ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1236


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๓๖

    สนทนาธรรมที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเริ่มรู้ว่าไม่รู้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ผมอยากจะถามว่าถ้าเราศึกษาธรรม แล้วเราเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องไปวัดได้ไหมเพราะว่าผมรู้สึกว่าเวลาไปวัด มันไม่ได้อะไรเลย มันมีแต่กิเลส แบบว่าเรามีแต่ตู้บริจาคเต็มหมดว่า แล้วเราต้องใช้เงินปัจจัยให้วัด ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยดี

    ท่านอาจารย์ ต้องขออนุโมทนา เป็นผู้ที่ตรงแล้วก็จริงใจ ชีวิตจริงจริงเป็นอย่างนี้ แต่ก็มีคำตอบ ทุกคำต้องเข้าใจวัดคืออะไร เห็นไหม อยากให้ลูกไปวัดอยากให้คนนั้นไปวัดอยากให้คนนี้ไปวัด แต่รู้ไหมว่าวัดคืออะไร

    อ.วิชัย ในสมัยครั้งพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ประทานอนุญาตให้กุลบุตรทั้งหลายที่มีศรัทธาออกบวชเป็นภิกษุ แต่สมัยนั้นพระองค์ยังไม่อนุญาตที่อาศัยที่เป็นอารามสำหรับภิกษุทั้งหลาย ภายหลังพระองค์ก็อนุญาต ดังนั้นถ้ากล่าวถึงวัดในภาษาบาลีก็จะกล่าวถึงอาราม หมายถึงเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ สำหรับผู้ที่ประพฤติธรรม หมายความว่าบุคคลนั้น หลังจากที่ได้ฟังธรรม ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มีศรัทธาที่จะประพฤติปฏิบัติตาม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นวัดหมายถึงอารามเป็นที่อาศัยของภิกษุทั้งหลาย

    ท่านอาจารย์ วัดไม่ใช่บ้านใช่ไหม ใครอยู่บ้าน ใครอยู่วัด ต้องต่างกันละ เพราะฉะนั้นคนที่อยู่บ้านก็มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ธรรมดา ที่เราเรียกภาษาไทยว่าชาวบ้าน ชาวบ้านชาวเรือน แต่วัด เราจะไปอยู่วัดไม่ได้ วัดเป็นที่อยู่ของผู้ที่ขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ผู้ฟังก็เป็นคฤหัสถ์ชาวบ้านธรรมดาอย่างนี้ แต่ว่าพอฟังจบได้มีความเข้าใจ เห็นตัวเองตามความเป็นจริงว่าเป็นผู้ที่มีกิเลสมาก เพราะฉะนั้นการที่ได้ฟังธรรมเข้าใจ เริ่มรู้ว่ามีกิเลสมาก และเมื่อเข้าใจธรรม ก็สามารถจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลส เพราะว่าทั้งหมด มาจากความไม่รู้ ความไม่ดีทั้งหมด เริ่มจากการไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริง ให้ทุกคนเริ่มรู้จักความจริง และตัวจริงของแต่ละคน เพราะฉะนั้นฟังจบแล้ว ทุกคนเข้าใจธรรม แต่ต่างกันเป็น ๒ พวก คือพวก ๑ ก็รู้ว่าพระธรรมสามารถที่จะรับฟังเข้าใจ ค่อยๆ ละความไม่รู้ค่อยๆ ทำความดีเพิ่มขึ้น เพราะมีปัญญาความเห็นถูกว่า สิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว ถ้ามีความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ปัญญานั่นแหละ จะนำชีวิตไปในทางที่ดี เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ จะเอาอะไรมาห้าม ความไม่รู้ซึ่งไม่รู้ และก็ต้องทำทุกอย่างตามความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ไม่บวชแต่ฟังธรรม แล้วสามารถที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล คือจากปุถุชนซึ่งไม่เข้าใจธรรม เป็นผู้ที่เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น จนสามารถรู้ความจริงตรง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกคำ เช่นขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เขาสามารถเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ มีเมื่อเกิดขึ้นถ้าไม่เกิดจะมีไหม

    เพราะฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจความจริง ว่าสิ่งนี้ไม่มีใครสามารถไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย นอกจากมีเหตุปัจจัยสมควร ที่จะเกิดเป็นอย่างไร ก็เกิดเป็นอย่างนั้น เช่นได้ยินจริงๆ ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน คนหูหนวกได้ยินไม่ได้ ไม่มีใครสามารถจะไปทำให้คนหูหนวกได้ยินได้ แต่เพราะมีหู รูปพิเศษที่อยู่กลางหู ที่สามารถกระทบเสียง แต่เสียงก็ไม่สามารถรู้อะไร รูปที่สามารถกระทบเสียงก็ไม่รู้อะไร แต่เพราะมีหู และเสียง จึงทำให้มีธาตุรู้เสียง คือได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกอย่างหมด พระองค์ทรงแสดงไว้อย่างละเอียดยิ่ง ว่าสิ่งใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นต้องดับไปเป็นธรรมดา ซึ่งถ้าไปวัดบ้างหรือฟังธรรมบ้าง ก็อาจจะได้ยินคำว่าในภาษาไทย สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดา ทุกคำต้องพิจารณา จนกระทั่งเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าทรงตรัสรู้ความจริงยิ่งกว่านี้อีกมาก นี้เพียงไม่กี่คำ แต่ก็ทำให้เราสามารถที่จะรู้จักตัวเอง ว่าแท้ที่จริงตัวเองจริงๆ แล้วก็คือสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แม้แต่คำว่าธรรมดา เป็นภาษาบาลีมาจากคำว่าธรรมะกับตา แต่คนไทยจะไม่ใช่ตัว ต เต่า แต่ว่าเราจะใช้ ด เด็ก เพราะฉะนั้นแทนที่จะพูดว่าธรรมตา คนไทยเขาบอกว่าธรรมดา ตาคือความเป็นไปของธรรม ฝนจะตกก็ต้องตกใช่ไหม แดดจะออกก็ต้องออก เพราะทุกอย่างเป็นธรรม ต้องมีปัจจัย ที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นไป ใครยับยั้งได้ ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้ง อะไรได้เลยสักอย่างเดียว เพราะเดี๋ยวนี้เกิดแล้วทั้งหมด กำลังเห็น เห็นเกิดแล้วไม่ต้องไปทำให้เห็น เห็นมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป แต่ไม่เคยได้เคยได้ยินว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีการดับไปเป็นธรรมดา เพราะ ๑ ต้องเป็น ๑ ถ้าเห็นไม่ดับได้ยินดับไม่ได้เลย นี่เป็นความละเอียดอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงธรรม และก็เป็นผู้ที่ดับกิเลส เท่านั้นไม่พอ แต่พระมหากรุณาบำเพ็ญความเพียร เพื่อที่จะรู้สิ่งที่มีซึ่งรู้ยาก เมื่อตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา ใครได้ฟังกี่คำ บางคนไม่เคยได้ฟังเลย แต่บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่ลืมพูดคำที่ไม่รู้จักอีกละ พุทธะคือผู้รู้ ถ้าเป็นชาวพุทธก็คือผู้รู้ ผู้เข้าใจสิ่งที่มีตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนได้เลย ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือใครก็ตาม ที่มีความสามารถในอดีตจนถึงปัจจุบัน และอนาคต ไม่สามารถเปรียบได้ กับพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงตรัสรู้สิ่งซึ่งขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ใด ก็ไม่ได้กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ละเอียดมากเกิดขึ้น เพียงปรากฏเล็กน้อยนิดเดียวดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฎฏ์ ตั้งแต่เล็กมา ไม่ว่าจะอะไรเกิดขึ้นในแต่ละวัน กลับมาไม่ได้เลย แม้เสียงเมื่อกี้นี้ก็ไม่ได้กลับมาอีก แต่มีปัจจัยที่จะให้มีเสียงใหม่เกิดขึ้น จิตได้ยินเกิดขึ้น และก็ดับไป แล้วก็เป็นปัจจัยให้สภาพรู้เกิดสืบต่อ ซึ่งเราจะคุ้นเคยกับคำว่าจิต มาจากคำว่าจิตต แต่ภาษาบาลีจะใช้หลายคำ วิญญาณก็ได้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นก็เข้าใจผิด คิดว่าวิญญาณคือล่องลอย ตายแล้วไปไหนอะไรอย่างนี้ ซึ่งไม่ถูกเลย

