ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1254


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๕๔

    สนทนาธรรม ที่ หอศิลป์

    วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ มีความติดข้องที่ไม่รู้เลย ไม่เคยรู้เลยว่า คำว่าปุถุชน ของผู้รู้หนาแน่นด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เกิดมาเท่าไหร่ ชาตินี้แค่นี้ยังชาติก่อนๆ แสนโกฏกัปป์ ทำให้แต่ละ ๑ มีอัธยาศัยต่างกัน เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ ไม่ได้ใช้เงินของแผ่นดิน ที่จะมาอนุเคราะห์พระภิกษุ เพราะคฤหัสถ์มีศรัทธาอยู่ด้วยศรัทธาทั้งหมด เพราะว่าชีวิตไม่ว่าชีวิตใดก็ตาม แต่ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ขาดอาหารไม่ได้เลยใช่ไหม แล้วถ้าเป็นมนุษย์ก็เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยังไงก็ต้องอยู่ในโลกนี้ จะอยู่ตรงไหนก็ตามแต่ แล้วแต่ที่อาศัยนั้นจะเป็นแบบไหน แล้วก็ยารักษาโรค อยู่กันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ไม่ได้มีสิ่งที่เป็นอย่างคฤหัสถ์เลย เหมือนคฤหัสถ์ไม่ได้ สองเพศนี้ต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อคฤหัสถ์เห็นประโยชน์ ที่พระภิกษุจะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต อนุเคราะห์โดยการที่ว่าใส่บาตร ให้อาหารหรือว่ามีจีวร จะถวายในบางกาล ตามที่พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต แม้แต่จะรับจีวรก็ต้องได้รับอนุญาต เพราะเหตุว่าถ้าละโมบโลภมากเป็นภิกษุหรือ มีมากๆ แม้แต่จีวรก็ต้องจำกัดด้วย มีเท่าไหร่ จะเก็บไว้ได้กี่วัน หลังจากนั้น แล้วต้องทำอย่างไร

    ถ้าได้ศึกษาพระวินัยจะเป็นผู้ที่เห็นกิเลส แล้วก็จะประพฤติตามพระวินัยด้วย ใครที่บอกว่ามีศีล ๕ ข้อ หรือ ๘ ข้อ หรือ ๑๐ ข้อ พอดีศึกษาพระธรรมวินัย ปัญญาที่เห็นคุณของพระวินัย ไม่ใช่คิดว่ามากเรื่อง หรือว่ามาจำกัดมาก เคร่งครัดมากเลย แต่ผู้มีปัญญาเห็นคุณจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถที่จะ ขัดเกลากิเลสได้ประพฤติตาม เราคฤหัสถ์ จะมีมากกว่า ๕ และ ๘ และ ๑๐ ถ้าได้เข้าใจพระวินัย เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่เป็นภิกษุงามทั้งกายวาจา ใครเดินไปเดินมา ในพระเชตวันจะรู้ไหมว่าใครเป็นพระอรหันต์หรือไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะเหมือนกันหมดเป็นศากยบุตร ปฏิญาณว่าจะประพฤติขัดเกลากิเลส ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำสิ่งใด ไม่ให้ทรงกระทำสิ่งใดภิกษุต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทำ แล้วเราจะทำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่รับเงินทองแต่เราจะรับ นั่นคือเป็นผู้ที่ต้องการอะไร ถามว่าเอาเงินไปทำอะไร ทุกคนเพื่อที่จะได้ลาภได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข ได้รูปทางตา เสียงเพราะๆ ทางหู กลิ่นหอมๆ ทางจมูก มีแค่ตา หู จมูก ลิ้น กายซึ่งเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งใดมากระทบก็ติดข้อง ไม่เห็นว่าเป็นโทษ ที่ถ้าติดข้องมากมีหรือที่จะไม่กระทำทุจริต นี่ก็แสดงให้เห็นถึงต้นตอจริงๆ ถ้าจะไม่ให้เป็นทุจริตก็ต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา อกุศลความไม่รู้ก็ทำหน้าที่ของความไม่รู้ คือทำให้ติดข้องและไม่เห็นโทษของกิเลสทั้งหลาย

    ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองในอดีตกาล เพราะภิกษุทั้งหลายศึกษาเพื่อการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ภิกษุใดไม่ประพฤติตามสิกขาบท ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาเพราะเป็นผู้รู้ และผู้ที่เข้าใจว่า ภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ ภิกษุจะเหมือนคฤหัสถ์ไม่ได้ จะทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้อความนี้มีนัยพระไตรปิฏก พุทธบริษัทพร้อมเพรียงกันศึกษา เข้าใจพระธรรม ดำรงรักษาพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุใดไม่ประพฤติตามพระวินัย คฤหัสถ์ควรรู้ไหม ควรมีหน้าที่ที่จะช่วยกัน กล่าวพระธรรมวินัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นเครื่องเตือนให้ระลึก ในความเป็นภิกษุ ที่จะต้องเป็นภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ ไม่ใช่ปะปนกันเหมือนกับคฤหัสถ์ได้อย่างไร ปัจจุบันนี้ ตามห้างทั้งหลาย ก็มีภิกษุที่เข้าแถวจ่ายเงิน พระพุทธศาสนารุ่งเรืองไหม ไม่เหมือนในครั้งพุทธกาล ถ้ารุ่งเรืองด้วยจิตใจด้วยปัญญา ด้วยความเห็นถูก ด้วยความเข้าใจถูก ด้วยความหวังดี เพราะฉะนั้นทุกคำที่ใครก็ตาม กล่าวพระธรรมวินัยให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดีไหม ควรไหม เพื่อที่จะให้ทุกคนได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่คิดกันเอง แล้วจ้วงจาบพระธรรมวินัย ย่ำยีพระธรรมวินัย ไม่รู้อะไรเลยก็บวช มีท่านผู้หนึ่ง ท่านก็บอกว่าน้องสาวไม่สบาย ก็เลยไปบวช อะไรกัน จะบวชได้หมดเลยไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เหมือนในครั้งพุทธกาล เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง พระศาสนาสำหรับผู้ที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว ต่างกันเป็นพุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต ที่จะต้องอาศัยกันและกัน ที่จะศึกษาและก็ช่วยกันดำรงพระศาสนา ไม่ใช่ให้ไม่ศึกษา แล้วก็เข้าใจผิด ตามผู้ที่ไม่ศึกษา เพราะฉะนั้นพระธรรมวินัยเท่านั้น ที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์ ถ้าเป็นอย่างนี้ พระพุทธศาสนารุ่งเรือง ประเทศชาติรุ่งเรือง เพราะเหตุว่าพุทธจักรก็ต้องแยกจากอาณาจักร ถ้าเห็นว่าพุทธจักรเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่ว่าจะไปสนับสนุนเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะว่าละแล้วซึ่งเพศคฤหัสถ์ มีหน้าที่ที่จะศึกษาพระธรรมวินัยแล้วอนุเคราะห์คฤหัสถ์ ให้เข้าใจธรรมด้วย นี่คือหน้าที่ของพระภิกษุ แต่ถ้าไม่ศึกษาธรรม แล้วใครจะเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นพระศาสนาก็ค่อยๆ ลบเลือนอันตราย พระภิกษุอยู่ได้ถ้าเป็นภิกษุในธรรมวินัย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ เป็นคฤหัสถ์ไม่รู้จักคำสอนของพระพุทธองค์ และพระภิกษุก็เช่นกัน ถ้าบวชมาแล้วท่านไม่ได้รู้จักหน้าที่ของท่าน ก็จะไม่สามารถทำให้ศาสนาจรรโลงได้ยืดยาว เพราะฉะนั้นก็จะเพิ่มแต่วิกฤต ทางพระพุทธศาสนาอย่างมาก

