ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1235


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๓๕

    สนทนาธรรม ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

    วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสเป็นไปได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจธรรม แล้วก็ประพฤติตามตามกัน โดยไม่เห็นความวิกฤต ก็ไม่มีการที่จะแก้ไข แต่เมื่อไหร่ที่เห็นความวิกฤติ ก็จะรู้ว่าทุกคนซึ่งเป็นชาวพุทธ เกิดแล้วสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิต ก็คือว่าสามารถที่จะเป็นคนดี แล้วก็เข้าใจพระธรรม แล้วก็สามารถที่จะช่วยกัน สืบต่อพระศาสนา ด้วยการศึกษาความถูกต้อง อาจหาญร่าเริงไหมที่จะเห็นประโยชน์ และเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรม พระศาสนาก็วิกฤติอย่างนี้ และยิ่งกว่านี้ด้วย

    ผู้ฟัง กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ ผมสุรสาร เดินทางมาจากจังหวัดสิงห์บุรี ผมนั่งฟังท่านอาจารย์อยู่ ถ้าจับประเด็นที่บอกว่า ชาวพุทธเราไม่รู้จักองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องจากว่าไม่เข้าใจธรรมของพระองค์ ด้วยเหตุผลนี้ผมคิดว่า ณ ช่วงเวลานี้ ศาสนาพุทธอยู่ในขั้นวิกฤตแน่นอน ในประเทศไทย ถ้าเรื่องนี้เป็นวิกฤติของพระพุทธศาสนา เราจะแก้วิกฤตินี้ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่าเหตุมาจากอะไรที่วิกฤต หรือเพราะไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นจะแก้วิกฤติได้ก็ต่อเมื่อ เริ่มเห็นประโยชน์ และเข้าใจธรรม และรู้คุณค่าว่าวิกฤตทั้งหมดมาจากความไม่รู้ แต่ผู้รู้ได้ทรงแสดงธรรมให้รู้ให้เข้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นเหตุให้วิกฤต ใครเข้าใจธรรมของพระองค์

    ผู้ฟัง ในประเด็นสืบเนื่องถัดไป ถ้าเกิดว่าการจะแก้ปัญหาแก้วิกฤตินี้ได้ ก็คือต้องให้เข้าใจธรรมของพระพุทธองค์ นี้ปัญหาก็คือ ในประเทศเราในขณะนี้ ใครที่จะมาเป็นผู้นำในการที่จะสร้างความเข้าใจนี้ ให้กับชาวพุทธทั้งหลาย

    ท่านอาจารย์ ที่จริงไม่ใช่ใครเลย นอกจากตัวเองทุกคน เราจะฝากคนอื่นได้ยังไง ให้คนโน้นให้คนนี้ให้คนนั้น ทุกคนก็หมุนเวียนกันไป โดยไม่มีใครรู้ธรรมเลย แต่ว่าแต่ละคนเริ่มเห็นประโยชน์ เริ่มเห็นคุณค่า และเริ่มพิจารณาคำที่ได้ฟังว่าถูกต้องไหม เพราะว่าผู้ที่จะเข้าใจธรรมบารมี คือความเป็นผู้ตรง สัจจะบารมีถูกคือถูกผิดคือผิด ปัญญาที่รู้ว่าอะไรถูกจะไม่นำไปสู่ทางที่ผิด เพราะฉะนั้นเป็นความเข้าใจถูกต่างหาก ที่ทำให้พฤติกรรมทั้งหลาย จะพ้นจากพ้นวิกฤติได้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจถูก เอาความไม่รู้ไปแก้ไขยังไงก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ นอกจากสัจจะบารมี อธิษฐานบารมี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่ เกินกว่าที่ใครจะคิด กว่าพระองค์จะได้ทรงตรัสรู้ และแสดงธรรมแต่ละคำ ลึกซึ้งอย่างยิ่งให้คนที่เห็นคุณค่า ค่อยๆ ไตร่ตรองค่อยๆ เข้าใจ และความเข้าใจนั่นแหละ จะทำให้เป็นคนดี เพราะปัญญารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นโทษอะไรเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นคหทางนี้เท่านั้น ที่ว่าถ้าเราสามารถที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเริ่มแก้ไข ก็สามารถที่จะพ้นวิกฤติได้ แต่ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพราะว่าวิกฤตินี้มากมายนาน แล้วก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นคนทางที่จะแก้ไขประการแรก ไม่ให้พระภิกษุรับเงิน และทอง ถ้าคฤหัสถ์ไม่ให้พระภิกษุจะเอามาจากไหน และข้อสำคัญก็คือว่าชีวิตคฤหัสถ์ มีกิจธุระการงานต่างๆ มากมายอย่างชาวโลก แต่ก็ศึกษาธรรมได้ เข้าใจธรรมได้ ไม่ทำลายพระวินัย แต่ถ้าเป็นพระภิกษุแล้ว แล้วก็ไม่เข้าใจธรรมก็ต้องทำลายวินัย และก็ชาวบ้านก็คิดว่าถ้าไม่มีพระภิกษุประเทศไทยจะอยู่ได้ยังไง ถ้ามีความเข้าใจธรรมประเทศไทยอยู่ได้ แต่ถ้ามีผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมประเทศไทยก็อยู่อย่างนี้ อย่างวิกฤตินี้แหละ