    เพราะฉะนั้นทั้งหมด ถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่ได้กล่าวถึงความจริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นต่างคนต่างคิด จึงทำให้พระพุทธศาสนาวิกฤต ซึ่งความวิกฤติของพระพุทธศาสนา ก็เป็นความวิกฤติของประเทศชาติด้วย เพราะเหตุว่าอย่างที่กล่าวถึง อยากให้ไปวัด แต่ไปวัดแล้วพบอะไร ไปวัดแล้วเข้าใจธรรมหรือเปล่า หรือว่าไปวัดแล้วก็เหมือนตลาดนัด หรือว่าอะไรอะไรหลายอย่าง ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ต้องรู้ว่าวัดคืออารามในภาษาบาลี หมายความถึงที่รื่นรมย์ด้วย ความเข้าใจถูกต้องที่สงบจากกิเลส เพราะฉะนั้นวัดต้องสงบ ไม่ใช่วัดมีการขายสินค้าต่างๆ นานา อย่างที่เห็นกันอยู่ เพราะเหตุว่าถ้าไปอย่างนั้น ก็ไม่มีสภาพของความเป็นวัด อารามไม่มีเลย เพราะฉะนั้นที่อยู่ของพระภิกษุผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้ว เห็นว่าสามารถที่จะประพฤติ ขัดเกลากิเลส ดับกิเลส ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นทรงวางพระวินัยบัญญัติไว้ ว่าใครที่จะอุปสมบทต้องสามารถประพฤติตามสิกขาบท ที่ได้ทรงบัญญัติไว้ ซึ่งขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ คฤหัสถ์พูดเล่นได้ใช่ไหม หัวเราะกันสนุกสนานก็ได้ แต่ผู้สงบทำอย่างนั้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบภาวะของภิกษุ ก็ต้องดูความประพฤติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทียบกันได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหัวเราะเล่นรึเปล่า ไม่ เพราะฉะนั้นอารามเป็นที่สงบของผู้ที่มีปัญญา จะไม่มีภาพของการหัวเราะ หรือการร้องรำ หรือว่าการดนตรี หรือว่าการโฆษณามหรสพใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นชาวพุทธต้องเริ่มรู้จักความจริง แม้แต่วัดคืออะไร ไม่เช่นนั้นก็ไปทำไม ก็ถูกต้อง ถ้าไป และก็ได้รับความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเพิ่มขึ้น รู้จักตนเองเพิ่มขึ้น ก็สมควรที่จะไป แต่ถ้าไปแล้วไปพบสิ่งซึ่งไม่สงบ ไม่ใช่ที่ขัดเกลากิเลส แต่เป็นที่เพิ่มเติมกิเลสแล้วจะไปหรือ เพราะฉะนั้นก็เป็นการถูกต้อง ถ้าเรามีเหตุผลว่าไม่ไปวัดเพราะอะไร ถ้าไปไปทำอะไร ทุกคนที่มีปัญญา คือผู้ที่มีความเห็นถูกเข้าใจถูก ไม่ใช่ผู้ที่ตามๆ กันไปแล้วก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าทุกคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว แล้วโดยเฉพาะที่พระวิหารเชตวัน หรือที่พระวิหารเวฬุวันในครั้งอดีต ภิกษุไม่ได้รับเงินทอง เพราะฉะนั้นการสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ปัพพัชชาสละทั่วไม่เว้นทรัพย์สินเงินทอง วงศาคณาญาติ ความสนุกสนานรื่นเริงทั้งหมด เพราะเห็นประโยชน์ว่าคนเราเกิดมาแสนสั้น ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า จะจากโลกนี้ไปวันไหนที่ไหน ด้วยอาการอย่างไร แต่ว่าจากไปโดยไม่เข้าใจสิ่งที่มี กับการที่จากไปก็รู้ความจริงว่า เกิดมานี่แสนสั้น ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป แต่ก่อนจากเป็นคนดีหรือเปล่า สามารถที่จะดีกว่านี้ได้ เพราะเหตุว่าเป็นมนุษย์ มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ได้คิด ได้ไตร่ตรอง