    ท่านอาจารย์ มีพระภิกษุมาก ทุกหนทุกแห่ง แต่ว่าต้องไม่ลืมภิกษุคือใคร นั่นคือคำตอบภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ หน้าที่ของคฤหัสถ์ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุ ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ แล้วแต่ว่าบุคคลนั้นเป็นใคร สำหรับคฤหัสถ์ศึกษาธรรมได้ พระภิกษุต้องศึกษาธรรมเพราะว่าบวชเพื่ออะไร ค้นหาคำตอบก่อนอย่างแท้จริงว่าบวชเพื่ออะไรจากคฤหัสถ์ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย ไม่เข้าใจเลยจะบวชไหม เห็นไหม บวชเพราะอยากบวชแต่ไม่รู้ว่าบวชคืออะไร แล้วผู้นั้นจะเป็นภิกษุในธรรมวินัย จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ เพราะฉะนั้นคำว่าบวช ก็หมายความว่าสละทุกอย่าง ที่เคยติดข้องในเพศของคฤหัสถ์ เพราะเห็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ ตามการสะสมว่า สามารถที่จะดำเนินตามรอยพระบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และใครล่ะ ที่สามารถจะดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ได้ ถ้าคนนั้นไม่เห็นประโยชน์และไม่เห็นคุณค่า ของการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่เลิศประเสริฐ เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ไม่มีใครเทียบได้ไม่ว่าในสมัยใด เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นคุณยิ่งใหญ่ที่พระองค์ได้ทรงพระมหากรุณา ให้บุคคลนั้นได้เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และการสะสมของบุคคลนั้น ทำให้สามารถสละเพศคฤหัสถ์ เพื่อทำกิจธุระของบรรพชิตของภิกษุ พระภิกษุไม่ใช่บวชแล้วอยู่เฉยๆ พระภิกษุบวชแล้ว ปรารภว่าวันหนึ่งๆ ไม่รู้จะทำอะไร นั่นไม่ใช่พระภิกษุ เพราะก่อนบวช บวชทำไมต้องมีจุดประสงค์ ไม่ว่าใครจะทำอะไรทั้งสิ้นและจะทำสำเร็จก็ต่อเมื่อรู้ว่าเพื่ออะไรและทำทำไม และก็ทำอย่างไร จึงจะสำเร็จได้ ฉันใดการที่เป็นภิกษุ ก็เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรม ขัดเกลากิเลส จนถึงหมดจดจากกิเลสเป็นพระอรหันต์ นั่นคือฐานะหรือความเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย

    เพราะฉะนั้นภิกษุทุกรูป ต้องรู้กิจหน้าที่ของตน หน้าที่ของพระภิกษุ ไม่ใช่หน้าที่ของคฤหัสถ์ คฤหัสถ์สร้างบ้าน ภิกษุสร้างวัดได้ไหม คิดว่าสร้างได้ แต่ไม่ใช่กิจของภิกษุ คนที่สละอาคารบ้านเรือนแล้ว ยังจะไปสร้างบ้านสำหรับอยู่หรือ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ออกจากบ้านไม่ง่าย จะไปนอนที่ไหน จะไปบริโภคอาหารอะไร จะอยู่ยังไง ต้องเป็นคนที่มีใจที่มั่นคงเข้มแข็ง ที่จะสละชีวิตเพื่อเข้าใจธรรม เห็นไหมว่าธรรมเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายหรือยาก มีอยู่เดี๋ยวนี้ฟังนิดหน่อย ยังไม่ถึงกาลที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีศรัทธาบวชแล้ว รู้ว่ามีหน้าที่สองอย่างเท่านั้นตลอดชีวิตของการเป็นภิกษุ คือคันถะธุระศึกษาพระธรรมวินัย ทำไมล่ะ ก็เพื่อตรงตามที่สละชีวิตเพื่อเข้าใจพระธรรมวินัย ต้องเป็นคนตรง แล้วก็การที่จะเป็นภิกษุต้องไม่ใช้ชีวิตอย่างคฤหัสถ์ เพราะเห็นโทษของกิเลสละอายต่างกัน คฤหัสถ์ร้องเพลง ถ้าภิกษุร้องเพลงเป็นการร้องไห้ ในวินัยของพระธรรมวินัย อย่างนี้คือความต่างกัน เพราะฉะนั้นกิจของภิกษุ มี ๒ อย่าง ศึกษาธรรมแล้วก็ประพฤติตามพระธรรมวินัย เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม คนที่เข้าใจพระธรรมเลย ก็มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต พระธรรมวินัยพระศาสนารุ่งเรืองสืบทอดมา โดยภิกษุมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่รับเงิน โดยอาศัยศรัทธาของผู้ที่เห็นประโยชน์ของภิกษุ ก็อนุเคราะห์โดยการที่ใส่บาตร เพื่อที่จะให้ภิกษุนั้นมีชีวิต ด้วยอาหารบิณฑบาต ไม่ทราบใครเคยเห็นอะไรอยู่ในบาตรหรือเปล่า ที่ต่างๆ ของอยู่ไหนบาตรก็ต่างกัน แต่เดี๋ยวนี้นี่ในบาตรเป็นเงิน ถูกต้องไหม ตามพระธรรมวินัย