    ผู้ฟัง และจะถามคำถามที่สอง แล้วหัวข้อที่เราตั้งไว้คือวิกฤตพระพุทธศาสนากับประเทศชาติ เรียนถามท่านอาจารย์ว่า ถ้าประเทศไทยศาสนาพุทธอยู่ในขั้นวิกฤต ตามความหมายที่ได้เรียนท่านอาจารย์ทราบเมื่อครู่นี้ จะส่งผลกระทบอย่างไรกับประเทศชาติ

    ท่านอาจารย์ กระทบมาก ตั้งแต่เพราะไม่รู้ จึงมีการใช้คำว่าระดมบวชได้ไหม ตามจำนวนมากมายมหาศาล ที่เข้าใจว่ายิ่งบวชมากเท่าไหร่ยิ่งดี ถึงกับเกณฑ์หรือจ้างคนถูกต้องไหม ไม่มีความสนใจในธรรมเลย แต่ไม่ทราบจะเอาปริมาณไปทำไม เพราะเหตุว่าต้องเข้าใจธรรมต่างหาก ไม่ใช่ว่ามีผู้ที่บวชเยอะๆ และอีกอย่างหนึ่งแม้แต่สามเณรก็ไม่รู้ว่าสามเณรคือใคร พระภิกษุคือใคร เพราะว่าไม่ได้ศึกษาพระวินัยบัญญัติ เพราะฉะนั้นผู้ที่เริ่มฟังธรรมเข้าใจเขาก็บอกว่า ชาวบ้านก็ไม่รู้จักพระ พระก็ไม่รู้จักพระ พระรู้จักก็ต้องประพฤติตามพระธรรมวินัย แต่ถ้าไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย เป็นพระภิกษุได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ก็ถือว่าทุกคนต้องรู้เหตุว่ามาจากไหน และแก้เหตุคือว่าเริ่มสนใจ และเข้าใจพระธรรม นอกจากนั้นสามเณรเห็นไหม เป็นใคร เป็นเด็กเล็กๆ เอาไปบวชน่ารัก ทำอะไรก็ได้ เดินตามชายหาด หรือว่ามาเล่นเกมอะไรก็ได้ แต่ว่าในพระธรรมวินัยไม่ใช่ เพราะเหตุว่าสามเณรคือ ผู้ที่ยังไม่ถึงกาลเวลาที่จะบวช ยังไม่มั่นคงพอใช่ไหม เพราะฉะนั้นสามเณรก็คือผู้ที่ดำเนินรอยตามภิกษุ ซึ่งดำเนินรอยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกประการหนึ่งวัดคืออะไร อารัามะ ที่รื่นรมย์ยินดี ไม่ใช่ด้วยเสียงดนตรีแต่ด้วยความสงบซึ่งหายาก เพราะเหตุว่าปกติธรรมดา เราอยู่ในโลกยังไม่ได้เข้าวัดในครั้งโน้น เราก็ไม่มีความรู้อะไร ชีวิตดำเนินไปด้วยกิเลสต่างๆ แต่ขณะใดก็ตามไปสู่อารามมะอย่างพระเชตวันเป็นต้น ได้มีความเข้าใจขณะนั้น รื่นรมย์ในการที่สงบจากอกุศล เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าวัดเป็นตลาดนัด หรือว่าไม่ใช่ว่าวัดเป็นที่ทำขนมปัง หรือว่าวัดเป็นที่อะไรต่างๆ แต่วัดต้องสงบ วัดวาอารามต้องสงบ แต่ถ้าเข้าไปในนั้นแล้วไม่สงบเป็นวัดหรือ เพราะฉะนั้นวิกฤตทุกประการ

