ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1247
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๔๗
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ผู้ฟัง กราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ว่า เหตุปัจจัยที่จะให้มั่นคงในแนวทางว่า ขณะนี้เป็นธรรมแต่ละ ๑ ไม่ใช่เรา แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ฟังจนเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้เข้าใจ ตรงนี้เป็นอย่างไร ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ก็ต้องรู้ประโยชน์จริงๆ ของทุกขณะ การที่เราฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เพื่อที่จะเข้าใจ ถูกต้องไหม ถ้าไม่เข้าใจก็เสียเวลาจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเกรงใจ หรือว่าเป็นกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ว่าความเป็นผู้ตรงที่จะเข้าใจสิ่งที่ฟัง โดยเฉพาะก็คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ลืมเลยยาก ลึกซึ้งหรือเปล่า ถ้าใครบอกว่าง่ายง่ายไม่ต้องฟังก็ได้ เชื่อไหม นี่คือเริ่มความเป็นคนตรงๆ ต้องตรงตั้งแต่คิดที่จะฟัง ว่าฟังเพื่ออะไร และขณะที่กำลังฟัง ก็เป็นคนตรงจริงๆ ว่าสิ่งที่ได้ฟัง ถูกหรือผิด ถ้าผิดจะเชื่อทำไม ไม่จริงใช่ไหม และไม่ใช่ว่ามีใครต้องมาบังคับให้เชื่อ แต่สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเป็นเครื่องยืนยันว่า คำที่ได้ฟังถูกต้องไหม เช่นขณะนี้มีเห็น บางคนสงสัยจนกระทั่งว่าเห็นมีจริงๆ หรือเปล่านี่ เป็นไปได้ยังไง นั่นไปฟังอะไรมา นั่นไปคิดอะไร ก็กำลังเห็นแท้ๆ และเกิดสงสัย พอได้ยิน เห็นไหมมีจริงหรือเปล่า ก็ต้องแปลกมากเลย ต้องเป็นคนที่ตรง ฟังทีละคำ แล้วก็เข้าใจขึ้นทีละคำด้วย เห็นมีจริงใครว่าไม่จริงใช่ไหม กำลังเห็นแท้ๆ เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงแต่ไม่รู้ ถ้ารู้ไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังคำของคนอื่น ฟังคำของใคร เพราะคิดว่าจะรู้ได้จากคำของเขา แต่ถ้าได้ยินคำว่าพุทธะ รู้ ระดับไหน ประจักษ์แจ้งจนถึงที่สุด และก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะถึงที่สุดแล้วจะเปลี่ยนได้ยังไง ถ้าไม่รู้จักสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนถึงที่สุด ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวก็เป็นอย่างนั้น คิดไปคิดมาก็เป็นอย่างอื่นไปอีก แต่ถ้าถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะได้ยินใครพูด ก็ไม่ใช่คำของเขา แต่เป็นคำที่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงความจริง ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นทุกคำที่จริง เป็นคำจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสรู้อะไร ก็ต้องเริ่มคิดแล้วใช่ไหม จะมีอะไรให้ตรัสรู้บ้าง เห็นเดี๋ยวนี้มี ตรัสรู้หรือเปล่า คิดเดี๋ยวนี้มี ตรัสรู้รึเปล่า ชอบเดี๋ยวนี้มี ตรัสรู้รึเปล่า ง่วงเดี๋ยวนี้อาจจะมี พระองค์ตรัสรู้หรือเปล่า ถ้าไม่ตรัสรู้ไม่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หมดจดจากกิเลส ดับความสงสัย และความไม่รู้ทั้งหมด ในทุกสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นก็รู้ได้จริงๆ ว่าที่พึ่งในสังสารวัฎฏ์ จากการมืดสนิทไม่รู้อะไรเลย ถ้าชาตินี้ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้เลย ไม่มีทางออกจากความมืด จะต้องเป็นอย่างนี้แหละเกิด และก็ตาย แต่ก่อนตายมากไหมระหว่างเกิดอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด