ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1240
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๔๐
สนทนาธรรม ที่ บัฟฟาโล รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ท่านอาจารย์ ทบทวนกันไปเรื่อยๆ เพราะกำลังมี แล้วก็ลืมแล้วก็คิดเรื่องอื่น แต่พูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ธรรมคืออะไร
ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม
ผู้ฟัง เสียงเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ตอบได้เร็วขึ้นเลย ชัดเจนด้วยใช่ไหม แล้วก็ใครไปทำให้เสียงเกิดหรือเปล่า เสียงที่เกิดแล้วดับไหม
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ ไปหาที่ไหนเจอไหม
ผู้ฟัง ไม่เจอ
ท่านอาจารย์ ไม่มีอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ คิดดู แค่มีชั่วขณะที่แสนสั้นแล้วหมดไป เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกใครเขาว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายความว่าเราเข้าใจ เพราะฉะนั้นเขาอาจจะถามว่า แล้วอะไรเป็นธรรม ยังไม่รู้จักธรรมเลย เราก็บอกเขาว่าสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้แหละ ใช่ไหม แล้วเขาถามว่าอะไรล่ะ ก็บอกได้ว่าอะไรจริง เสียงจริงไหม เห็นจริงไหม นี่แหละคือธรรมทั้งหมด เป็นอนัตตาเพราะว่าเกิดแล้วปรากฏแล้ว โดยที่ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น ก็มั่นคงอย่างนี้ ฟังต่อไปภาษาไหนก็ได้ ฟังภาษาไทยก่อนแล้วค่อยๆ เข้าใจว่าภาษาบาลีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคืออะไร ภาษาไทยเราพูดว่าเห็น แล้วพูดว่าตา ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถามว่าตากับเห็น เป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า
ผู้ฟัง ตาก็เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้องแล้วใช่ไหม นี่คือบันไดที่จะเข้าไปสู่ ความเข้าใจความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรม เพราะว่าถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่ไปสู่ความเห็นผิด คุณปัญญาทำให้ตาเกิดได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ โกรธมีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นเสียงหรือเปล่า
ผู้ฟัง โกรธไม่ได้เป็นเสียง
ท่านอาจารย์ ประโยชน์จริงๆ ความหวังดีก็คือ ขอให้มีความเข้าใจจริงๆ เท่านี้พอ ไม่ว่าเราจะพูดธรรมที่ไหน เมื่อไหร่ เราไม่พูดให้เขาฟังคำเยอะแยะ ปฏิจจสมุปาทอะไรไม่ต้องพูด แค่ธรรมดาธรรมดาที่เป็นธรรม นี่ไม่ใช่จำแต่เข้าใจ เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ คนก็สามารถที่จะรู้ว่าเข้าใจจริงๆ ระดับไหน ถ้าไม่มีการสนทนากันไม่มีทางเลย คุณปัญญาพูดได้ทุกอย่าง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ถ้าสนทนากันจะรู้ได้เลยว่าที่คุณปัญญาพูด ความเข้าใจมั่นคงระดับไหน ประโยคนี้จำได้แต่ยังไม่พอ ทุกคำที่ได้ฟังจำได้แต่ยังไม่พอ เพราะฉะนั้นจำได้แล้วต้องเข้าใจด้วย และความเข้าใจก็ยังไม่พอ จนกว่าจะถึงการประจักษ์แจ้งความจริง เมื่อนั้นมั่นคงว่าผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพราะว่าทุกคำที่เราได้ฟัง และมาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ คิด เห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ คิดเป็นเสียงหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เสียงที่กระทบหู แต่ละเอียดกว่านั้นคือ เป็นความจำเสียงใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แต่ละคำ นี่คือธรรมค่อยๆ ลึก ค่อยๆ ชัดเจนในความไม่ใช่เรา ฟังไปกี่ชาติไม่สำคัญเลย แต่ว่าเข้าใจขึ้นแค่ไหนก็เป็นผู้ตรงด้วย เวลานี้ที่ไม่มีเสียงเลย มีเห็น แล้วมีคิดไหม