    เพราะฉะนั้นถ้าจะจากโลกนี้ไป สมกับการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็คือได้มีความเข้าใจถูก ซึ่งสามารถที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำจริง ที่ทำให้เข้าใจต่อไป เพราะเหตุว่าถ้าไม่เคยฟังแล้ว ไม่สนใจธรรมจะอยู่ตรงนี้ไหม ก็ไม่มีประโยชน์อะไรก็ไปที่อื่นดีกว่า แต่อย่างน้อยถ้ามีความคิดว่า ฟังเรื่องอื่นยังฟังได้ แต่ทำไมฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะฟังไม่ได้ หรือไม่ควรฟัง คนนั้นก็เริ่มรู้จักค่าของเวลาที่มีของชีวิต ซึ่งจะต้องจากไปว่าอย่างน้อย ก็จากไปโดยการที่ได้รู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนา แต่ว่าต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าไม่ใช่ตามๆ กันไป แต่ก็ยังมีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พร้อมที่จะให้ผู้ที่ศึกษา และเคารพจริงๆ ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรอง เป็นความเข้าใจของตนเอง ได้รับประโยชน์ทีละคำ เพราะว่าธรรมลึกซึ้งมาก จะเข้าใจทั้งหมดทีเดียว ไม่ได้ อย่างบอกว่า เกิดแก่เจ็บตาย เข้าใจแค่นั้นหรือ อนิจจังทุกขังอนัตตา ลึกซึ้งกว่านั้นคือเดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างที่เกิดดับไม่กลับมาอีกเพียงคำนี้ถ้าฟังบ่อยๆ ละคลายความติดข้อง รู้ตัวเองว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ปรากฏว่ามีเพียงชั่วคราว แล้วไม่เหลือเลย ลองคิดสิ ปัญญาระดับไหน จะสามารถเห็นความจริง จนกระทั่งรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เคยยึดถือไว้ทั้งหมด ไม่ได้นำความสุขมาให้เลย แต่ลวงว่ายังคงอยู่ แต่ความเป็นจริง ก็ยิ่งกว่านายมายากล เพราะเหตุว่าหมดแล้ว เมื่อกี้นี้ก็ไม่มีอะไรเหลือเลยแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้จริงๆ จะเบาสบาย จะหมดความทุกข์สักแค่ไหน จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากเท่าไร นี้ก็แสดงให้เห็นว่าเวลาที่มีค่าคือเวลาที่ได้สนทนาธรรม แล้วก็ได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นนอกจากจะรู้จักวัด ก็ยังต้องรู้จักภิกษุด้วย

    ผู้ฟัง เราก็มาพูดถึงความจริง ณ ขณะนี้ ขณะที่ท่านนั่งอยู่ขณะนี้ ตาท่านก็เห็น หูก็ได้ยิน จมูกก็อาจจะได้กลิ่นอะไรก็ไม่ทราบ จิตใจก็อาจจะคิดนึก เย็นนี้ต้องซ้อมดนตรี พรุ่งนี้จะต้องไปออกงานโน้นออกงานนี้ เย็นนี่ต้องมีการนัดหมายอะไรต่างๆ มันทีละ ๑ หมดเลย แต่ว่าเราไม่รู้ว่าเป็นทีละ๑ ขณะเรื่องนี้อยากให้ท่านอาจารย์สุจินต์ได้กรุณาชี้แนะด้วย

    ท่านอาจารย์ ทุกคำที่ได้ฟังต้องคิดไตร่ตรอง ธรรมเป็นธรรม ธรรมเป็นอื่นไม่ได้ต้องเป็นธรรม เห็นต้องเป็นเห็น เห็นเป็นอื่นไม่ได้ ต้องเป็นเห็น นี้คือแต่ละ ๑ ที่มีจริงแต่เพราะไม่รู้ และรวมกันเมื่อไหร่ ก็เข้าใจว่าเป็นเราทั้งหมด แต่ถ้าแยกออกไปทั้งตัว จริงๆ แล้วแตกย่อยเป็นชิ้นส่วนที่ละเอียดยิบได้ เพราะมีอากาศธาตุแทรกอยู่ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่ได้แยกถึงอย่างนั้นก็เข้าใจว่าเป็นเรา แต่ความจริงก็คือว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นรูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ แข็งอ่อน เย็นร้อนพวกนี้อยู่ที่ตัวหมด และก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ เราอยู่ไหน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ว่าอนัตตาหมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เห็นอย่างนี้ ทำยังไงจะให้เห็นเกิดขึ้นก็ไม่ได้ เพราะอะไรก็เห็นแล้วกันทุกคน ใครทำ ไม่มีใครทำเห็นเลย แต่เห็นก็เกิดแล้ว คิดก็เกิดแล้วทุกคน ใครไปทำให้คิด ก็ไม่มีใช่ไหม แต่คิดก็เกิดแล้ว