หลับแล้วก็ตื่น แล้วก็คิด แล้วก็ทำ แล้วก็พูด แล้วก็จำ แล้วก็แล้วแต่เรื่องอะไร แล้วก็ไม่เหลือเลย ไม่เหลือเลยจริงๆ เหมือนชาติก่อนไม่เหลือเลย พอถึงชาตินี้ ชาติก่อนวุ่นวายขนาดไหน หลับตื่นนอนดึกตื่นสายอะไรก็จะว่าไป ก็ไม่มีความหมายอะไรเลยหมดแล้ว เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าเดี๋ยวนี้ทุกขณะหมดแล้ว หมดแล้วไม่เหลือเลย แต่ว่าสิ่งที่เกิดสืบต่อ ทำให้ปรากฏเหมือนกับว่าไม่มีอะไรดับไปทั้งสิ้น ทุกคนก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ กำลังฟังอยู่ตรงนี้ แต่ว่าตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ว่าเดี๋ยวนี้เห็นดับจะเห็นพระปัญญาคุณไหม ใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ทรงแสดงหนทางจริงๆ ว่าฟังแล้ว ไม่ใช่แค่เชื่อ ไม่ใช่แค่จำ แต่รู้ว่าเห็นเกิด และเห็นก็ดับ แล้วก็ไม่ใช่เราด้วย แล้วก็ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดแล้วดับ เพราะว่าแม้เห็นจะเกิด ก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิด เฉพาะที่จะต้องเป็นเห็น ไม่เป็นอย่างอื่น ได้ยินก็จะต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิดได้ยิน ไม่ใช่อย่างอื่นเลยทั้งสิ้น
นี่ก็คือชีวิตประจำวัน ซึ่งภาษาบาลีก็ใช้คำว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง กว่าจะรู้ทั้งๆ ที่เป็นพระอรหันตมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไร ไม่ต้องพูดเลย ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่วันเดือนปี หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรแล้วเราฟัง ต้องรู้ความห่างไกลกันมาก กับการที่จะรู้ความจริงว่า สิ่งที่ได้ฟังประจักษ์แล้วผลคืออะไรใช่ไหม ผลคือรู้ความจริงว่าไม่มีเรา มีแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวแสนสั้น และก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยสักอย่าง ไม่มีเลย ตอนเป็นเด็กสนุกมาก แค่จำจะสนุกอย่างเก่า จะเป็นเด็กอย่างเก่าอีกก็ไม่ได้ใช่ไหม แล้วกว่าจะสนุกอย่างนั้นวันนั้นที่จะสนุก ตื่นมาทำอะไรบ้างใช่ไหม ไม่มีการที่จะไปจำได้ แม้เมื่อวานนี้ตั้งแต่ตื่นมาจนหลับ ใครจำอะไรได้เท่าไร ก็ผ่านไปหมด โดยที่ขณะที่ยังไม่ผ่านไป ก็ดูสำคัญเสียเหลือเกิน เดี๋ยวสุขมากเดี๋ยวทุกข์มาก เดี๋ยวเดือดร้อนมาก เป็นห่วงมากก็หมดแล้ว แล้วไง จะไปยุ่งกับสิ่งที่หมดแล้วหรือ แต่มีสิ่งที่มีใหม่กังวลใหม่ เดือดร้อนใหม่ วุ่นวายไหมใ และก็หมดแล้ว แล้วก็ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ ว่าที่กล่าวว่าพระอรหันตสัม มาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ให้ออกจากความไม่รู้ และความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นเรา เป็นเขา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นดอกไม้ เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความจริงก็แค่เป็นสิ่งที่ปรากฏ เพราะเกิดแล้วก็ดับไป และก็ไม่กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้นการฟังต้องรู้ประมาณว่า กว่าจะถึงการที่ได้รู้จริงๆ ในคำที่ได้ฟัง แล้วเข้าใจต้องอีกนานเท่าไหร่แต่ถึงได้ เห็นไหม ถึงได้ ดีกว่าจมอยู่ในความมืดมิดจมลงไปทุกวัน ลึกลงไปทุกที ยากที่จะขึ้นได้ ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวได้ว่าไม่มีทาง เพราะฉะนั้นที่จะออกจากสังสารวัฎฏ์ สังสารวัฎฏ์คือทุกขณะที่เห็น ได้ยินเดี๋ยวนี้เอง จากสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วดับ ก็มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ และดับ สืบต่อไปไม่สิ้นสุดเลย ใครจะไปหยุดยั้ง ให้จบให้หมด ไม่ให้เกิดอีกเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นอย่างนี้แหละ ไปอีกนานเท่าไร ไม่มีใครบอกได้เลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งน่าอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ สามารถที่จะทำให้ความไม่รู้ ได้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง และค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เหมือนผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริง ถึง ความเป็นพระอริยะบุคคล ก็ต้องมาจากการฟัง แล้วก็มีความเข้าใจ และก็เป็นผู้ตรง ซึ่งก็คือบารมีที่จะทำให้สามารถรู้ความจริงได้ เพราะถ้าฟังเผินหลงทางทันที ฟังผิดก็เข้าใจผิด แล้วก็มีความอยากที่จะรู้เร็วๆ เข้าใจเร็วๆ เชื่อคำซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะโลภะเพราะความอยาก เพราะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มี เพราะฉะนั้นฟังให้เข้าใจสิ่งที่มี และก็วันหนึ่งวันหนึ่งก็รู้ตัวเอง ไม่ต้องไปถามใครเลย เข้าใจสิ่งที่มีแค่ไหน อย่างเห็นแค่อย่างเดียว ไม่ต้องมาก ตั้งแต่เช้ามาก็เห็นเหมือนเมื่อวานใช่ไหม คือไม่เข้าใจเท่าเดิม เมื่อวานนี้ก็ไม่เข้าใจอย่างนี้ ทั้งวันหมดไปตื่นขึ้นมาก็เห็นอีก ก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนเก่า หารู้ไม่ว่าแต่ละคำที่ได้ฟัง และเข้าใจค่อยๆ ละความไม่รู้ และความไม่เข้าใจ นานแสนนานที่ไม่รู้มาแล้ว จนกว่าจะนานแสนนานที่เข้าใจขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้นรู้ขึ้น จนกระทั่งสามารถละคลายความไม่รู้ เมื่อไม่มีความไม่รู้ปิดบัง สภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นมีหนทางเดียวจริงๆ คือความเข้าใจ ซึ่งภาษาบาลีจะใช้คำว่าปัญญา แต่ภาษาไทยก็คือเข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นทุกโอกาสที่ในชาตินี้มีโอกาสจะได้ฟัง มีค่ากว่าอย่างอื่นไหม ได้เงินได้ทองเพชรนิลจินดา ทันทีที่เห็นก็ติด ไม่รู้ความจริงเลยว่า พอใจในสิ่งที่เพียงแค่ปรากฏแล้วดับ จนกว่าไม่มีตัวเราที่พยายามจะไปฝืน จะไปทำจะไปนั่งปฏิบัติ ที่สำนักนั้นสำนักนี้เคร่งครัด เดินเหิน ก้าวเดิน หยิบ ยก ย่างแต่ก็รู้อะไร เรานานเท่าไหร่ละ ไม่รู้มานานเท่าไหร่ละ สะสมความเป็นเราแสนโกฏกัปป์ก็ยังน้อยไป ไม่ต้องนับดีกว่า และข้างหน้าจะอีกเท่าไหร่ และทุกวันนี้อีกเท่าไหร่ที่เพิ่มเติมไป เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นค่า ของการฟัง และเข้าใจว่า สิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ คำที่เราได้ยินมาแล้วทั้งหมดเปิดเผย ประจักษ์แจ้งเป็นจริงอย่างที่ได้ฟัง
ผู้ฟัง ถ้าสมมุติตระหนักหรือว่าเข้าใจว่า ธรรมยากจริงๆ ก็จะไปเป็นปัจจัยอันหนึ่ง ที่ทำให้มั่นคงว่า หนทางยาก ก็ต้องอดทนที่จะฟังก็จะประมาณ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพอรู้ว่ายากนั้นคือละ ยากแล้วจะทำยังไงได้เห็นไหม หวังจะไปทำละก็คือละล่ะ เพราะรู้ว่ายากฟังไปค่อยๆ เข้าใจไป ยากขึ้นยากขึ้น ก็ยิ่งละทำไม่ได้ใครก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นธรรมจริงๆ จากสิ่งที่ถูกปิดกั้นไว้ มองไม่เห็นตัวจริงของธรรมเลย แล้วก็ค่อยๆ สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ก่อนฟังไม่เหมือนฟังแล้วใช่ไหม แค่ฟังซึ่งไม่รู้อะไรเลย กับพอฟังแล้วเริ่มเข้าใจบ้างใช่ไหม แล้วถ้าฟังต่อไป เมื่อวานนี้ที่ฟังวันก่อนที่ฟัง