    เพราะฉะนั้นก็คือว่าเมื่อบวชแล้ว ไม่รู้ว่าบวชทำไม โดยไม่ได้ศึกษาพระธรรม ถ้ารู้จะศึกษาหรือไม่ศึกษา ถ้ารู้ว่าบวชเพื่อศึกษา ก็ต้องศึกษาหน้าที่ของภิกษุคือศึกษาธรรม แล้วก็ต้องประพฤติตามพระธรรมวินัยด้วย เพราะฉะนั้นภิกษุสละเงินทองแล้วรับได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง บวชแล้วทันทีที่ออกจากโบสถ์รับเงินก็อาบัติ ยังไงกัน เพราะฉะนั้นบวชเพื่ออาบัติ ไม่ใช่บวชเพื่อที่จะประพฤติตามสิกขาบท เพราะว่าสละแล้วจึงได้ออกจากบ้าน ญาติพี่น้อง วงศาคณาญาติ กิจธุระทุกอย่างหมด เป็นนักดนตรีก็ไม่ได้ ขับร้องก็ไม่ได้ ทุกอย่างที่คฤหัสถ์ทำได้ พระภิกษุละอายที่จะทำ จึงสมควรที่เป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ถ้าบวชโดยไม่ละอาย ควรบวชไหม และการรับเงินรับทอง เป็นจุดเริ่มที่จะนำมาซึ่งชีวิตของคฤหัสถ์ คือคฤหัสถ์นี้ใช้เงินแน่นอน จำเป็นแน่นอน ไม่ว่าเรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม วิชาความรู้ต่างๆ นั่นคือชีวิตของคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์มีเงินและทอง เพราะฉะนั้นพระภิกษุละชีวิตของคฤหัสถ์แล้วจึงไม่มีเงินและทอง

    และขอถามว่า รับเงินทองแล้วเอาไปทำอะไร ตามพระธรรมวินัยไม่มีสักข้อ ที่ต้องใช้เงิน ไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใดทั้งสิ้น ไม่มีข้อที่ว่าภิกษุรับเงิน เพื่อที่จะไปใช้อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีเรื่องเงินทองเลย เพราะฉะนั้นไม่รับและ ไม่ยินดีในเงินและทอง ไม่ใช่ว่าเป็นคำพูดว่าจับไม่ได้ ไม่ใช่ แต่ว่าไม่ยินดีแล้วก็ไม่รับ มีความละเอียดมากมายในเรื่องพระวินัยพระธรรมที่ลึกซึ้งแล้ว เป็นเรื่องของความเข้าใจ แต่ว่าชีวิตประจำวันของทุกคน ซึ่งกายวาจาเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่น เป็นไปด้วยจิตประเภทไหน และจะขัดเกลาอย่างไร เพราะฉะนั้นก็จะเห็น กายวาจาตามปกติของทุกคน ไม่ว่าเป็นภิกษุหรือคฤหัสถ์ ก็ตื่นมาทำธุรกิจบริโภคอาหาร และต่อจากนั้นก็ต่างทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของภิกษุ จะไม่มีการที่จะไปสร้างวัด หรือทำอะไรเลยทั้งสิ้น ทั้งหมดไม่มีในพระธรรมวินัยที่อนุญาตให้ภิกษุ ไปสร้างวัดวาอารามใหญ่โต สร้างกุฏิได้ แต่กฎระเบียบที่จะขัดเกลากิเลสมากมาย เพราะเพียงผิดพลาดนิดเดียว บุคคลนั้นไม่รู้ตัวเลยว่ามีกิเลสแค่ไหน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้โทษให้เห็นว่า ถ้าเป็นการกระทำอย่างนี้ กิเลสถึงระดับไหน ที่จะต้องสำนึกว่าเป็นภิกษุทำไม่ได้ ต้องปลงอาบัติ หมายความแสดงโทษว่ากระทำผิด เพราะฉะนั้นการกลับคืนมาสู่ เป็นเพศภิกษุร่วมกับภิกษุทั้งหลาย ที่ประพฤติตามพระวินัย ต้องปลงอาบัติตามสิกขาบทที่วางไว้ ไม่ใช่ว่ารู้สึกตัวละไม่ทำอีกต่อไปละเท่านั้นไม่พอ นั่นคือคฤหัสถ์ ถ้าทำผิดคฤหัสถ์สำนึก บอกใครรึเปล่า ส่วนใหญ่ไม่บอก รู้ตัวเอง แต่พระภิกษุไม่ได้ต้องแสดงโทษ จึงแสดงว่าสำนึก มิฉะนั้นไม่ใช่สำนึก ถ้าผิดและเก็บไว้ไม่แสดงโทษคือไม่สำนึก นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ที่พุทธบริษัทต้องรู้ว่าภิกษุคือใคร มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่ได้ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพราะว่าผู้ที่บวชไม่ได้เข้าใจธรรม ไม่ปฏิบัติตามสิกขาบท แล้วก็ทำกิจของคฤหัสถ์ ถ้าทำกิจของคฤหัสถ์จะบวชทำไม ก็เป็นคฤหัสถ์ก็ทำกิจได้ดีด้วย