ผู้ฟัง คิด
ท่านอาจารย์ เห็นไม่ใช่คิด
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ แต่เห็นแล้วคิด
ผู้ฟัง เห็นแล้วคิด
ท่านอาจารย์ เห็นแล้วคิดถึงอะไร
ผู้ฟัง เห็นอาจารย์
ท่านอาจารย์ คิดถึงสิ่งที่เห็น ใช่ไหมทันทีเลย เห็นแล้วจะคิดถึงสิ่งอื่นไม่ได้ ต้องคิดถึงสิ่งที่เห็นก่อน ไม่เช่นนั้นจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร เพราะว่าขณะที่กำลังรู้รูปร่าง แต่ละคนนี่ คิ้ว ตา จมูก ปาก เสื้อ ดอกไม้ แต่ละ ๑ พวกนี้ถ้าไม่คิดก็แค่เห็น เพียงแค่เห็นจะไม่รู้ว่าเห็นอะไร แต่เห็นแล้วเร็วมาก เราไม่รู้เลยว่าเราไม่ได้คิดเป็นคำ แต่คิดเป็นสัณฐานรูปร่างลักษณะที่รวมกันของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นต่างกันโดยสี ทำให้มีรูปร่างสัณฐานต่างกัน เราไปทำหรือว่านี่เป็นธรรม
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตาหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ สีสันวรรณะรู้อะไรหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เสียงรู้อะไรหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ คิดรู้อะไรรึเปล่า
ผู้ฟัง คิดรู้
ท่านอาจารย์ คิดคือรู้ รู้เรื่องที่คิดแล้วแต่ว่าจะคิดถึงอะไร ถ้าไม่คิดเป็นคำก็คิดเป็นสีสันวรรณะต่างๆ ถูกต้องไหม เมื่อวานนี้รับประทานอะไร
ผู้ฟัง ข้าว
ท่านอาจารย์ จำได้ใช่ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ จำเป็นธรรม บังคับไม่ให้จำได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจำ เป็นเห็นหรือเปล่า
ผู้ฟัง เห็นแล้วจำ
ท่านอาจารย์ จำกับเห็นไม่ใช่อย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ ละเอียดมาก แม้กำลังจำก็ไม่ใช่เรา เป็นสภาพที่จำ เคยลืมไหม
ผู้ฟัง ลืม
ท่านอาจารย์ ลืมเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นมีจำหรือเปล่า
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นธรรมทั้งหมดใช่ไหม แค่ประโยคเดียว แต่กว่าประโยคนี้จะเป็นความจริงทั้งหมดในชีวิต
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ จิตตตชรูป กัมมชรูป
ท่านอาจารย์ ธรรมไม่ใช่ว่าพอเปิดพระไตรปิฏก พบคำอะไร อยากเข้าใจคำนั้น ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ว่าความเข้าใจจะเข้าใจจริงๆ ต่อเมื่อตามลำดับ เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ได้ยินคำว่ารูป ภาษาบาลีเป็นรูปะ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่คืออะไรก่อน เพราะฉะนั้นทุกคำต้องตั้งต้นว่าคืออะไร
ผู้ฟัง รูปคือสิ่งที่ไม่รู้อะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีรูปไหม
ผู้ฟัง มี ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ รูปใดไม่ปรากฏ รูปนั้นมีไหม
ผู้ฟัง ก็มีแต่ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรูปใดที่ไม่ปรากฏ มีปัจจัยที่จะให้รูปนั้นเกิด รูปนั้นต้องเกิด แต่ไม่ปรากฏ แต่รูปที่เกิดแล้วดับทันที เพราะฉะนั้นที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ที่เป็นรูปให้รู้ว่ารูปนี้แหละก็เหมือนรูปอื่นๆ ที่กำลังเกิดดับ แต่รูปอื่นที่มีปัจจัยเกิดดับไม่ปรากฏ แต่รูปนี้ที่กำลังเกิดดับปรากฏ เพียง ๑ ที่เป็นเหมือนรูปทั่วๆ ไป คือกำลังเกิดดับเป็นปกติ ทุกคนมีตา ตาเกิดขึ้น ตาดับไหม
ผู้ฟัง ตาก็ต้องดับ
ท่านอาจารย์ กำลังดับอยู่หรือเปล่า
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ กำลังเกิดอยู่หรือเปล่า
ผู้ฟัง เกิด