    ผู้ฟัง ขอบพระคุณท่านอาจารย์

    ผู้ฟัง สวัสดีครับอาจารย์ ผม ดร.สุเมต สุวรรณพรหม ขับรถมาจากกรุงเทพมหานครตั้งใจจะมาฟังอาจารย์ ก็คืออยากให้อาจารย์ได้ขยายความ สิ่งที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์ ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่าได้ยึดมั่นถือมั่น

    ท่านอาจารย์ ต้องขออนุโมทนา ที่ต้องการความเข้าใจ เพราะเมื่อได้ยินคำใดประโยคใดแล้วผ่านไปก็จะไม่ลึกซึ้ง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ใครทำได้ แล้วจะกล่าวว่าพระพุทธศาสนากล่าวอย่างนี้ หมายความว่ายังไง หมายความว่าไม่ใช่เพียงฟังแล้วไม่ยึดมั่น พระองค์ทรงแสดงความจริง จนกว่าจะไม่ยึดมั่น ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ แค่ประโยคเดียวก็ทุกคนก็คิดว่า ไม่ยึดมั่นเป็นไปไม่ได้เลย ต่อเมื่อไหร่ฟังธรรมเข้าใจขึ้น ก็จะค่อยๆ ละคลายความยึดมั่น จนสามารถที่จะดับได้ไม่เหลือเลย เพราะว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ยิ่งกว่ายาใดๆ ทั้งสิ้น โรคทั้งหลายก็มียาที่รักษาได้เพียงชั่วคราวแล้วก็เป็นอีก แต่ว่าปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น สามารถที่จะไม่ยึดมั่นได้จริงๆ แต่ไม่ใช่เราที่ไม่รู้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นประโยคนี้ สอดคล้องกับตอนต้นที่เราพูดรึเปล่าว่า ขณะนี้เห็นเกิดขึ้น ก่อนเห็นไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ที่เห็นๆ ต้องเกิด แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วดับไป ไม่มีใครรู้เลยเป็นธรรมดา ขณะนี้กำลังเกิดดับตลอด ถ้าไม่ประจักษ์อย่างนี้ ยังคงยึดมั่นว่าเป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ และเป็นเรา แต่ว่าถ้าเข้าใจจริงๆ มีสิ่งที่เพียงเกิดขึ้น ถ้าจะประมาณก็ไม่มีใครที่สามารถจะรู้ได้เลยว่าเร็วแค่ไหน แค่ปรากฏนิดเดียวกับจิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไปแล้ว จิตขณะก็สืบต่อละไม่เห็นนล เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ประจักษ์จริงๆ จากปริยัติ สู่ปฏิปัติ ปฏิเวธ ไม่มี ปฏิเวธธรรมคือการรู้แจ้งความจริงของธรรมตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิสูจน์ได้เพราะเป็นความจริง เมื่อไหร่ก็ได้เดี๋ยวนี้ก็ได้ ขณะนี้ธรรมก็เมื่อกี้นี้ไม่ใช่เดี๋ยวนี่ละใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นอย่างนี้ทุกขณะ ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำจนถึงต่อๆ ไป แสดงให้เห็นว่าควรยึดมั่นไหม ในเมื่อไม่ใช่เราเลย ทำก็ไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้ว เกิดแล้วไม่ดับไปหมดไปก็ไม่ได้ ดับไปหมดแล้ว