    อ.อรรณพ นักวิชาการท่านก็ปรารภว่า ยุคนี้สมัยนี้คนก็จะทำงานที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ก็ไม่ได้หุงต้มอาหาร เพราะฉะนั้นถ้าจะไม่ให้ถวายเงินทองกับภิกษุ ๑ภิกษุก็จะไม่มีสิ่งที่จะเอาไปแลกอาหาร ๒เป็นการตัดโอกาสที่จะทำให้คฤหัสถ์ จะได้เจริญกุศลกับพระผู้ทรงเพราะเขาไม่ได้หุงข้าวปรารภเช่นนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอาหารแล้วจะบวชหรือจะ ไม่ได้บังคับให้ใครบวชเลย ต้องมีความเคารพอย่างยิ่ง ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครกล้าเปลี่ยนแปลง สิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ จากพระปัญญาที่เห็นคุณและโทษทุกอย่าง ของการกระทำที่เหมาะควร หรือไม่เหมาะควรกับเพศบรรพชิต ไม่มีใครบังคับใครให้บวช ภิกษุที่ได้อาหารประณีต หรือว่าได้อาหารที่ไม่ถูกปาก ไม่อร่อยหรืออาจจะไม่มีอะไรเลย นอกจากข้าวเหนียวก้อน ๑ มั่นคงที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยหรือเปล่า ถ้าไม่มั่นคงลาสิกขาได้ ง่ายมาก เพียงแต่บอกคนที่รู้ความว่า จะไม่เป็นภิกษุอีกต่อไป ก็สละเพศบรรพชิต และเป็นผู้ที่ตรงและบริสุทธิ์ใจและจริงใจ เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุนั้นลาสิกขา ลาศึกษาธรรม สามารถที่จะเข้าใจขึ้น จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ดีกว่าถ้าบวช และไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ขัดขวางการรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะเป็นผู้ที่ไม่ตรง มีหลายความคิดหลายเหตุผล เหตุผล ๑ คือว่าถ้าไม่มีพระภิกษุแล้วจะมีศาสนาพิธีได้ไง หรือว่าตายจะมีภิกษุมาสวดหรือ หรือไม่มีภิกษุมาเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านขึ้นบ้านใหม่ แล้วจะทำยังไงกันล่ะ คิดไตร่ตรองและเป็นคนตรง มีการศึกษาธรรมเข้าใจธรรม โดยไม่มีภิกษุผู้ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย หรือว่าให้มีภิกษุซึ่งไม่ได้เป็นพฤติตามพระธรรมวินัย แล้วก็ไม่เข้าใจธรรม แต่ต้องการให้มีภิกษุที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ต้องการยังไง ไม่เข้าใจธรรม แต่อยากมีภิกษุซึ่งไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กับการมีความเข้าใจธรรม ศึกษาด้วยความเคารพอย่างรอบคอบ ให้พระศาสนาคำสอนดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งพระศาสนาไม่ได้ดำรงอยู่ได้ด้วยวัดวาอาราม อิฐหินปูนทราย หรือจีวรเครื่องนุ่งห่ม แต่พระศาสนาดำรงอยู่ได้ด้วยความเข้าใจถูก ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นจะรักษาพระศาสนาด้วยความไม่เข้าใจ และอยากมีภิกษุเพื่อที่คิดว่าจะไม่มีภิกษุได้ยังไง กับการที่ถึงไม่มีภิกษุแต่มีผู้ศึกษาธรรม มากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น พระศาสนาก็เจริญรุ่งเรือง เพราะว่าเข้าใจถูกตามพระธรรมวินัย ว่าเพื่อขัดเกลากิเลส เลือกมีภิกษุแต่ไม่เข้าใจธรรมหรือว่าเข้าใจธรรม แต่ไม่มีภิกษุจะเลือกอย่างไหน