ท่านอาจารย์ เห็นไหม กำลังเกิดดับแต่ว่าไม่รู้ ทั้งๆ ที่ตามีเดี๋ยวนี้ ปรากฏว่ามีด้วย แต่ว่าถ้าปรากฏว่ามีนี่ ต่อเมื่อเพียงฟัง เห็นไหมความลึกซึ้งก็คือว่า แล้วตาจริงๆ ที่เป็นรูป ปรากฏหรือเปล่า เราไม่ต้องไปถึงไหนเลย ค่อยๆ เข้าใจทีละคำ แม้แต่คำว่ารูป ตาเป็นรูปธรรม ตาไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้ก็มีตา แต่ตาปรากฏหรือเปล่า
ผู้ฟัง ตาปรากฏแต่ไม่รู้
ท่านอาจารย์ อะไรกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตา
ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่ตา ตาปรากฏให้เห็นได้ไหม
ผู้ฟัง ตาปรากฏให้เห็นไม่ได้
ท่านอาจารย์ นี่คือสิ่งที่เห็น ก็คือสิ่งที่สามารถกระทบตา เป็นสีสันวรรณะต่างๆ เท่านั้น แข็งกระทบตาไม่ได้ เสียงกระทบตาไม่ได้ อะไรอะไรก็กระทบตาไม่ได้ มีอย่างเดียวที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น ที่กระทบตาได้ เพราะฉะนั้นนี่เข้าใจแล้วก็ไม่ลืม หมายความว่ารูปมีเยอะ แต่รูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน มีเพียง ๗ รูป นี่ต้องเข้าใจก่อน รูปมีมากกว่านี้เช่น ตาก็มี หูก็มี แต่ไม่ปรากฏ ที่ปรากฏจริงในชีวิตประจำวันมี ๗ ๑ รูปทางตา กำลังปรากฏไม่ต้องเรียกอะไรก็ได้ใช่ไหม มีจริงใช่ไหมก็เป็นธรรมที่ไม่รู้อะไร แต่ถูกรู้ถูกเห็นเป็นรูปหนึ่ง รูปนี้อยู่ไหน
ผู้ฟัง ดับไปแล้ว
ท่านอาจารย์ แต่เวลาที่มีปรากฏ ไหนรูปนั้นปรากฏ หรืออยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง เห็นถึงจะปรากฏแต่รูปนี้
ท่านอาจารย์ เข้าใจแค่นี้ใช่ไหม เห็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นดอกไม้
ท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้ จากดอกไม้ อะไรปรากฏ
ผู้ฟัง แข็ง
ท่านอาจารย์ หลับตา จับดอกไม้อะไรปรากฏ
ผู้ฟัง ก็คือหลับตาก็คือแข็ง
ท่านอาจารย์ ลืมตา ลืมตาอะไรปรากฏ
ผู้ฟัง ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ดอกไม้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สีสันวรรณะที่ดอกไม้ ที่แข็งปรากฏแต่สภาพแข็งไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นทั้งหมด ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งไม่ใช่เรา กว่าจะขณะนี้ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ต้องห่วง
ท่านที่ได้ฟังคำที่พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์สุเมธดาบสว่าอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามพระสมณโคดม คนที่ได้ฟังปลาบปลื้มดีใจ ว่ากว่าท่านจะได้รู้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นตัวเขาจะได้ฟังคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้ เห็นไหมยาวนานเท่าไหร่ รู้ว่าเป็นความจริง ถ้าไม่มีการประจักษ์จริงๆ ยังรวมกันจริงๆ ก็ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่เพียง ๑ ที่ปกติรวมกัน ต้องแยกออก จึงจะไม่รวมกัน จึงจะไม่เป็นสิ่งนั้นอีกต่อไป ถ้าแยกดอกไม้ ออกเป็นกลีบๆ และยังกลีบเล็กๆ ฉีกให้ละเอียดยิบก็ไม่มีดอกไม้เลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ ที่เข้าใจว่าเป็นตึกรามบ้านช่องเป็นช้อนเป็นคนเป็นอะไรทั้งหมด เป็นรูปที่เกิดดับมีอากาศธาตุแทรกคั่น จึงสามารถที่จะแตกย่อยได้ ถ้าไม่มีอากาศธาตุแทรกคั่น ไม่มีความว่างเปล่าแทรกคั่นก็แยกไม่ได้ แล้วนี่หรือเป็นเรา แต่พอไม่เข้าใจอย่างนี้ นี่ตัวเราแต่ตัวเราตรงไหนล่ะ แข็งเกิดแล้วดับแล้ว ทั้งหมดพิสูจน์ได้
