ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1239
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๓๙
สนทนาธรรม ที่ บัฟฟาโล รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ สิ่งแรกที่น่าสนทนาก็คือว่า ให้เห็นประโยชน์ของแต่ละ ๑ ขณะในชีวิตเพราะว่าชีวิตจริงๆ ก็ประกอบด้วย ๑ ขณะ ถ้าไม่มี ๑ ขณะก็ไม่มีชีวิต แต่ละ ๑ ขณะเปลี่ยนชีวิต เพราะฉะนั้นการที่มีชีวิตอยู่ แล้วก็จะจากโลกนี้ไปวันไหน ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ ขณะไหนเป็นประโยชน์ และมีค่าต่อเมื่อได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ก่อนอื่นพอได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนา และคนไทยก็มีความเคารพอย่างยิ่งใน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการที่พอตื่นทุกคนก็กราบไหว้ บางคนก่อนนอนก็กราบไหว้ แต่ว่ายังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอย่างไร ด้วยเหตุนี้การฟังคำของพระองค์แต่ละคำ จะทำให้รู้จักพระองค์มากขึ้น ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ก็กำลังมีแต่ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงเปิดเผย ความจริงของสิ่งที่มี จากคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง และไม่มีโอกาสเข้าใจ เหมือนอยู่ในที่มืดสนิท หรือว่าอยู่ในความฝันมีทุกอย่าง แต่พอตื่นขึ้นก็ไม่เหลืออะไรเลย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างทุกคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นการที่ใครก็ตามจะเข้าใจ และรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้น ก็ต่อเมื่อฟังแล้วก็ไตร่ตรอง แล้วเข้าใจ สำคัญที่สุดคือเข้าใจ จะฟังมากจะฟังน้อย ไม่ใช่ไปจำชื่ออายตนะ ขันธ์ ธาตุไม่จำเป็นเลย แต่ว่ามีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้นเริ่มต้นว่า เราขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าไม่รู้ความจริงเลย และก็ค่อยๆ ฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจ เมื่อนั้นก็จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิกฤตทั้งหมดของประเทศไทยเวลานี้ ที่เราเห็น ไม่ว่าจะที่ไหนในประเทศไทยทั้งหมด เกิดจากความไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา และก็อ้าง และเข้าใจผิดว่า นั่นคือพระพุทธศาสนา เช่นการสร้างวัดเป็นพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ยินเรื่องการเรี่ยไรสร้างวัด แต่ไม่ได้ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เลย และจุดประสงค์ก็ไม่ใช่เพื่อให้เข้าใจด้วย เพียงแค่สร้างวัด เพราะฉะนั้นก็ไม่ตรงกับจุดประสงค์ ของการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเพื่อให้เราเข้าใจสิ่งที่มี จะมากจะน้อยก็คือว่า จากการไม่รู้เลยว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ก็จะรู้ว่าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี
เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ คน แต่ละ ๑ ขณะ ที่เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น เป็นการดำรงไว้ซึ่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่ออย่างอื่นไม่สามารถที่จะรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย วัดวาอารามก็เป็นอิฐเป็นปูน ในครั้งอดีตก็เป็นที่อยู่ที่อาศัยของพระภิกษุ ผู้สงบ ผู้ขัดเกลากิเลส ผู้ไม่ใช่คฤหัสถ์อีกต่อไป เพราะฉะนั้นพฤติกรรมทางกาย ทางวาจา ชีวิตความเป็นอยู่ทั้งหมด ต้องไม่ใช่อย่างคฤหัสถ์ ยากไหมที่จะละอาคารบ้านเรือน จะไปอยู่ที่ไหน ออกจากบ้านนี่น่ากลัวไหม ใช่ไหม ใใแต่ว่าครั้งโน้น ไม่ใช่ทุกคนฟังธรรมแล้วออกจากบ้าน แต่รู้ว่าการฟังธรรมให้เข้าใจต่างหาก ที่จะทำให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแต่อยากบวช แล้วก็บวชแล้วก็จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จากการฟังคำของพระองค์แล้วเข้าใจ ทำให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคนที่เข้าใจ จะดำรงพระศาสนาต่อๆ ไป แต่ถ้าไม่มีใครเข้าใจเลย วัดวาอารามอิฐหินปูนทราย ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระพุทธศาสนาได้