ก็ทำให้ฟังวันนี้เข้าใจขึ้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็หนทางเดียวก็คือ ความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นปัญญาขั้นฟัง ปริยัติ ฟังแล้วเข้าใจไหม มั่นคงไหม รอบรู้ไหม ไม่ต้องไปพูดถึงปฏิปัติ ซึ่งเป็นปัญญาตามลำดับขั้น ไม่ต้องมีใครไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น ความเข้าใจทำหน้าที่ของความเข้าใจเอง ใครก็จะมาทำหน้าที่ของความเข้าใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมมีมากมาย ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงเปิดเผยว่าแม้เห็น ๑ ขณะเกิดได้เพราะอะไร และมีอะไรเกิดร่วมด้วย ก็ไม่สามารถที่จะไปรู้ความจริงของธรรมที่เกิดที่เห็น และที่ปัจจัยให้เกิดเห็น และที่ถูกเห็นได้ เพียง ๑ ขณะจิตที่เกิดขึ้นเร็วปานนั้น นี้ก็แสดงให้เห็นว่าเริ่มเห็น ที่พึ่งแล้วรู้จักที่พึ่งแล้วก็มีสิ่งเดียวซึ่งพึ่งได้ สิ่งอื่นพึ่งไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พึ่งพระธรรม และก็พระอริยเจ้าทั้งหลาย ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม และพึ่งพระธรรมก็จะไม่ถึงกับเป็นพระอริยบุคคล ก็เป็นเรื่องธรรมดาปกติ ที่ละความต้องการแล้วใช่ไหมละความต้องการที่จะไปรีบเร่งขวนขวายที่จะไปรู้ ไม่อย่างงั้นไม่มีอะไร ที่จะไปละความอยากหรือความต้องการได้ เพราะเหตุว่าความอยากได้ความต้องการมีประจำใจ พร้อมกับความไม่รู้ ฝังราก ลึกมาก ยากที่จะรู้ได้ และยิ่งลึกขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นถ้าฟังมากขึ้น การที่จะให้ความไม่รู้ และความติดข้อง ฝังลึกลงไปอีกก็ระงับไม่ให้ลึกลงไปกว่านั้น และยิ่งฟังก็ยิ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ถอนขึ้นจนกว่าจะหมด เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องรู้แล้วละ ไม่ได้ติดข้องเลย ถ้าติดเมื่อไหร่คือผิดทันที แค่เห็นอย่างเดียว ไม่ต้องมากพิจารณาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เราได้เข้าถึงความจริงของเห็นแค่ไหน แค่เห็นเป็นคน ห่างไกลกับความจริงไหม เห็นไหม ถ้าไม่คิด ไม่ไตร่ตรอง ไม่รู้เลยว่าเพียงแค่นี้ก็ห่างความจริงแล้ว ความจริงคือแค่เห็น หมายความเห็นเกิดขึ้นเพียงเห็น คำว่าเพียงเห็นก็คือเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เราบอกว่าเราเห็นคน ห่างไกลความจริงแค่ไหน ห่างมานานเท่าไหร่ เห็นคน เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เพราะฉะนั้นธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะรู้จักพระองค์ได้ ก็ต่อเมื่อเข้าใจคำของพระองค์ และก็มีความมั่นคงจริงๆ ประมาทเห็นใช่ไหม แต่หารู้ไม่ห่างจากความจริงแค่ไหน เป็นคนละ เป็นคุณอรวรรณ และรู้จักชื่อด้วยห่างอีกเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่จำแล้วก็รู้ ยังชื่อแถมเข้ามาอีก
เพราะฉะนั้นห่างทุกวันกับความจริง ซึ่งลึกซึ้งจริงๆ แต่ก็จากคำของพระองค์ จะค่อยๆ เข้าใกล้ความจริง เพราะรู้ว่าไม่รู้หมด ไม่ใช่ไม่รู้แค่เห็น ได้ยินล่ะใช่ไหม แค่ได้ยินเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า รู้เรื่องเลย พอฟังก็รู้เรื่องละ นี่หรือแค่ได้ยิน เพราะฉะนั้นห่างจากความจริงแค่ไหน ถ้าไม่คิดไม่มีทางรู้เลย เพราะฉะนั้นธรรมยิ่งฟังความเข้าใจนั่นแหละจะทำให้ละความไม่รู้ และความติดข้อง พากเพียรไปทำอะไรให้รู้เป็นไปได้หรือ เพราะว่าความไม่รู้อยู่ที่จิตทุกขณะ แล้วก็อยู่ที่ความติดข้องว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นก็กว่าจะมีความค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามความเป็นจริง