ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1234


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๓๔

    สนทนาธรรม ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

    วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ การที่คนหนึ่งคนใด ถ้าสามารถที่จะรู้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ผู้นั้นต้องบำเพ็ญบารมี เคยได้ยินคำว่าบารมี แต่ไม่รู้ว่าบารมีคืออะไร แต่บารมีที่คือคุณความดีทั้งหมด ซึ่งเกิดจากการเข้าใจธรรม ค่อยๆ ขัดเกลากิเลส เพราะเข้าใจธรรมขึ้น ด้วยความอดทน เพราะธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก จนกว่าจะถึงเวลาที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นภิกษุ หรืออุบาสกอุบาสิกาได้ฟังธรรมแล้ว รู้เลยไม่มีทางที่จะดับกิเลส โดยไม่เข้าใจธรรม หรือโดยไปทำอะไร ซึ่งไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะฉะนั้นถ้าหากมีการกระทำ ที่ไม่ตรงตามธรรมวินัย ชาวพุทธก็จะเป็นผู้ที่ดำรงรักษาพระพุทธศาสนา ด้วยความเข้าใจ แต่ถ้าไม่มีการเข้าใจเลย ทั้งหมดก็เป็นไปด้วยความไม่เข้าใจธรรม จึงปรากฏวิกฤต ซึ่งเราเห็นอยู่

    ผู้ฟัง แล้วทางแก้ จะแก้ยังไงอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ทางแก้ มีทางเดียว ยากไหมที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ