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจทุกอย่างว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้ กี่ชาติก็เหมือนชาตินี้ และชาติหน้า ก็จะมีการเห็นอย่างนี้แหละ มีการได้ยินอย่างนี้แหละแล้วก็หายไปเหมือนชาติก่อน ซึ่งเราอาจจะสนุกสนานเพลิดเพลินเป็นใครก็ได้ แล้วก็หมดไปไม่กลับมาอีกเลย ถ้ามีความเข้าใจแต่ละคำ มั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้นธรรมทนต่อการพิสูจน์ เพราะเหตุปัญญาค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งขณะนี้กำลังปิดกั้น อวิชชาความไม่รู้มืดสนิท ทุกคนนอนหลับ และฝัน พอตื่นมาก็รู้ว่าในฝันเป็นแค่ฝันไม่มีอะไร แต่ขณะนี้ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เหมือนกับฝันไปเรื่อยเรื่อยทุกชาติ ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงไม่มีอะไร เหมือนในฝัน เพราะเหตุว่าแค่ปรากฏแล้วก็ดับไป นี่คือปฏิปัติ และปฏิเวธ ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจจากการฟังก่อน แล้วปัญญาระดับนั้นจึงสามารถจะเกิดขึ้นได้ และจะละความยึดมั่นความยึดถือได้ รู้ไหมว่าละความยึดมั่น รู้ไหมว่าละความยึดมั่นถือมั่นในอะไร ในความเป็นเรา ซึ่งความจริงเป็นธรรมทั้งหมด ละเอียดยิ่งกว่านั้นก็คือเดี๋ยวนี้เราเห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นละความยึดมั่นไม่ใช่พูดง่ายๆ ผิวเผิน แต่ว่าละความยึดมั่นในเห็นที่กำลังเห็น เพราะมีความเข้าใจขึ้นตั้งแต่เริ่มฟัง ว่าเห็นเกิด และเห็นดับ ละความยึดมั่นได้หรือยัง ถ้ายังก็ฟังต่อไป ปริยัติจะนำไปสู่ปฏิปัติ จะนำไปสู่ปฏิเวธ เมื่อนั้นก็จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยศรัทธาที่ไม่หวั่นไหว เพราะว่าได้รู้ความจริงว่าทุกคำของพระองค์ เป็นความจริงตั้งแต่ต้น จนกระทั่งถึงการประจักษ์แจ้ง ทุกคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นในครั้งอดีต ผู้ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สะสมปัญญาบารมีแต่ละท่าน ค่อยๆ ฟังไปเรื่อยเรื่อย ฟังไป ฟังไว้ ฟังไว้จนกว่าวันหนึ่งสภาพธรรมปรากฏอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ด้วยขันติบารมีรู้ว่าถึงได้ แต่ไม่ใช่เราทำแต่ปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะเข้าใจในความเป็นพระรัตนตรัย

    ผู้ฟัง กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ เมื่อครั้งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต ท่านอาจารย์ชัเท่านได้ตาได้กรุณาอย่างมาก ที่พยายามจะบอกพวกเรา ตลอดเวลาว่าธรรมคืออะไร ความจริงยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นกันมา พระทำอย่างนู้นทำอย่างนี้ เปิดเผยอะไรอีกที่เป็นความจริงให้เราเห็น ธรรมยากมาก ลึกซึ้ง ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา ขณะนี้ไม่มีใครเห็นพระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่พระธรรมคือสิ่งสิ่งเดียวเท่านั้น ที่จะคงความเป็นสิ่งที่มีจริงให้คนทุกคนที่สนใจ ที่จะเรียนรู้ได้ศึกษาได้ เป็น เราชอบใช้คำว่าเป็นบุญ ความจริงบุญนี่มันไม่ใช่ นึกจะทำอะไรไม่ดีสักวันหนึ่ง แล้วไปแก้บ่นแก้บุญอะไรเป็นไปไม่ได้ บุญคือจิตใจที่เป็นกุศล ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจนี่แหละ โอ้โหบุญมหาศาลเลยยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ที่พูดกันไปปฏิบัติธรรม ไปสำนักวิปัสสนา ไปอะไรต่อมิอะไรไม่ต้องไปหรอก ธรรมมีให้รู้อยู่ทุกขณะแล้ว

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ เราจะเช็คตัวเราเองอย่างไรว่า ลืมตามาตั้งแต่ตอนเช้า แล้วจนถึงเข้านอน เราเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ วิกฤตทางพุทธศาสนาอย่างไรหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เช้าจนถึงก่อนนอน เข้าใจธรรมหรือเปล่า ไม่ยาก เพียงแค่ธรรมคืออะไรเป็นคำแรกคำเริ่มต้น และยังมีอีกหลายคำ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามใครเลย ไม่ต้องให้ใครมาบอก ว่าเราเข้าใจพระพุทธศาสนาแค่ไหน แต่แม้แต่คำว่าธรรมตั้งแต่ตื่นคิดถึงบ้างไหม ทั้งทั้ๆ ทั้งหมดเป็นธรรม ตั้งแต่ตื่นจนหลับทุกวันจนตายเป็นธรรม ก็ไม่เคยคิดถึงเลย