แล้วก็ดับแล้วด้วย เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไตร่ตรอง มั่นคงเป็นความจริงว่า ที่ธรรมทั้งหลายยังไม่แตกออกไปเป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ยังรวมอยู่ตราบใด ก็มีความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่ง เช่นเป็นดอกไม้ หรือว่าเป็นแก้ว แตกย่อยได้หมดเลย และก็เป็นแต่ละส่วน ซึ่งมีอากาศธาตุแทรกอยู่ เพราะฉะนั้นเพียงได้ฟังไม่กี่คำ เราก็เริ่มจะเห็นความไม่มั่นคง ของรูปร่างกาย และจิตใจซึ่งเกิดดับสืบต่อ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีใครสังเกตเลย แต่เพราะไม่รู้ก็เข้าใจว่าเราหมดเลย เช่นขณะนี้ที่กำลังเห็นมีใครจะรู้บ้างว่า เห็นไม่ใช่เราเกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจแต่ละคำ มั่นคงไม่เปลี่ยน อนัตตาต้องเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นถ้ายังมีความเข้าใจว่าเป็นเราเมื่อไหร่ แสดงว่าความรู้ของเรายังน้อยมาก ยังไม่ถึงการที่พระองค์ได้ทรงแสดงความจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ค่อยๆ เข้าใจธรรม แต่ยังหมดกิเลสไม่ได้เลย ฟังแค่นี้หมดกิเลสไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเราฟังธรรม เราฉาบฉวยมาก คือฟังเป็นคำๆ แล้วก็คิดเอาเองหมด เช่นได้ยินคำว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไม่ทราบนักศึกษาได้ฟังมาก่อนหรือเปล่า เพราะว่าเป็นภาษาบาลี แต่ปริยัติ เราจะเห็นตามในวัด มีตึกใช่ไหม เขียนแบบปริยัติแต่ว่ารู้ไหมว่าคืออะไร ปริยังติคือการฟังพระพุทธพจน์ คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าชาวพุทธเราจะฟังคำใครล่ะ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าพระองค์ตรัสคำว่าอนัตตา พระองค์ตรัสคำว่าสังขาร หมายความถึงสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น และก็ดับไป ทั้งหมดนี่เป็นสังขารทั้งหมด เพราะว่าเกิดปรากฏ และก็ดับไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่เที่ยงคือไม่จีรัง ไม่สามารถที่จะยั่งยืนได้ แต่เราก็ฉาบฉวยก็คิดเองก็อยู่ไป เดี๋ยวก็ป่วยไข้ เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ แต่นั่นคือเราคิด แต่ถ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ ก็คือว่าให้เข้าใจตามความเป็นจริง ไม่มีเรานี่ต้องไม่มีเราทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเหลืออย่างหนึ่งอย่างใดไว้เป็นเรา ความสุขมีจริง ความสุขเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปไม่ใช่เรา ขณะที่ความทุกข์ เราไม่ได้ไปทำให้ความทุกข์เกิดเลย ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ แต่ทุกข์เกิดแล้ว แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตรัสว่าทุกข์เกิดขึ้น และก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง เร็วกว่าที่เราคิด แต่พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมด โดยประการทั้งปวง ละเอียดยิ่ง เช่นเห็นเราไม่รู้เลยว่าขณะนี้ลักษณะของธาตุรู้ที่กำลังเห็น มีสภาพรู้ที่อาศัยธาตุรู้นี้เกิดขึ้น อาศัยกัน และกันเกิดแล้วดับ โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง นี้คือยิ่งฟังยิ่งรู้จักว่า ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ผิดมาตั้งแต่ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้นานมาแล้วด้วย จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจความหมาย ของผู้ที่เป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ไม่ใช่แค่ฟัง