    ผู้ฟัง ตรงนี้เป็นปัญหาเพราะวันนี้ ว่าหลักธรรมที่เกิดขึ้นตามสภาพความเป็นจริง คนไทยทุกคนอาจจะยังไม่เข้าใจ วิกฤตตรงนี้ ในเมื่อทุกคนไม่เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจหลักธรรม พระภิกษุสงฆ์ผู้ที่จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรม ไม่ปฏิบัติตามตรงนั้น จะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีบุญพอที่จะได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีโอกาสเลย แต่ว่าเมื่อได้ยินแล้วประมาทไม่ได้เลย คำนี้ยากที่ใครจะได้ฟัง และเข้าใจ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะพุทธะคือผู้รู้ ถ้าผู้รู้ธรรมดาไม่มีทางที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ว่ารู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ที่สามารถจะกล่าวคำจริงนั้น ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย นี้คือพระมหากรุณา เพราะเหตุว่าความจริงเป็นสิ่งที่รู้ยากมาก ว่าขณะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย คือสิ่งที่มีจริงขณะนี้ ต้องเกิดขึ้นถูกต้องไหม ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่เห็นไม่เห็นได้เห็นตลอดไป ได้ยินก็ไม่ได้ยินตลอดไป กำลังเห็นใครรู้บ้างว่าคิดด้วย หลังเห็นต้องคิด ถ้าไม่คิดก็ไม่มี การจำรูปร่างสัณฐาน และรู้ว่าอะไร เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นถ้าไม่เคยฟังธรรม ในชาติก่อนๆ หรืออดีตที่แล้วมา ไม่สนใจเลย พระศาสนาจะวิกฤตอย่างไร ประเทศชาติจะวิกฤตอย่างไร ก็ไม่สนใจ แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่เกิดมาแล้ว มีชีวิตที่มีประโยชน์ คุ้มค่ากับการเกิด เพราะเหตุว่าอีกไม่นานทุกคน ก็ต้องจากโลกนี้ไปจะช้าหรือจะเร็ว แต่ว่าจะเป็นคนดีหรือเปล่า จะเข้าใจธรรมไหม จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กว่าสิ่งใด ก็คิดวือให้คนอื่นมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกในพระธรรม ซึ่งขณะนี้ประเทศชาติก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทุกคนก็เพิกเฉยที่จะเห็นความสำคัญของคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่หารู้ไม่ว่าคนไทยแก้วิกฤตหรือทุกปัญหา ก็คือความเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะให้ความจริงได้ ละเอียด ตรง ลึกซึ้งถูกต้อง อย่างพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเห็นคุณ พุทธะคือผู้รู้ ไม่ใช่ผู้ไม่รู้ เพราะฉะนั้นชาวพุทธคือใคร เป็นผู้ไม่รู้หรือว่าเป็นผู้รู้ เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นชาวพุทธจริงๆ และไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไร ตอบไม่ได้เลยใช่ไหม ก็ไม่ใช่ผู้รู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นชาวพุทธที่คิดว่าเกิดมา ก็ต้องเป็นชาวอะไรสักอย่างหนึ่งก็เป็นชาวพุทธ แต่ว่าถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ ก็มีความเข้าใจในพระธรรม และเห็นพระคุณ ถ้าได้เข้าใจกว่านี้ การรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมากยิ่งขึ้น แต่ว่าถ้าไม่รู้คุณก็ไม่รู้จะกล่าวว่ายังไง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าทรงมีคุณอย่างไร ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาอยู่ไหน ได้ยินได้ฟังหรือเปล่า ๔๕ พรรษา สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ รวบรวมไว้เป็นพระไตรปิฏก ๓ ปิฏก พระสุตตันปิฏกกล่าวถึงเรื่องราวต่างๆ ในครั้งพุทธกาล พระวินัยปิฏกกล่าวถึง สิ่งที่ผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน เพื่อขัดเกลากิเลส ต้องเป็นผู้ตรงที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อที่จะรักษาความเป็น ทายาทของพระธรรม และพระศาสนาไว้ และการที่เราจะเข้าใจธรรมได้ ก็ไม่มีทาง ถ้าเราไม่ได้เริ่มสนใจที่จะรู้ว่าแต่ละคำที่ได้ยินขอเชิญซักถามได้ เพื่อประโยชน์จริงๆ ไม่เช่นนั้นการฟังธรรม ไม่ว่าจะกี่ชั่วโมงก็ตามเสียเวลา ถ้าไม่เข้าใจ แต่ถ้าสามารถเข้าใจถูกต้อง เพียงสักคำหนึ่งก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ พระพุทธศาสนาจะเสื่อม เพราะพุทธบริษัท ไม่ใช่เพราะคนอื่นเลย ไม่ใช่เพราะคนต่างชาติ ต่างศาสนา เพราะเหตุว่าไม่มีใครเชื่ออยู่แล้ว แต่ว่าชาวพุทธด้วยกัน ถ้าไม่ศึกษาธรรมให้เข้าใจที่ถูกต้อง ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจะกล่าวว่ารุ่งเรืองพระภิกษุมีรถยนต์มีอะไรต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เลย แม้แต่ว่าพระภิกษุรับเงินทองได้ไหม ถ้าใครตอบว่าได้ เค้าไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัยใช่ไหม เพราะว่าข้อความในพระไตรปิฎกชัดเจน ว่าคฤหัสถ์ต่างกับบรรพชิต ผู้ที่จะสามารถบวชเป็นพระภิกษุได้ ต้องเป็นผู้ที่สะสมอัธยาศัยใหญ่ที่ เห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ เพราะว่าแม้คฤหัสถ์ ก็สามารถที่จะฟังธรรมเข้าใจได้ ใครก็ได้ ฟังธรรมไตร่ตรองก็เข้าใจถูกต้อง แต่ถ้าฟังโดยไม่ไตร่ตรอง ไม่ว่าใครทั้งหมด ก็คลาดเคลื่อน ไม่ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว

    เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องละเอียด ที่ไม่ใช่เราจะตามใคร แต่ต้องตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุรับเงินทองไม่ได้ และไม่ยินดีในเงิน และทองเพราะอะไร เพราะว่าก่อนเป็นภิกษุมีเงินทองชีวิตฆราวาส แต่ก็สละทั้งหมด เพราะเห็นประโยชน์ ของการที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นเพศบรรพชิต จะเหมือนคฤหัสถ์ไม่ได้เลย ด้วยประการทั้โดยประการทั้งปวง เพราะเหตุว่ากิจธุระของผู้ที่จะดำเนินรอยตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะถึงการดับกิเลสได้ ก็คือคันถธุระ พระธรรมลึกซึ้งมาก แม้แต่คำเดียวเช่นคำว่าธรรมก็ต้องเข้าใจ ปฏิบัติธรรมก็ต้องเข้าใจ ไม่ใช่ถามว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร ธรรมคืออะไรก็ตอบไม่ได้ เมื่อไม่รู้แล้วจะเป็นคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ประโยชน์ก็คือว่าชาวพุทธหรือว่าผู้ที่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมไม่ใช่ผู้รู้ เพราะฉะนั้นจะเป็นชาวพุทธโดยไม่รู้สมควรไหม หรือว่าพระธรรมวินัยยังมีครบถ้วน พร้อมที่จะให้ได้ฟัง ได้สนทนา ได้ไตร่ตรอง เพื่อที่จะดำรงความถูกต้องไว้ เพราะเหตุว่าก่อนอื่นต้องรู้ความต่างกัน ของเพศคฤหัสถ์กับเพศบรรพชิต มิฉะนั้นแล้วก็คฤหัสถ์กับบรรพชิตไม่เห็นมีอะไรที่ต่างกันเลย นอกจากจีวรเท่านั้นเอง คฤหัสถ์ในครั้งพุทธกาลรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ภิกษุที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มี นี้แสดงว่าปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไม่ได้จำกัดเพศไม่ว่าใครก็ตาม ที่สะสมความเข้าใจ ได้ฟังพระธรรมก็จะเพิ่มความเข้าใจขึ้น และก็เพิ่มการเคารพบูชา ในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น เพราะได้เข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็เคารพไม่ถูกบูชาไม่ถูก กราบไหว้ก็กราบไหว้เพียงรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตรัสรู้ และสอนอะไรก็ไม่รู้นั้นไม่พอ

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามอาจารย์ พอพูดถึงวิกฤตของพระพุทธศาสนานี้ ผมก็อยากจะแสดงในสังคมว่าชาวพุทธของเรา มีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง อย่างที่ท่านอาจารย์พูดเมื่อกี้นี้ ที่บอกว่าพระภิกษุ เมื่อบวชแล้ว ต้องงดเว้นไม่จับเงินทอง ไม่ยินดีในเงินทอง ทีนี้พระบวชใหม่ท่านก็ไม่รู้อะไร ว่าการยินดีในเงินในทอง หรือการจับเงินจับทองนั้นก็เป็นบาป ท่านก็ยินดีรับ ท่านก็เป็นอาบัติเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ถ้าไม่ลงอาบัติก็ไม่หาย อาบัตินั้นก็จะฝังอยู่ตลอดไป ที่นี้ชาวบ้านก็คิดว่า เมื่อตนเองเอาเงินใส่ย่ามให้พระแล้วต้องได้บุญแน่ อย่างนี้ผมว่าไม่ได้บุญ ทำไมจึงไม่ได้บุญ เพราะไปทำให้พระท่านบาป พระที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านออกมายังไม่ทันพ้นประตูโบสถ์เลย ท่านได้รับเงินรับทองเสียแล้ว ท่านต้องอาบัติ และเราจะได้บุญตรงไหน