    ผู้ฟัง แล้วเราจะทราบยังไงว่าธรรมของพุทธองค์ ในความเข้าใจของการดำรงเป็นพุทธมามกะ

    ท่านอาจารย์ ธรรมคิดเองได้ไหม ถ้าได้ไม่ต้องมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ ประเทศไหนกี่พันปีมาแล้ว และต่อไปข้างหน้า ก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงอย่างทุกคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว เพราะฉะนั้นเป็นที่พึ่งได้จริงๆ โดยการที่ว่าต้องเป็นผู้ที่ตรง และเป็นผู้ที่ละเอียด และต้องรู้ว่าความจริงเป็นสิ่งซึ่งควรรู้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้อีกต่อไปก็ได้จนตาย ไปกี่ชาติกี่ชาติก็คือไม่รู้อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นเริ่มรู้เมื่อมีโอกาส ที่จะได้ยินได้ฟังดีไหม แต่ต้องเป็นคนตรงคือไตร่ตรอง เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะฉะนั้นเราจะไปพูดว่าคนนี้พูดคนนั้นพูด นั้นไม่ใช่การศึกษาธรรมจริงๆ การศึกษาธรรมจริงๆ คือไม่ว่าใครพูด เราเข้าใจอะไรจากคำที่เราได้ยินจากเขา ถูกต้องหรือไม่กับสิ่งที่มีจริงๆ อย่างธรรมอย่างนี้ คือสิ่งที่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงคือตั้งแต่เช้าจนค่ำทั้งหมดที่เป็นธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ โดยประการทั้งปวง ทรงแสดงไว้ให้คนค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็รู้เลยตรวจสอบตัวเองได้ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะว่าได้มีความเข้าใจจากการที่ได้รับฟัง สิ่งซึ่งเราอาจจะคิดไม่ถึง ก็เป็นการสนทนาแลกเปลี่ยน ว่าอะไรถูกอะไรผิด และก็เป็นผู้ที่ตรง คำใดที่เป็นคำจริงคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำไม่จริง ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง วิธีเริ่มต้นที่คุณพ่อคุณแม่ น่าจะหยิบยื่นให้แก่กุลบุตร และลูกหลาน ที่เริ่มเกิดมาให้เข้าใจหลักธรรมคำสอน ควรจะต้องปฏิบัติเริ่มต้นอย่างไร ให้เขาเป็นชาวพุทธแท้

    ท่านอาจารย์ อันนี้ ต้องพิจารณาให้คนอื่นเป็นชาวพุทธแท้ พ่อแม่จะทำยังไง ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เข้าใจธรรม แล้วจะไปให้ลูกเข้าใจจากใคร ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ใช่ไหม คือหวังลูกหลาน แต่ตัวเองไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะฉะนั้นลูกหลานจะเข้าใจได้หรือ ในเมื่อไม่มีใครเข้าใจธรรมซึ่งจะสอนเขา เพราะฉะนั้นพ่อแม่นั่นแหละ ก็ควรที่จะได้เข้าใจธรรมด้วย ไม่อย่างงั้นก็หวังแต่เพียงลูกหลาน และตัวเองล่ะ

    ผู้ฟัง ฉะนั้นกำลังนำเรียนท่านผู้มีเกียรติว่า ต้องเริ่มต้นจากพ่อแม่รู้จักธรรม

    ท่านอาจารย์ เริ่มต้นจากทุกคน ทุกคน เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ของตนเอง จากโลกนี้ไปแน่นอน แต่จากไปด้วยความไม่รู้ ความไม่รู้นำมาซึ่งความติดข้อง ความติดข้องนำมาซึ่งทุจริตต่างๆ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้ว ความเข้าใจไม่ใช่เราแต่เป็นความเห็นถูก ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา เพราะฉะนั้นหวังคนอื่นหรือว่าตัวเรา ถ้าทุกคนหวังคนอื่น ไม่มีใครเข้าใจธรรมแน่ เพราะต่างคนก็ต่างหวังคนอื่น ตราบใดที่ไม่เข้าใจธรรม ตราบนั้นก็ยังคงเป็นวิกฤตต่อไป จะแก้วิกฤติไหม ไม่ใช่คนอื่นแก้แต่ละคนช่วยกัน แล้วก็เป็นผู้ที่ตรงจริงใจ และมั่นคงไม่หวั่นไหว ความจริงคือความจริง ความถูกต้องคือความถูกต้อง ธรรมฝ่ายดีคือกุศลธรรมนำมาซึ่งประโยชน์ แต่ธรรมที่ตรงกันข้าม คือฝ่ายทุจริตไม่ดีก็นำมาซึ่งผลที่ไม่เป็นประโยชน์ ทั้งกับตนเอง และผู้อื่นด้วย และไม่ใช่จะจบชีวิตเพียงชาตินี้ ยังมีชาติต่อไปอีกนับไม่ถ้วน และก็จะเป็นอย่างนี้แหละ ตราบใดที่ไม่เข้าใจธรรม แต่ชีวิตจะดีขึ้นเพราะความเห็นถูกที่เข้าใจถูกต้อง