เข้าใจคำว่าปาระมี เข้าใจคำว่าอดทน ขันติบารมี เข้าใจคำว่าสัจจบารมี และบารมีอื่นๆ อธิษฐานบารมีมั่นคงจริงๆ ว่าขณะนี้รู้จักเห็นหรือ ในเมื่อเห็นคุณเบญจมาศ รู้จักเห็นหรือ ไม่ใช่รู้จักเห็นเลยใช่ไหม รู้จักเห็นต้องไม่ใช่คุณเบญจมาศ นั่นแหละรู้จักเห็น แต่นี่เห็นคุณเบญจมาศไม่มีทาง และก็ไม่รู้จักสิ่งที่ปรากฏด้วย สิ่งที่ปรากฏเป็นใครไม่ได้เลยทั้งสิ้น เป็นไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่มีรูปร่างหลากหลาย สีสันวรรณหลากหลาย ก็เป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้ทีละ ๑ ถ้าไม่ทีละ ๑ จะหลากหลายไหม แต่ปรากฏทีเดียว หลากหลายหมด รูปร่างสัณฐานด้วยจำได้หมด เพราะฉะนั้นห่างไกลกับสิ่งที่ปรากฏ แม้แค่ได้ยินก็ไปรู้เรื่องหมดเลยใช่ไหม แต่ได้ยินเพียงแค่รู้เสียงเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นหนทางเดียว ก็คือฟังพระธรรม และก็เข้าใจขึ้น จึงจะละความเป็นเรา ซึ่งฝังแน่นอยู่ในจิต จะไปดูอะไรจะไปให้ประจักษ์การเกิดดับ และความเป็นเราที่มีอยู่ในจิตล่ะ ยังมากเหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่จะละไปได้เลย
เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าไม่ใช่ไปพยายามรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเกิดดับ บางคนก็บอกว่ากำลังเห็นอย่างนี้ ดับเลย หมดไปเลย เป็นทีละ ๑ ทีละ ๑ แล้วที่กำลังคิดน่ะอะไรห่างไกลไหม กับการที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา บางคนก็ได้ยินเสียง อัศจรรย์มากเลยมันหมดไปเลยทีละ ๑ ละ ๑ แล้วเราล่ะที่กำลังเห็นแล้วก็สงสัยนั่นน่ะ ไม่มีทางจะหมดไปได้เลย เพราะขณะนั้นไม่ได้เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทีละอย่างทีละน้อย เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าการฟัง ถ้าเราไม่ได้ฟังคำจริงจะไม่เข้าใจความจริง และเห็นได้ไหมว่าแค่ปริยัติ จากฟังต้นๆ ลึกลงไปอีกแล้ว ลึกลงไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้นปฏิปัติจะลึกกว่านี้ไหม แล้วก็ปฏิเวธจะแจ่มแจ้งชัดเจนกว่านี้ไหม แม้แต่วิปัสสนาญาณขั้นต้นๆ กว่าจะถึงขั้นต่อไป
อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงความไกลจากความเป็นจริง ก็คือแค่เห็น ซึ่งปกติมีชีวิตเป็นไปในแต่ละวัน ก็เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ถ้าเข้าใจความเป็นธรรม ต้องมีเห็นก่อนจึงจะมีการที่จะรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้เห็นจนกระทั่งคุณวิชัยกะพริบตา คิดดูก็แล้วกันใช่ไหม ไม่ใช่ว่าไม่เห็น แต่ไม่ได้สังเกต ไม่ได้คิด เหมือนไม่เห็นใช่ไหม ทั้งๆ ที่คุณวิชัยก็นั่งอยู่ต่อหน้าแล้วก็กะพริบตาบ้างบางครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าคุณวิชัยกะพริบตาทั้งๆ ที่คุณวิชัยกะพริบตา แต่กระทบตาหรือเปล่า ปรากฏให้เห็นหรือเปล่า คิดตามหรือเปล่า ลึกลงไปทุกขณะ
อ.วิชัย เห็นก็ไม่รู้ คิดว่าเป็นคนหนึ่งคนใด ก็ไม่รู้อีก ก็คือเหมือนกับไม่รู้ความเป็นจริงทั้งหมด
ท่านอาจารย์ เริ่มรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เทียบไม่ได้ที่พระองค์ตรัส และเราได้ยิน ปัญญาห่างกันแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าคำนึงถึงอย่างนี้ ก็จะมีความเคารพในแต่ละคำที่ได้ฟัง คุณมหาศาลในสังสารวัฎฏ์ ถ้าไม่มีคำเข้าใจเลย มืดสนิทเลย แล้วก็หลงผิดด้วย ถ้ามีคนที่มาบอกให้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นปัญญา อย่างสวดมนต์ มนต์คืออะไร
อ.วิชัย ปัญญา ท่านอาจารย์ มนตะ