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่มีการสนทนาธรรมในวันนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง โดยไม่เคยรู้ตัวเลยว่า แท้ที่จริงแล้ววิกฤตอย่างยิ่ง เพราะว่าชาวพุทธไม่ได้เข้าใจธรรม ปัญหาอยู่ที่ไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็ผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิบัติธรรม หรือการบวชพระเป็นจำนวนมาก โดยที่ว่าเกือบจะกล่าวได้ว่า อะไรอะไรก็จะบวช แต่ว่าในครั้งโน้นไม่มี ที่ว่าอะไรอะไรก็จะบวช ก็คือว่าต้องได้ฟังธรรมก่อน แล้วก็เห็นภายใัสังสาระวัฏฏ์จริงๆ เพราะเหตุว่าสามารถที่จะขัดเกลากิเลส ในเพศคฤหัสถ์เข้าใจธรรมได้ เป็นพระอริยะบุคคลได้ เพราะฉะนั้นผู้บวช ต้องเป็นผู้ที่มีความเคารพอย่างยิ่ง ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพราะเห็นคุณของพระวินัย พระวินัยใครเป็นคนบัญญัติ พระอรหันตสัมมาสัมพระเจ้า เป็นผู้ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครเทียบ เพราะฉะนั้นจะมาคิดกันเอาเองว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป นั่นคือประมาทในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้อดีตอนาคตนับประมาณไม่ได้ จะไม่รู้หรือว่าถ้าขาดความเข้าใจในพระธรรมก็เข้าใจผิด กรแล้วสิ่งที่ทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เป็นการทะนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนา

    ผู้ฟัง คือบางครั้งบางทีเราได้ปฏิบัติไปแล้ว หรือเราอาจจะไม่ทราบ แต่เราอยากจะเรียนถามท่านว่า วิธีที่เราทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ เชิญ

    ท่านอาจารย์ ขอกล่าวตอนนี้นิดหนึ่ง ปฏิปัตติเป็นภาษาบาลี ภาษาไทยใช้คำว่าปฏิบัติ เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถปฏิบัติธรรม ด้วยความไม่เข้าใจธรรม ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะไปปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าปัญญาต้องเจริญขึ้นตามลำดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม คนเข้าใจรู้ตัวเองว่ามีกิเลสมาก และกิเลสที่มีมากอย่างนี้ ถ้าไม่มีปัญญาความเข้าใจถูกยิ่งขึ้น จะละกิเลสได้อย่างไร เพราะไม่มีใครสามารถที่จะละกิเลสได้ แต่ปัญญาความเห็นที่ถูก เริ่มเห็นว่าอะไรถูกอะไรผิด นั่นต่างหากที่จะทำให้ค่อยๆ ละกิเลส แม้แต่คำว่าธรรมเคยได้ยินไหม ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินแล้วเผินๆ เข้าใจหรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้เอง เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เราฟังเผิน เกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย คิดว่าเข้าใจพระพุทธพจน์ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งหนึ่งจริงๆ เห็นคือ ๑ ได้ยินคือ ๑ คิดคือ ๑ ชอบคือ ๑ ไม่ชอบคือ ๑ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ผู้ที่สะสมปัญญาเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังคำนี้เข้าใจทันทีว่า ขณะนี้สิ่งที่มีกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับปัญญา แล้วสะสมมามากเท่าไหร่

    เพราะฉะนั้นคนที่ฟังอย่างสุปปพุทธกุฏฐิ ฟังคำรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้ไปสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าในครั้งพุทธกาล ไม่มีสำนักปฏิบัติ เพราะว่าปัญญาสามารถจะรู้ความจริงที่ไหนก็ได้ กำลังล้างเท้าก็ได้ ใครจะรู้ เมื่อมีเหตุที่สมควรแล้ว ใครยับยั้งได้ไหม แม้แต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครยับยั้งได้ เมื่อถึงกาลเวลา ก็ทรงตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนนั้นได้ไหม ยังไม่พร้อม ใครก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรจะพิจารณาไตร่ตรอง ให้เริ่มเข้าใจทีละคำก็ยังดีกว่าไม่เข้าใจเสียเลย เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้เองมีการดับไปเป็นธรรมดา ถ้าเข้าใจถูกต้อง นี่คือปริยัติ ฟังพระพุทธพจน์แล้วเข้าใจ แล้วไตร่ตรองว่า ไม่ใช่แก่แล้วตาย หรือเจ็บเดี๋ยวนี้เองทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเกิดแน่ๆ เพราะปรากฏว่ามีก่อนนั้นไม่มี ก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้เอง ใครทำ เกิดแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทั้งวัน มีเหตุปัจจัยเป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าใครจะตั้งใจ คิดตระเตรียมอย่างไร จะเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่า เป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย ไม่มีตัวตนไม่มีใครที่สามารถจะไปบังคับบัญชาได้