    ผู้ฟัง และอีกกระแสหนึ่งนะ ก็เป็นกระแสที่เบื่อหน่ายการเรี่ยไร และการที่ต้องเสียเงินเสียทองกับศาสนา

    ท่านอาจารย์ พฤติกรรมที่คุณอรรณพกล่าวไม่มีในพระไตรปิฏก และในพระธรรมวินัย แต่ถ้าไม่ศึกษาทำตามกันมาโดยที่ไม่เข้าใจ คุณอรรณพใช้คำว่าเรี่ยไร ตรงตัวที่สุดก็คือขอเงิน ใช่ไหม เอาไปทำอะไร ไม่มีในพระธรรมวินัยให้ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่มีทางที่จะดำรงคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้เลยเพราะว่าทำสิ่งที่ไม่ตรงกับที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เรี่ยไรทำอะไร ขอเงินเอาไปทำอะไร กิจของภิกษุหรือเปล่า คฤหัสถ์ทำได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นพุทธบริษัท ถ้ามีแต่ภิกษุเท่านั้นก็อยู่ไม่ได้แน่ แต่ก็มีผู้ที่มีศรัทธาแล้วก็เห็นคุณ ของการที่ผู้นั้นสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตได้ มีหรือในครั้งพุทธกาล ที่คฤหัสถ์จะไม่อนุเคราะห์ภิกษุ นิมนต์ไปฉันที่บ้านเพื่ออะไร แสดงธรรม แต่ชาวบ้านสมัยนี้นิมนต์พระภิกษุไปบ้านทำอะไร บุญคืออะไร ใช่ไหม แม้แต่บุญก็ไม่รู้ มาจากภาษาบาลีว่าปุนยะ มีจริงหรือเปล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวันทั้งหมด ไม่เว้นเลยเป็นธรรมทั้งนั้นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ โดยไม่รู้ เกิดมาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาได้ยังไง เดี๋ยวนี้ก็เห็นก็ไม่รู้ว่าไม่ได้ทำให้เห็นเกิดก็มีเห็น คิดก็ไม่ได้ทำให้คิดก็คิด ทุกอย่างไม่ต้องทำ มีใครจะหยุด ไม่ให้ธรรมเกิดได้บ้าง หยุดเลยเดี๋ยวนี้ไม่เห็นอีกต่อไป ไม่มีได้ยินไม่มีคิดได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะเหตุว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ไม่มีใครสามารถที่จะไปดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อมีเหตุที่จะต้องเกิด ใครยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ ชีวิตประจำวันถ้าไตร่ตรองสิ่งที่เป็นธรรม ไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหนเลย ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน มีอยู่ทุกขณะ แต่จะรู้ได้ต่อเมื่อฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น จึงจะสามารถรู้แม้คำเดียวที่ได้ยินจนชินหูว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งนั้นมีจริงๆ ปรากฏลักษณะหลากหลาย แต่ละ ๑ แล้วก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นจึงมีพระธรรมที่แสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เป็นอนัตตาแล้วทรงแสดงไม่ใช่ให้เราไปคิดเอง นี่ก็ดอกไม้จะเป็นอนัตตาได้ยังไง นี้ก็โต๊ะจะเป็นอนัตตาได้ยังไง แต่ทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่ง ของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เกินกว่าที่ใครจะคิดได้ เราคิดว่ามีตัวเรานั่งอยู่ที่นี่ใช่ไหม ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า รู้ไหมว่ามีอากาศธาตุ ธาตุที่ว่างเปล่าแทรกอยู่ทุกรูปกลุ่มเล็กที่สุด สิ่งที่ตัวแตกย่อยสามารถทำลายได้ได้ยินคำว่าธรรม ได้ยินคำว่ารูปธรรม ได้ยินคำว่านามธรรม ถ้าไม่ศึกษาเข้าใจไหม หรือว่าคิดเอง แต่ถ้าศึกษาเปลี่ยนความหมายไม่ได้เลย เพราะว่าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    28 ก.พ. 2568

    ซีดีแนะนำ