ท่านอาจารย์ มนตะ ปัญญา เพราะฉะนั้นสวดคำปัญญาต้องมี ไม่มีแล้วเป็นมนต์ได้อย่างไร แถมที่ไม่รู้จักเป็นมนต์ไม่ได้ แต่คำที่เข้าใจต่างหากเป็นมนต์ เช่นพุทโธ พุทธะปัญญาระดับไหนเห็นไหม เป็นคำสวดถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ถ้าเข้าใจ รู้เลย ถ้าไม่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ไม่มีโอกาสรู้จัก แค่ได้ยิน แค่ท่อง แค่สวด ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ต่อเมื่อเข้าใจแต่ละคำ และความลึกซึ้งขึ้นยิ่งขึ้นของแต่ละคำ เข้าใจเท่าไหร่ก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น นอบน้อมเท่าไหร่ก็เพราะได้เข้าใจเท่านั้น เกินกว่านั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะนอบน้อมมาก ก็ต่อเมื่อเข้าใจมาก
อ.วิชัย ขอความเข้าใจความละเอียด ของความรู้ความจริง อย่างเช่นที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าแค่เห็น นั่นหมายความว่าไม่ใช่เป็นดอกไม้ หรือเป็นคนหนึ่งคนใด เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงว่า แค่เห็น ถ้าบุคคลที่ไม่ละเอียดในการที่จะเข้าใจ ก็เหมือนกับว่าไม่ให้คิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ท่านอาจารย์ หรือไม่จะแถมคำว่าไม่ให้อย่างนั้น ไม่ให้อย่างนี้ ไม่ใช่เลย ปัญญานั่น และทำให้เป็นอย่างนั้น งานนี้คนที่นั่งข้างหน้า พอจะเห็นคุณวิชัยกะพริบตาบ้างยัง บางคนก็เห็น บางคนก็ไม่เห็นก็แล้วแต่ แต่ก็มีสิ่งที่กระทบตาใช่ไหม
อ.วิชัย หมายความว่าความเป็นจริงของธรรมเป็นอย่างงั้น ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความเป็นจริงของธรรม ประมาทไม่ได้ แค่นี้เหมือนเข้าใจแล้ว แต่ความจริงต้องเป็นอนัตตา เติมเข้าไปอีกว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพูดถึงเห็น ไม่ได้บอกว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นความจริงของเห็นก็คือเห็น เรากำลังพูดถึงเห็น ไม่ได้พูดถึงเราหรือใครหรือเขา พูดถึงเห็น เพราะฉะนั้นเห็นไหม ว่าคนฟังก็ต้องเป็นคนที่เข้าใจด้วย ถ้าไม่เข้าใจก็เหมือนกับพูดถึงเรื่องเราเห็น ให้เราเข้าใจ ก็เป็นเราอยู่ตลอด และบางทีฟังแล้วบอกว่าเราเข้าใจแล้ว ก็เป็นเรานั่นแหละเข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ลึกซึ้ง ละเอียด และก็ต้องเป็นความเข้าใจเพื่อละความไม่รู้
อ.กุลวิไล คำจริงทั้งหมด ยากที่จะรู้ได้ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ใครว่าง่าย ไม่มีทางเลย แล้วข้อสำคัญคิดบ้างไหมว่าเห็นเท่าไหร่ละกี่ครั้งแล้ว นับประมาณไม่ได้เลย ความไม่รู้เท่าไหร่ละ ความติดข้องเท่าไหร่ละ เพราะฉะนั้นทุกคำก็เตือนให้รู้ว่าความไม่รู้นี่มีมาก เพราะฉะนั้นการฟังผู้นั้นรู้เองเข้าใจแค่ไหน จึงได้บอกว่าเห็นเมื่อวานก็เหมือนวันนี้ ก็คือไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม แต่ว่าธรรมคือสังขารขันธ์ไม่ใช่เราเลย ยิ่งเรียนยิ่งเข้าใจว่าอะไรล่ะ ที่กำลังร่วมกันเกิดขึ้นทำกิจการงาน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1201
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1202
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1203
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1204
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1205
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1206
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1207
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1208
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1209
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1210
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1211
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1212
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1213
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1214
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1215
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1216
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1217
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1218
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1219
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1220
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1221
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1222
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1223
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1224
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1225
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1226
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1227
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1228
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1229
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1230
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1231
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1232
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1233
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1234
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1235
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1236
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1237
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1238
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1239
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1240
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1241
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1242
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1243
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1244
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1245
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1246
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1247
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1248
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1249
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1250
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1251
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1252
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1253
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1254
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1255
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1256
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1257
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1258
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1259
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1260