    เพราะฉะนั้นทุกคำที่ฟังแล้ว ต้องมั่นคงธรรมทั้งหลายคือทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง ยั่งยืน แต่ว่าเพราะแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ มารวมกัน และเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพียงแค่นี้พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้สิ่งนั้นจะเกิดดับเร็วยิ่งกว่านายมายากล แต่พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริง โดยปฏิเวธเพราะปัญญา ต้องเกิดตามลำดับ ปริยัหมายติความว่าไม่ได้ฟังคำของคนอื่น ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองเข้าใจทีละคำ จนกว่าปัญญาถึงระดับขั้นที่สามารถถึงเฉพาะ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เองตรงตามที่ได้ฟัง ไม่ต้องไปสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าผู้ที่ไปสำนักปฏิบัติ ลองถามดู เข้าใจอะไรหรือเปล่า แล้วไปทำอะไร แล้วกิเลสที่สะสมมามากมายมหาศาล ถ้าจะกล่าวถึงที่บรรจุจักรวาลทั้งหมด ก็ไม่สามารถที่จะบรรจุความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลายได้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และดับกิเลสได้หมด แต่ก่อนที่จะดับกิเลสได้ต้องฟังคำของพระองค์ และเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นคำว่าปริยัติที่คนไทยใช้ คือปริยัติ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ไม่ใช่แบบฟังเผินๆ แต่แม้แต่คำเดียว ต่อไปนี้ใครถามว่าธรรมคืออะไรตอบได้เลย สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แล้วถ้าฟังแล้วเข้าใจ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะเป็นตัวตน ที่จะไปทำให้เกิดขึ้นได้ เดี๋ยวนี้ใครรู้บ้างว่าเห็นเกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย คิดเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ จะไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องหรือจะเป็นใครก็ตามแต่ แต่ละ ๑ ขณะที่เห็นคิดต่างกันละ ขณะนี้บางคนเห็น แต่บางคนได้ยิน แล้วบางคนก็คิดเรื่องอื่น ตามเหตุตามปัจจัย เพราะว่าทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด รวมทั้งที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ก็คือสิ่งหนึ่งคือเรา ก็ไม่ใช่เรา

    เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจจริงๆ เห็นเป็นเห็น เป็นเราหรือเปล่า นกเห็นไหม งูเห็นไหม แต่เห็นจะเป็นเราหรือ เห็นต้องเป็นเห็น ไม่ว่าจะนกเห็น งูเห็น สุนัขเห็น แมวเห็น เปลี่ยนเห็นไม่ได้ เพราะเห็นเป็นธรรม ที่ต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เพียงตาบอดไม่เห็นละ แล้วอะไรที่ทำให้บางคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด มีเหตุที่ได้ทรงแสดงไว้ทั้งหมดใน ๔๕ พรรษาโดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า ถ้ามีปัญหาหรือว่ามีอะไร ต้องเพราะความไม่รู้ แต่ถ้าเข้าใจธรรมไม่มีปัญหาเลย เพราะเหตุว่าไม่มีใครไปทำปัญหา แต่ละ ๑ ก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นธรรมมี ๒ อย่าง รู้กับไม่รู้ต่างกันไหม คนที่ไม่เคยฟังธรรมจะบอกว่ารู้ได้ยังไง ก็ไม่รู้ เห็นไม่ใช่เราก็ไม่รู้ เห็นเกิดขึ้น และดับไปก็ไม่รู้ แต่ถ้าฟังธรรมแล้ว ก็คือเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เห็นเป็นเห็น เกิดแล้วหมดแล้ว ได้ยินเป็นได้ยิน เกิดแล้วหมดแล้ว เมื่อวานนี้อยู่ไหน จนกระทั่งถึงชาติก่อนอยู่ไหน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้จะมีไหม ยับยั้งได้ไหม ถ้ามีเหตุปัจจัยต้องมีแน่ๆ ทีละ ๑ ขณะค่อยๆ ผ่านไปจนกระทั่งถึงพรุ่งนี้เดือนหน้าปีหน้าชาติหน้า ก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา กับวันนี้ที่เราสนทนากัน ๒ ชั่วโมงเล็กน้อยมาก แต่อย่างน้อยที่สุดเป็นคำจริง ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้การสนทนาธรรมเป็นมงคล ไม่ใช่เรา สวดมงคล แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นมงคล ความเข้าใจธรรมจากการที่ได้ฟังธรรม และสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความรู้ความเข้าใจถูก ซึ่งไม่เคยมีในสังสารวัฎฏ์ เพราะฉะนั้นฟังไว้ เพราะเหตุว่าการที่จะถึงการปฏิบัปัต ที่จะเกิดปัญญาถึงขั้นที่จะรู้สิ่งที่เรากำลังพูดชัดเจนขึ้นมากขึ้น ไม่สามารถที่จะเป็นไปได้เพียงขั้นฟัง หรือใครจะไปทำให้เกิดขึ้น ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าทุกอย่างต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย การฟังธรรมก็ต้องฟังตั้งแต่คำแรก ค่อยๆ ฟังไปจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น อนิจจังทุกขังอนัตตาได้ยินบ่อย แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เอง อนิจจังคือเห็นไม่เที่ยง ได้ยินไม่เที่ยง คิดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไหม ถ้าเห็นทุกข์หมายความว่า ผู้นั้นเริ่มเห็นภายในสังสารวัฎฏ์ เพราะว่าไม่มีอะไรเลย นอกจากธรรมซึ่งมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น และดับไปไม่ใช่เราเลยทั้งชาติเป็นธรรมทั้งหมด ต่อไปข้างหน้า ก็ยับยั้งธรรมที่มีเหตุที่จะต้องเกิดเป็นไปไม่ได้ จะเป็นใครต่อไปก็ไม่รู้ ต้องตามเหตุตามปัจจัย อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้นี่คือความจริง เพราะเหตุว่าเราไม่สามารถที่จะรู้ว่า มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้ขณะต่อไปเกิดขึ้น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง เพื่ออนุเคราะห์ให้คำที่พระองค์ตรัสไว้ ได้เข้าใจถูกต้องขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เช่นอนัตตา เริ่มเห็นจริงๆ ว่าอะไรล่ะที่เป็นเรา คิดก็หมดแล้ว เห็นก็หมดแล้ว ทุกอย่างก็หมดแล้ว และไม่มีใครไปทำด้วย นอกจากมีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นแต่ละ ๑ ธรรม ซึ่งเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ ฟังแล้วเป็นยังไงจะติดข้องไหม ก็เป็นธรรมหมดเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยยับยั้งไม่ได้ ใครเลือกจะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดก็ไม่ได้ ตั้งใจจะมาถึงที่นี่บางคนก็ไม่ถึงใช่ไหม เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ทั้งหมดทุกวัน นี้แสดงความเป็นอนัตตา แต่ว่ายังไม่เข้าถึงความละเอียดว่า เป็นธรรมอะไรบ้างซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา คือความละเอียดยิ่งของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จนกว่าจะค่อยๆ มั่นคงขึ้น ในความเข้าใจจึงเป็นการรอบรู้ในปริยัติ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิบัติมีไม่ได้ ปฏิเวธมีไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่เคยเข้าใจว่าปฏิบัติธรรม ทำอะไร รู้อะไร เข้าใจอะไร ไม่ใช่ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความเข้าใจหรือปัญญา ต้องตามลำดับ จริงไหม ไม่รู้อะไรเลย แล้วจะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสเป็นไปได้ยังไง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    11 ธ.ค. 2567