เพราะปริยัติหมายความถึงฟังพระพุทธพจน์ และรอบรู้ในพระพุทธพจน์ไม่ใช่ว่าฟังเท่านั้นจบละเรารอบรู้ละ ไม่ใช่เลย ต้องรอบรู้มากกว่านี้อีก มากกว่านี้อีก จนกระทั่งค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตนโดยขั้นฟัง แต่ความลึกซึ้งยังมากกว่านั้น จึงมีความปริยัติ ปฏิปัติ และปฏิเวธ ปริยัติคือฟังคำพระพุทธพจน์ด้วยความเคารพที่รู้ว่าลึกซึ้ง และต้องรอบรู้ ถ้ารอบรู้คำว่าธรรมคำเดียวถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมที่เราได้ฟังยังไม่ได้รอบรู้ แต่ถ้ารอบรู้แล้วทุกคำสอดคล้องกันหมด ขัดกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเป็นปัญญาตั้งแต่ขั้นฟัง รอบรู้ในพระพุทธพจน์ เมื่อมีความรอบรู้แล้ว ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีตามที่ได้ฟัง เช่นแข็งเดี๋ยวนี้มี ทุกคนก่อนพูดถึงแข็งไม่สนใจเลยใช่ไหม ว่านั่นแหละธรรม เห็นเดี๋ยวนี้มี ถ้าไม่พูดทุกคนก็ไม่สนใจอีก ไม่รู้ว่านั่นคือธรรม แต่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น จะทำให้เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ โดยความเป็นธรรมแต่ก่อนนี้เป็นนิ้วเราใช่ไหม กำลังจับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แข็ง ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พอมีปัญญาเพิ่มขึ้น เพียงขณะที่แข็งปรากฏรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือปฏิปัติซึ่งคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ โดยอาศัยการฟังอย่างมั่นคง จนกระทั่งถึงเฉพาะ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัติแปลว่าถึง ถึงเฉพาะลักษณะที่กำลังปรากฏด้วยความเข้าใจ เป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่ปฏิเวธ การประจักษ์การเกิดดับจริงๆ จึงสามารถที่จะดับกิเลส รู้ว่าไม่ใช่เราแน่นอนได้ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นโมฆะ คำใดที่ตรัสแล้ว คำนั้นสามารถที่จะเข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถพิสูจน์ได้ รู้ความจริงได้ ด้วยตัวเองเมื่อไหร่ ผู้นั้นมีศรัทธาที่มั่นคงในพระรัตนตรัย เพราะว่าไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ก็ได้ถึงการเข้าใจขณะที่สภาพธรรมนั้นมีจริงจริงๆ ในการเกิดดับ จนกระทั่งค่อยๆ ละคลายกิเลสเป็นปฏิเวธ ไม่ใช่ว่าเราได้ยินคำว่าปฏิบัติธรรม ก็พากันไปปฏิบัติธรรม รู้อะไร แต่ปฏิบัติธรรมหมายความว่า เดี๋ยวนี้มีธรรมนี้เกิดจากการฟัง ถึงเฉพาะคือกำลังเข้าใจตรงลักษณะที่ปรากฏแล้วยังไม่ดับ และเมื่อเข้าใจตรงนั้น จนกระทั่งประจักษ์แจ้งการเกิดดับนั้นก็คือปฏิเวธ รู้ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นคำจริง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้วิกฤตไหม มีสำนักปฏิบัติทั่วโลก แล้วทำอะไร แล้วรู้อะไร และก็เมื่อพระพุทธศาสนาวิกฤต ประเทศชาติวิกฤตไหม เงินสูญไปเพราะการชักชวนกันบวช แล้วบวชแล้วทำอะไร เข้าใจอะไร ในพระไตรปิฎก ไม่มีคำว่าให้พระภิกษุเรี่ยไรเงินสำหรับสร้างวัด ไม่มีเลย ภิกษุไม่รับ และไม่ยินดีในเงิน และทองเพราะสละแล้ว คฤหัสถ์ต่างหากที่มีเงินสำหรับทำกิจต่างๆ ของคฤหัสถ์ แต่พระภิกษุ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระภิกษุทั้งหลายในพระธรรมวินัยอยู่ได้เรื่อยมาโดยไม่รับเงินทอง และไม่ยินดีในเงิน และทอง เพราะว่าถ้ายินดีในเงิน และทองรับ รับแล้วเอาไปทำอะไร ทำกิจเหมือนคฤหัสถ์ ซึ่งนั่นไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    14 ธ.ค. 2567