้ฟัง คือถ้าดวงไม่ดีก็จะบวช
ท่านอาจารย์ นั่นสิ
ผู้ฟัง บวชแก้บน ก็จะบวชอย่างนั้นใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมเลย แต่ภิกษุคือผู้เห็นภัยในสังสารวัฎฏ์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจธรรม ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าภิกษุต้องเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต และต้องเป็นพวกที่ศึกษาธรรมด้วย เพราะฉะนั้นภิกษุต้องเป็นผู้ที่ไม่กล่าวคำที่ผิด จากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่ไปฟังธรรม มีตั้งแต่ขอทานโรคเรื้อน สุปปพุทธกุฏฐิ หิวอาหาร จะไปหาที่ไหน ก็ไปหาที่ที่เขากำลังฟังธรรม เผื่อว่าจะมีอาหารให้ และเมื่อฟังแล้วการเข้าใจธรรมที่ได้สะสมมา ไม่ใช่เฉพาะในชาตินั้น การที่คนหนึ่งคนใดสามารถที่จะรู้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ผู้นั้นต้องบำเพ็ญบารมี
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1201
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1202
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1203
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1204
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1205
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1206
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1207
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1208
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1209
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1210
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1211
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1212
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1213
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1214
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1215
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1216
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1217
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1218
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1219
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1220
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1221
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1222
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1223
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1224
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1225
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1226
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1227
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1228
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1229
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1230
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1231
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1232
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1233
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1234
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1235
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1236
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1237
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1238
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1239
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1240
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1241
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1242
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1243
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1244
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1245
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1246
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1247
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1248
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1249
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1250
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1251
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1252
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1253
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1254
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1255
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1256
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1257
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1258
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1259
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1260