ด้วยเหตุนี้สำคัญที่สุด ก็คือว่าได้ฟังคำแล้วรู้จริงๆ ว่า ตราบใดที่มีผู้ที่ยังเข้าใจธรรม ตราบนั้นพระศาสนาก็ดำรงอยู่ต่อไป และก็จะสืบทอดไปด้วย แต่ว่าพระศาสนาเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ใครจะคิดว่าสิ่งที่มีแล้วไม่รู้ ลึกซึ้งแค่ไหน เห็นเป็นธรรมดา เห็นแล้วรู้ว่าอะไรก็เป็นธรรมดา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครคิดถึงเลยว่าสิ่งที่ปรากฏเพียงปรากฏ แต่ละคำต้องลึกซึ้งใช่ไหม เพียงปรากฏเวลาที่เห็นมีใครรู้สึกแข็งบ้าง นี่คือถ้าเราไม่คิด เราจะไม่เข้าใจเราจะไปจำคำ อายตนะ ขันธ์ธาตุทำไม ในเมื่อไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ ว่าถ้าเข้าใจแล้วก็คือว่าเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ไตร่ตรอง บางคนเป็นชาวพุทธที่ไม่คิดเลย เขาบอกก็ทำตามที่เขาบอก และเชื่อ เชื่อสนิทเลย แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมีเหตุมีผลหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มี นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะกำลังมีแล้วไม่เข้าใจ กับกำลังมีแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ซึ่งคิดเองไม่ได้เลย แต่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องเริ่มเป็นผู้คิด คือไตร่ตรองเพื่อจะเป็นปัญญาของตนเอง ถ้าฟังแล้วถามว่าอย่างนี้ใช่ไหม คิดรึเปล่า ไตร่ตรองหรือเปล่าเข้าใจหรือเปล่า แทนที่จะถูกไหม ใช่ไหม ที่พูดน่ะจริงรึเปล่า มาจากไหน เข้าใจหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเริ่มคิดทุกคำที่ได้ยิน ง่ายๆ ธรรมดากำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นลองคิด ขณะที่เห็น แข็งปรากฏไหม
ผู้ฟัง ไม่ปรากฎ
ท่านอาจารย์ ไม่ปรากฏแน่นอนใช่ไหม เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น สิ่งที่ไม่ปรากฏ สิ่งนั้นมีจริงๆ หรือเปล่า มีจริงต่อเมื่อปรากฏ เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็น มีสิ่งที่ปรากฏจริง และเห็นก็จริง แต่เวลาที่เห็น แข็งไม่ได้ปรากฏเลย แต่เวลาที่แข็งปรากฏ ขณะนั้นผู้ที่รู้ความจริง และตรงต่อความเป็นจริงว่า ขณะนั้นอย่างอื่นไม่มี เพราะฉะนั้นมี เรารับรองได้ว่า มีเมื่อไหร่ต้องปรากฏ ถ้าไม่ปรากฏจะบอกว่ามีได้ไหม เพราะฉะนั้นเรารู้ว่าแข็งมีเมื่อไหร่ เมื่อกำลังกระทบแข็ง แล้วแข็งปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นเวลาแข็งไม่ปรากฏ ถ้ามีปัจจัยที่จะให้เกิดแข็ง แข็งก็ต้องเกิดแล้วก็ดับแต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นการเกิดดับของสภาพธรรมเร็วมาก นี่เริ่มจากการเห็นพระปัญญาคุณ ว่าทรงตรัสรู้ความจริงทุกคำซึ่งต้องไตร่ตรอง ฟัง ๑๐ ปี ฟัง ๒๐ ปี รู้จักคำว่าขันธ์ รู้จักคำว่าอายตนะ รู้จักคำว่าปัจจัย แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะมีประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้นจุดประสงค์จริงๆ เพื่อให้คุ้นเคยให้รู้จัก และเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เริ่มฟัง ขณะนี้ทุกคนเห็นใช่ไหม ใครทำให้เห็นเกิดมีใครสักคนไหม ไม่มีทางเลยที่จะทำได้ นี่เริ่มเห็นความน่าอัศจรรย์ ที่ใครก็ทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นไม่ได้เลย ต้องไม่ลืม ทุกคำที่ฟังต้องมั่นคง ไม่มีใครสักคนที่สามารถจะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้ เห็นแล้วทุกคนเห็นแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิด ได้ยินก็เกิดแล้วไม่มีใครไปทำให้ได้ยินเกิด คิดก็เกิดแล้วไม่มีใครไปทำให้คิดเกิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่มี ไม่มีใครไปทำให้เกิดเลย แต่เมื่อมีปัจจัยที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิด ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เช่นเดี๋ยวนี้เห็นแล้ว ไม่มีใครยับยั้งให้เห็น อย่าให้เกิดใช่ไหม เพราะเหตุว่ามีตา ถ้าไม่มีตาก็เห็นไม่ได้แน่นอน ไม่มีเห็น แล้วก็มีสิ่งที่กำลังกระทบตา แล้วปรากฏด้วยสิ่งนี้แหละ ที่ปรากฏต้องกระทบตา ถ้าไม่กระทบตา อยู่ข้างหลังไม่ปรากฏเลย อยู่นอกห้องก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นแม้แต่ชีวิต ๑ ขณะซึ่งเป็นความจริง มีจริงๆ ทุกชาติตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยรู้เลย ว่าแท้ที่จริงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เกิดโดยไม่มีใครทำให้เกิด ตราบใดที่มีปัจจัยก็ยังต้องเกิด ห้ามไม่ให้ขณะต่อไปเกิดไม่ได้เลย ต้องมีปัจจัยให้เกิด จนกว่าจะถึงขณะที่เกิดอีกต่อไปไม่ได้ หมดปัจจัยที่จะทำให้เกิด เกิด คือจากโลกนี้ไป