เพราะรูปที่ปรากฏจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ต้องไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน สิ่งที่ปรากฏทางตา ๑ เสียง๑ กลิ่น ๑ รสต่างๆ ๑ และที่กายก็กระทบเย็นบ้าง ร้อนบ้างอ่อนบ้าง แข็งบ้าง ตึงไหวบ้าง เพราะฉะนั้นเป็น ๗ รูป คือทางตา ๑ รูปกำลังเห็น รูปที่ปรากฏทางหู ๑ รูปกำลังได้ยินเสียง ถ้ามีกลิ่นปรากฏ ก็ได้กลิ่นอีก ๑ รูป เป็น ๓ ถ้ากำลังลิ้มรส รสก็ปรากฏ รสอะไรก็ไม่ว่าแต่ปรากฏเป็นรส ก็เป็น ๔ ทางกาย เย็นร้อนไม่ใช่อ่อนแข็ง เพราะฉะนั้นเย็นร้อน ๑ รูปเป็นเตโชธาตุ แล้วก็อ่อนหรือแข็ง ๑ รูป เป็นปฐวีธาตุ แล้วก็ตึงไหว ๑ รูปเป็นวาโยธาตุ แต่ถ้าที่เกาะกุมรูปทั้ง ๔ ให้รวมกันไม่แยกจากกัน ก็คืออาโปธาตุ ไม่สามารถกระทบสัมผัสได้เลย เพราะฉะนั้นที่ปรากฏในชีวิตประจำวันจริงๆ แม้รูปอื่นมีแต่ก็ไม่ปรากฏ ปรากฏเพียง ๗ รูป ตอนนี้ก็จะนับก็ได้ไม่นับก็ได้ จะจำก็ได้ไม่จำก็ได้ แต่เข้าใจว่าเป็นรูปธรรม พอเข้าใจจริงๆ แล้วครบ ๗ รูป ไม่ต้องไปท่องไว้ก่อน แต่ว่าเมื่อมีสิ่งใดปรากฏ ก็รู้ในความเป็นจริงนั้น เพื่อเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา จุดประสงค์จริงๆ ของการฟังธรรม เพื่อรู้ความจริงว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นขณะนี้กว่าจะเข้าใจแต่ละรูป ต้องเข้าใจรูปที่ปรากฏ จึงจะเห็นการเกิดขึ้น และดับไป
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ที่กล่าวถึงจิตตชรูป
ท่านอาจารย์ เมื่อกี้เป็นรูปอะไร
ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมด นี้ก็คือเป็นมหาภูติ
ท่านอาจารย์ แล้วก็เป็นรูปอะไร เกิดจากอะไร
ผู้ฟัง รูปก็จะมีสมุฏฐานที่เกิดคือเกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากอุตุ แล้วก็เกิดจากอาหารอีกอย่าง ๔ อย่าง
ท่านอาจารย์ อันนี้ไปจำไว้ก็ไม่เป็นไร จำแต่ต้องเข้าใจด้วย เพราะเหตุว่าต้องเข้าใจว่า ทุกอย่างที่เกิดเกิดเองไม่ได้ ใช่ไหม แม้แต่รูปซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ แต่ละ ๑ รูปซึ่งเกิดดับ รูปนั้นเกิดจากสมุฏฐาน คือธรรมที่ก่อตั้งให้รูปนั้นเกิดได้คืออะไร เพราะฉะนั้นรูปที่เกิดจากกรรมอาหารทำให้เกิดรูปนั้นไม่ได้ อุตุความเย็นความร้อนทำให้เกิดรูปนั้นไม่ได้ จิตก็ทำให้เกิดรูปนั้นไม่ได้ เฉพาะกรรมที่ได้กระทำแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นทีละ ๑ จะชัดเจน แล้วก็มั่นคงด้วย ขณะนี้มีตาแน่ๆ แต่ก็ไม่มีใครไปทำให้ตาเกิดขึ้น แต่รู้ว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดตา เป็นรูปพิเศษมีเฉพาะที่เดียวที่กลางตา ไม่ใช่ตาดำตาขาวข้างซ้ายข้างขวา แต่ตรงกลางตาซึ่งมองไม่เห็น มีอยู่รูปที่สามารถกระทบ กับสิ่งที่กำลังปรากฏ กว่าจะรู้ความจริงว่าเห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นกระทบกับตา เพราะฉะนั้นเรายังไม่พูดถึงว่า รูปที่ระทบตาเกิดจากอะไร แต่เอาตาก่อน
เด็กบางคนเกิดมาตาบอดตั้งแต่เกิด บางคนก็อยู่มานาน ตาถึงบอดใช่ไหม อาจจะประสบอุบัติเหตุอะไรก็ได้ แต่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครไปทำให้ตาเกิดได้ แต่กรรมที่ได้กระทำแล้วในสังสารวัฎฏ์ เป็นปัจจัยให้เกิดตา ตานี่เหมือนกันไหม บางคนตาดำเป็นสีน้ำตาล บางคนตาดำเป็นสีฟ้า บางคนตาดำก็เป็นสีเทา ต่างกรรมที่ได้กระทำแล้ว พ่อแม่มีลูก ตาอาจจะคนละสีก็ได้ ไม่สามารถจะทำให้ตาของใคร เป็นอย่างไรเลย แต่ว่ากรรมนั้นได้เกิดทำให้เป็นอย่างนั้น ตัวจักขุปสาทรูป มองไม่เห็น แต่ที่จักขุประสาทรูป อยู่หรือเกิดขึ้น ต้องมีรูปรวมกัน สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น จะไม่มีเพียง ๑ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด อย่างเสียง เราคิดว่าเราได้ยินแต่เสียง แต่หารู้ไม่ว่าเสียงนั้นต้องมีรูปอื่นที่รวมอยู่ เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน แต่เมื่อกระทบหู เพียงรูปเดียวปรากฏคือเสียง เพราะฉะนั้นแต่ละรูปแต่ละรูป จะต้องมีรูปที่เกิดรวมกัน หลากหลายเป็น ๘ รูป อย่างน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นที่ตาก็ต้องมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุดินคืออ่อนหรือแข็งธาตุไฟเย็นร้อน ธาตุลมตึงหรือไหว ธาตุน้ำก็เกาะกุมยังไม่พอ ยังมีสิ่งที่สามารถกระทบตาอีก ๑ รูปสีสันวรรณะต่างๆ และก็ยังมีกลิ่นเวลาที่กระทบจมูก เราบอกได้กลิ่นกุ้ง กลิ่นปลา หรือว่ากลิ่นดอกไม้ ต้องมีธาตุที่แข็งเย็นร้อนอ่อนแข็ง มหาภูติรูป ๔ แล้วก็มีรูปนี้รวมอยู่ด้วย แล้วก็มีสีสันวรรณะรวมอยู่ด้วย แต่สีกระทบตา และก็กลิ่นกระทบจมูก และก็รสกระทบลิ้น เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุด ๘ รูป คือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ๔ สีกระทบตา สิ่งที่กำลังกระทบตาขณะนี้ และก็อะไรต่อไป กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น และเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งกระทบกายประสาท ทั้งหมด ตาไม่ใช่แข็งไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุดินเป็นธาตุดิน แต่ตาเป็นรูปที่เกิดโดยอาศัยเกิดกับธาตุดิน แต่ว่าสามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นรูปใดๆ ก็ตามที่มีลักษณะพิเศษ จากเย็นร้อนอ่อนแข็ง สามารถกระทบทำให้เกิดจิตได้ ใช้คำว่าปสาทรูป แข็งเท่านั้นกระทบแข็งได้ไหม
ผู้ฟัง ก็กระทบได้แต่ว่าไม่รู้ ไม่มีจิตเกิด
ท่านอาจารย์ ก็กระทบไป แต่ไม่รู้อะไร ไม่มีสภาพรู้เกิดขึ้นใช่ไหม ดอกไม้ก็วางอยู่บนโต๊ะ ก็วางอยู่ตั้งนาน โต๊ะก็ไม่รู้อะไร ไม่รู้มีดอกไม้อยู่ และดอกไม้ก็ไม่รู้ว่ากระทบโต๊ะก็อยู่ไป แต่ว่าเมื่อมีกายปสาทที่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว กระทบแข็งจึงมีสภาพที่กำลังรู้แข็งที่กระทบ เพราะฉะนั้นแต่ละอย่าง นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่ได้ฟังให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น วันเดียวเข้าใจไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าฟังต่อไปหรือว่าสามารถจะเข้าใจขึ้นอีกได้ เข้าใจขึ้นเมื่อไรก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ ละคลายความเป็นเรา ซึ่งเข้าใจผิดเป็นเหตุให้มีการกระทำที่เป็นไปด้วย กำลังของกิเลสมากมาย เพราะฉะนั้นก็จะค่อยๆ รู้ความจริงขึ้น แล้วก็จะค่อยๆ ละความเป็นเรา ความไม่ดีที่เกิดจากความไม่รู้ทั้งหลาย ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องละเอียด เพราะเป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละอย่างต้องฟังนาน แต่เริ่มเข้าใจว่าที่ตัวนี้มีรูปพิเศษ ๕ รูป ซึ่งสามารถกระทบกับรูปภายนอกใช่ไหม อย่างเห็นขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตากระทบตาไม่กระทบแข็ง เพราะฉะนั้นจักขุคือตาในภาษาบาลี ปสาทคือรูปซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นใช้คำว่าจักขุปสาทรูป เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น ภาษาบาลีง่ายมากเลย จักขุวิญญาณ ถ้าจักขุเป็นรูป แต่จักขุวิญญาณเป็นจิต เพราะว่าเป็นสภาพรู้ แต่จิตนั้นอาศัยตา ภาษาบาลีก็ใช้คำว่าจักขุวิญญาณ แต่คนไทยบอกว่าขณะนี้กำลังอาศัยตาเกิดขึ้นรู้ แต่เราบอกว่าเห็น ความหมายเดียวกัน เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้เป็นสภาพรู้ ซึ่งอาศัยรูปที่กระทบจักขุปสาท ซึ่งเกิดจากกรรม และจิตเห็นก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ฟังเท่าไรก็ต้องค่อยๆ ละเอียดขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น ดูเหมือนกับว่าฟังก็ยังยาก แต่ให้รู้ว่าที่จะรู้จริงๆ จะยากกว่านี้อีกเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นความรู้จริงๆ ไม่รู้อื่น รู้อย่างนี้แหละ ทั้งๆ ที่มีตากันมาตั้งแต่เกิด แต่แค่ตาอย่างเดียวที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา แล้วก็มีจริงๆ ก็ต้องฟังแล้วฟังอีก ฟังยังไงก็ไม่ผิดไปจากความจริงได้ ขณะนี้คือตามี ถูกต้องไหม เป็นธรรมไม่มีใครทำให้เกิด แต่มีกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิด เพราะว่ากรรมทำให้รูปนี้เป็นรูปที่ สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ตาที่เราเรียกว่าตา หาดูสิว่าอยู่ไหน ตาเป็นรูปที่มองไม่เห็น อยู่กลางตา แต่ว่าลักษณะพิเศษก็คือว่าเป็นปสาทะ เพราะสามารถกระทบกับ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ อุปมาเหมือนกับกระจกเงา ปสาทะแปลว่าใส ต่างจากแข็ง ถ้าเราผ่านกำแพงทึบ เราไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ้าเราผ่านกระจก มีเงาปรากฏในกระจก เพราะฉะนั้นรูปนี้ต้องพิเศษไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่ร้อน แต่เป็นอีกรูป ๑ ซึ่งมีอ่อนมีแข็งเกิดร่วมกันแต่ต้องต่างกันเป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นเฉพาะตา เกิดจากกรรม บางคนตาบอด บางคนตาไม่บอด ถึงเวลาที่กรรมจะทำให้ตาบอด ตาก็ต้องบอดใช่ไหม ไม่บอดก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นรูปนี้มีจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ใครด้วย เป็นธรรม ขณะใดที่เห็นเพราะมีรูปนี้ ถ้าไม่มีจักขุคือตา ประสาทรูป เห็นเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพียงแค่นี้ให้เห็นความที่ว่า ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้เลย แม้เห็นก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ลืมคิดใช่ไหม เห็นอะไร พอใจหรือไม่พอใจ เริ่มแสวงหาทุกเรื่องราวในโลกมาจากเห็น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวอะไรทั้งหมด มาจากเห็น เพราะฉะนั้นไม่รู้จักเลยว่าเห็นก็ไม่ใช่เรา เห็นเพียงแค่เกิดขึ้นกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับไปหมดเลย ไม่ยั่งยืน ไปหาที่ไหนอีกก็ไม่ได้ ฟังจนกว่าจะมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ในขณะที่กำลังเห็น ถึงกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้จักเห็น แล้วก็ไม่รู้จักตา แต่ให้ฟังให้รู้ว่าตามี จึงเห็นมี แล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นทั่วตัวนี้เป็นธรรมหมดเลย เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นสำหรับตานี้ก็เข้าใจแล้วใช่ไหม ๑ ละ กำลังเห็น ทำอย่างไรจะรู้ว่าไม่ใช่เรา เห็นไหม อยากจะรู้นัก ไปพยายามรู้ให้เกิดให้ดับให้ได้ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจไม่มีทาง เพราะความเข้าใจนี่แหละ ค่อยๆ คลายความเป็นเราเมื่อระลึกได้ และรู้ว่าเพียงชั่ว ๑ ขณะ ซึ่งอาศัยตาเกิดขึ้น เพียงแค่ไม่มีตา โลกที่เป็นสีสันวรรณะต่างๆ ก็ไม่ปรากฏ ยังสงสัยในรูป ๑ รูปนี้ไหม มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน กำลังเกิดดับ และก็เมื่อไหร่ที่กรรมไม่ทำให้รูปนี้เกิด ไม่มีการเห็นอีกต่อไป ใครก็ทำให้รูปนี้เกิดไม่ได้ กำลังนอนหลับ มีตาไหม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1201
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1202
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1203
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1204
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1205
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1206
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1207
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1208
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1209
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1210
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1211
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1212
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1213
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1214
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1215
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1216
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1217
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1218
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1219
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1220
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1221
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1222
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1223
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1224
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1225
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1226
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1227
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1228
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1229
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1230
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1231
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1232
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1233
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1234
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1235
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1236
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1237
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1238
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1239
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1240
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1241
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1242
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1243
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1244
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1245
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1246
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1247
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1248
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1249
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1250
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1251
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1252
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1253
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1254
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1255
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1256
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1257
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1258
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1259
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1260