    สนทนาธรรมที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    วันที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑

    ผู้ฟัง ในเบื้องต้นอยากจะกราบเรียนท่านอาจารย์ สนทนาธรรมในวันนี้ เชิญ

    ท่านอาจารย์ เวลามีน้อย และเวลาก็มีค่าทุกขณะ เพราะฉะนั้นวันนี้ที่เรามาที่นี่ ก็เพื่อจะสนทนาธรรม ซึ่งถ้าใครที่ได้ยินได้ฟังเรื่องมงคล ๓๘ ก็จะรู้ได้ว่าการสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะเหตุว่าเป็นการที่จะได้มีความเข้าใจ สิ่งซึ่งยาก และลึกซึ้ง เพราะเหตุว่าแม้กำลังมีอยู่ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะรู้เลยไม่มีทางเลย ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ถ้าถามจริงๆ ว่าใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง คำตอบจะเป็นยังไง คำถามง่ายๆ ธรรมดา ใครก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ในที่นี้มีใครไม่รู้จักบ้างไหม ไม่มี แต่ว่าก็รู้จักแต่ชื่อ ถ้าถามละเอียดลึกซึ้งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ผู้คนในสากลจักรวาลแม้ในพรหมโลกเทวะโลกก็กราบนมัสการบูชา แสดงถึงความเป็นบุคคลที่ไม่มีใครเปรียบ และก็ไม่ได้มีบ่อยๆ นานๆ แสนนานเป็นกัปป์ จึงจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศ ทุกคนที่ชินหู ก็ชินหูเพียงแค่ว่าพระองค์หมดกิเลส ดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่พระอรหันต์อย่างพระอรหันต์อื่นๆ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงว่าพระคุณของพระองค์ ต้องมากเหลือที่จะพรรณนาได้ ยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย และพระอรหันต์เป็นใคร ทุกคนก็รู้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้ที่หมดกิเลส แต่คนอื่นอย่างปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ถึงการที่จะหมดกิเลสได้ โดยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นความมีค่าอย่างยิ่งของพระรัตนก็คือว่า สามารถทำให้ความไม่รู้ซึ่งทุกคนไม่สามารถจะรู้ได้ แต่พอได้ยินได้ฟังคำจริง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงธรรมเตชะ คำนั้นทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งไม่มีใครรู้มาก่อนเช่นขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เพราะว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงตรัสรู้อะไร แล้วเราเคยคิดไหมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ คิดที่กำลังคิดเดี๋ยวนี้ ชอบที่กำลังชอบเดี๋ยวนี้ เกิดมาเป็นคนเป็นผลของกุศล มีโอกาสได้ฟังคำที่สามารถทำให้เริ่มเข้าใจ ความจริงว่าเรารู้ความจริงรึเปล่า ความจริงใน ๑ ขณะทุกๆ ขณะมีคนกล่าวว่า ยุคนี้พระธรรมคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทันสมัย เพราะเขาไม่รู้จักคำว่าสมัย แต่ถ้ารู้จักคำว่าสมัยคืออะไร ๑ ขณะเดี๋ยวนี้เห็น ขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่น นอกจากสมัย ๑ ที่เห็นเกิดขึ้น เห็นแล้วก็ดับไป สมัย ๑ คือกำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ เป็นสมัย ๑ ที่ได้ยินไม่ใช่สมัยเห็น เพราะฉะนั้นใครจะทันสมัยทุกขณะด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงไม่มีเลย เพราะว่าเราเกิดมากล่าวได้เลยว่าพูดคำที่ไม่รู้จักทุกคำ ไม่ว่าคำอะไรทั้งนั้น ไม่รู้จักคำนั้นเลย แต่ก็พูดด้วยความไม่รู้ และคิดว่ารู้ เพราะฉะนั้นจะเริ่มรู้ว่าไม่รู้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    13 ธ.ค. 2567