แต่ก็ถ้าไม่รู้ความจริงว่าถึงจากไปแล้ว ทันทีที่จิตขณะสุดท้ายเกิดขึ้น และดับไป ก็มีจิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เหมือนเมื่อกี้นี้กับเดี๋ยวนี้ แต่ว่าไม่ใช่เราอีกต่อไป เพราะฉะนั้นจะเป็นเราได้เท่าที่ กรรมทำให้เราสามารถ ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป จนถึงขณะสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยน พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นคนนี้จะไม่มีอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ ใครคิดว่าตายแล้วจะมีคนนี้อีกไหม ไม่มีเลย แต่มีคนใหม่เหมือนชาติก่อน เรามาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ก็มีคนนี้เกิดขึ้น และเป็นอย่างนี้ แต่ก็จะเป็นคนนี้อยู่ได้เพียงชาติเดียว เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ก็คือว่าให้เข้าใจมากกว่านี้อีก เราคิดว่ามีเราชาตินี้ แต่ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ใช่เรา สิ่งที่มี มีแต่ไม่ใช่เรา และสิ่งนั้นก็ไม่ได้อยู่อำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นคำใดที่ตรัสแล้วคำนั้นใครก็เปลี่ยนไม่ได้ แล้วก็ตลอดชีวิตของแต่ละคน ที่เกิดมาหลากหลายมาก ตามการสะสมเป็นแต่ละ ๑ ซ้ำกันไหม นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน คิดคนละอย่าง ใช่ไหม บางคนก็หัวเราะ บางคนก็โกรธบางคนก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นบังคับได้ไหมว่า ให้เป็นอย่างนั้น เกิดแล้วทั้งนั้นเป็นอย่างนั้นแล้วทั้งนั้น แต่ไม่เคยรู้ว่าไม่มีใครไปทำเลย
เพราะฉะนั้นทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริงใช้คำว่าธรรม มีจริงแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ ได้ยินคำอื่นต่อไปอีกก็รู้ว่าทั้งหมดไม่พ้นจากธรรม และเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นบางคนฟังแล้วลืม พออ่านพระสูตรเป็นคนนั้นคนนี้ แต่ว่าคนนั้นคนนี้ก็เป็นธรรม คนก็ต้องเห็น ก็ต้องได้ยินเหมือนเดี๋ยวนี้เลย ก็ต้องคิด ก็ต้องสุข ก็ต้องทุกข์ แต่ว่าเป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ถ้าเป็นเรื่องราวในครั้งพุทธกาล ก็เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว ๒,๕๐๐ กว่าปี แล้วคิดหรือว่าขณะนี้จะไม่เป็นเมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีอีกข้างหน้า อีกข้างหน้าเดี๋ยวนี้ก็คือ ๒,๐๐๐ กว่าปีเหมือนเดิม แต่ว่าความรู้ความเข้าใจมีไหม ตราบใดที่ยังไม่ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะหลงผิดเข้าใจว่ามีเรา ทั้งๆ ที่เป็นธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดแล้วดับไปทันที เร็วเกินกว่าที่ใครจะคิดถึง ดับแล้วคิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏใหม่ ดับแล้วคิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏใหม่จำเมื่อวานนี้ได้ไหม เมื่อวานนี้มีแน่ๆ หมดแล้ว แค่จำก็ไม่หวาดไม่ไหว แต่ถ้าคิดถึง ๑ ขณะ ๑ ขณะ ๑ ขณะ กว่าจะเป็นเมื่อวานนี้ทั้งวัน จะมากสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่พ้นจากเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง เป็นอย่างนี้ ช้ำไปซ้ำมา ซ้ำมาซ้ำไป ไม่เกินกว่าเห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก แล้วเราเมื่อวานอยู่ไหน เพราะฉะนั้นกำลังฟังเดี๋ยวนี้วันนี้ มีเห็น มีได้ยิน มีกลิ่น มีรส มีคิดนึก พรุ่งนี้ เราวันนี้อยู่ไหน หรือแม้แต่เมื่อกี้นี้ตอนเช้า เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ เราที่กำลังรับประทานอาหารมื้อเช้านี้อยู่ไหน เพราะฉะนั้นจะไม่เหลือเลย สัก ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้น และเป็นไป ยากที่ใครจะรู้ได้ หยุดยังไม่ได้เลย เร็วสุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ จนกระทั่งรอบรู้มั่นคง ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เราแม้มีจริง ก็เพียงแค่มีชั่วคราว เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นการฟังธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ไปหนักใจว่าเราจำชื่อไม่ได้ เราไม่เข้าใจชื่อ แต่ว่าทุกคำเข้าใจในภาษาของตน เมื่อเข้าใจแล้วเราก็ใช้คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสให้เข้าใจว่าเป็นคำที่พระองค์ตรัสไว้แล้วอีกภาษาหนึ่ง เพราะฉะนั้นขณะนี้ ถ้าเราจะพูดภาษาอื่น ภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวมคธพูด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในภาษานั้นกับคนที่เข้าใจภาษานั้น ก็เหมือนกับเราทุกอย่าง แปลออกมาแล้วก็ตรงกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นภาษาก็เป็นเพียงสิ่งซึ่ง เป็นเสียงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในแต่ละภาษา แต่ที่สำคัญที่สุดเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ไม่ว่าในภาษาใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ เราฟังเพื่อเราจะได้ไม่ลืมว่า ที่ชีวิตที่เราว่าสำคัญก็อยู่เพียงแค่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสคิดนึก แล้วก็เพราะไม่รู้ก็นำมาซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเพราะไม่รู้ จนกว่าจะรู้
อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ การที่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละขณะนี้จะเป็นประโยชน์อย่างไร
ท่านอาจารย์ ไม่รู้กับรู้ แค่นี้คิดออกไหม ว่าอะไรมีประโยชน์
อ.กุลวิไล รู้ต้องเป็นประโยชน์แน่
ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้อย่างไร นั่งอยู่อย่างนี้ มีสิ่งที่มีจริงรอบตัวหมดเลย แล้วจะรู้ได้ยังไง
อ.กุลวิไล การฟังพระธรรม ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า ไม่ใช่แค่ฟังอย่างเดียว ต้องคิดแล้วก็ไตร่ตรองด้วย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟัง เป็นคำของผู้ที่บำเพ็ญบารมีที่จะรู้ความจริง และเมื่อตรัสรู้แล้วตรัสคำจริงนั้นให้คนอื่นค่อยๆ เข้าใจ เพราะว่ากว่าพระองค์จะตรัสรู้ก็นานมาก เพราะฉะนั้นความจริงที่กำลังมีขณะนี้รู้ยาก เพราะฉะนั้นเมื่อค่อยๆ เข้าใจแล้วเปลี่ยนไม่ได้ แต่รู้ว่าจากการที่เพียงฟังเข้าใจ จะค่อยๆ ถึงกับประจักษ์แจ้งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ แต่ต้องมั่นคง เช่นเห็นก่อนเห็นไม่มีเห็น ใครไปทำให้เห็นเกิดไม่มีแต่เห็นเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ไปทำให้เกิดขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ผิด เพราะว่าหลายคนเข้าใจว่า สำนักปฏิบัติไปปฏิบัติ แล้วปัญญาก็จะเกิด แล้วปัญญารู้อะไร ในเมื่อกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ปัญญารู้อะไร ปัญญาเป็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่มี ไปสำนักปฏิบัติเพื่อรู้อะไร ถ้าจะรู้เห็นจะรู้ได้อย่างไร ในเมื่อเห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร นี่ก็ต้องเป็นเหตุเป็นผลแล้ว คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เมื่อฟังแล้วต้องไตร่ตรองว่าขณะนี้ ทรงแสดงความจริงให้ทุกคนประจักษ์ หมายความว่าเมื่อเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น เห็นเดี๋ยวนี้สามารถปรากฏการเกิดดับ ตรงกับคำที่ว่าไม่มีใครไปทำ
เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาล คนที่ฟังพระธรรมก็มากมาย แต่ใจของแต่ละคนก็ต่างกันตามการสะสม บางคนฟังแล้วคิดเรื่องอื่นห้ามได้ไหม ไม่ได้ แต่ให้รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าที่คิดเรื่องอื่นก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปห้าม ก็อีกนานเท่าไหร่ เพราะว่าแม้แต่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ชัดเจนกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา อีกนานเท่าไหร่ แต่ว่าต้องเริ่มจากว่า ปัญญาเข้าใจสิ่งที่มี กำลังมีด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ ได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ ก็กำลังพูดถึงสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นคนนั้นเป็นผู้ที่ตรง เข้าใจสิ่งที่มีแค่ไหน ขณะนี้สิ่งที่มีเกิดแล้วก็ดับตลอดเวลา ใช้คำตลอดเวลา เพราะว่าเป็นแต่ละ ๑ ขณะ
อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะว่าท่านอาจารย์ ให้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ถ้าหากเปรียบเทียบกับที่ว่า จะต้องไปทำด้วยความเป็นเรา เขาก็ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีสิ
ท่านอาจารย์ ก็หลงทางไปเลย เข้าใจว่าชีวิตดำรงอยู่ เพียงแค่ ๑ ขณะเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ ก็เป็นชีวิตที่เราเข้าใจว่าเป็นเรา แต่ถ้าไม่มีขณะนี้จะมีเราไหมก็ไม่มี เพราะฉะนั้นขณะที่เห็นมีจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรมากเลย นอกจากเข้าใจมั่นคงขึ้นว่าเราไม่ได้ทำเห็นให้เกิดขึ้น และเห็นก็ดับไปด้วย ขณะที่ได้ยินไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมด กล่าวถึงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สืบต่อกันไม่ขาดสายเลย เพื่อให้รู้แน่ว่าจริงๆ แล้วไม่มีเราแต่มีธรรม พอที่จะมั่นคงไหมว่าเป็นธรรม ฟังธรรมเดี๋ยวนี้มีธรรมไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ แข็งก็เป็นธรรม เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม จำก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้เป็นธรรม นี่คือถ้าฟังแล้วสามารถเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เป็นการเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ความไม่มีเรา ขณะที่ได้ยินมีแข็งไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี ขณะที่แข็งปรากฏ มีเห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ก็ต้องมั่นคงอย่างนี้อีก ๑ ขณะจริงๆ แล้วมารวมกันสืบต่อกันก็ได้เป็นเราเกิด จนกระทั่งแต่ละวันจนถึงเราตาย แต่ความจริงก็เป็นธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย ไม่ยากใช่ไหม แต่ต้องรู้จริงเท่านี้ยังไม่พอ เพราะขณะนี้ที่กำลังเห็น ก็ไม่ได้รู้การเห็นเกิดดับ แต่เมื่อเข้าใจขึ้น วันหนึ่งผู้ที่ฟังไม่มีใครรู้ว่าใครจะได้เป็นพระอริยสาวก ไม่บอกล่วงหน้าเลย แต่ว่าตนเองเป็นผู้ที่ตรงเข้าใจรึเปล่า ถ้าไม่เข้าใจเลย ไม่มีทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แล้วก็ไม่ต้องหวัง แล้วก็ไม่ต้องคอยด้วย เพราะใครจะรู้ว่าต่อไปจะเห็นหรือจะคิด เมื่อต่อไปจะเห็นหรือว่าจะคิดก็ไม่รู้ ต่อไปจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม เมื่อมีเหตุที่จะให้ประจักษ์แจ้ง ก็ต้องประจักษ์แจ้งยับยั้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจมั่นคงในคำว่าอนัตตา เพราะฉะนั้นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหลายทั้งหมดไม่เว้นเลย เป็นอนัตตาไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ประโยคนี้จะนำไปสู่การเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ถ้าไม่มั่นคงในประโยคนี้ก็เป็นเรา และก็เที่ยงไม่มีการเกิดดับ แต่ธรรมไม่ใช่เราเป็นแต่ละ ๑ ซึ่งมีจริงๆ และก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครไปทำให้เกิดดับ เพราะฉะนั้นสามารถที่จะประจักษ์ความจริง เมื่อค่อยๆ รู้ และละคลายความเป็นเราโดยไม่หวัง หวังอย่างไร ขอยังไง ถ้าเหตุไม่สมควรก็เป็นไปไม่ได้ ไม่รู้เลยแล้วก็หวัง ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ รู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสได้ไหม ไปสำนักนั้นสำนักนี้คิดว่าจะรู้ได้หรือ
อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะว่าถ้าเข้าใจสิ่งที่กำลังมี อันนั้นก็เป็นการเริ่มต้น ในความที่จะรู้ถึงความไม่ใช่เรา ซึ่งจะเห็นได้ว่านั้นก็คือปัญญา แต่ถ้าจะไปทำอย่างที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างว่าจะไปทำ จะเห็นได้ว่าเป็นเราหรือเปล่า ที่จะไปทำ ก็ไปปิดบังความจริงของสิ่งที่กำลังมี
ท่านอาจารย์ แล้วธรรมไม่ต้องรีบร้อนไปไกล แต่ว่าต้องเป็นความเข้าใจ เวลาบอกว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าเขาถามว่าธรรมอะไร ถ้าตอบไม่ได้พูดคำนี้ได้หรือ พูดไปทำไม พูดแล้วคนพูดก็ไม่รู้ คนฟังจะรู้ได้ยังไง เพราะแม้แต่ประโยคว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พูดแล้วต้องเข้าใจจริงๆ ตอบได้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นธรรมคืออะไรก่อน เห็นไหม จะพูดคำนี้ก็ต้องเข้าใจคำนี้ ธรรมคืออะไร ทบทวนกันไปเรื่อยๆ เพราะกำลังมีแล้วก็ลืม แล้วก็คิดเรื่องอื่น แต่พูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ธรรมคืออะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1201
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1202
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1203
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1204
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1205
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1206
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1207
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1208
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1209
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1210
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1211
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1212
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1213
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1214
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1215
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1216
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1217
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1218
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1219
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1220
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1221
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1222
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1223
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1224
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1225
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1226
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1227
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1228
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1229
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1230
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1231
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1232
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1233
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1234
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1235
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1236
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1237
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1238
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1239
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1240
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1241
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1242
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1243
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1244
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1245
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1246
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1247
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1248
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1249
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1250
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1251
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1252
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1253
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1254
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1255
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1256
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1257
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1258
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1259
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1260