ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1206


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๐๖

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน

    วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ขณะที่เป็นปกติแล้วมีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นต่างหาก ตรงที่เข้าใจตรงนั้นเท่านั้นที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพราะว่าสะสมทุกอย่าง ไม่ใช่แต่เฉพาะกุศล อกุศลก็สะสม เพราะฉะนั้นขณะที่ไม่ใช่ความเข้าใจ ก็สะสมด้วยความสงสัยสะสม ยังมีไหมก็ต้องตามความเป็นจริงว่า ธาตุรู้เป็นยังไง ธาตุรู้ไม่ปรากฏต้องสงสัยแน่ และความสงสัยก็จะติดตามไป เพราะยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง ใช่ไหม ต่อเมื่อไหร่ประจักษ์แจ้งถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล คิดดูความสงสัยทั้งหมด ที่สะสมมาในแสนโกฏฏ์กัปป์ พร้อมอวิชชา และความเห็นผิด ไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาเป็นปกติ แล้วก็มีความเข้าใจธรรมที่เป็นไปตามปกติ ทุกอย่างต้องเป็นปกติเพราะว่าเป็นธรรม จนกว่าปัญญาสามารถที่จะเข้าถึงลักษณะ ของสภาพธรรมจนประจักษ์แจ้งได้ ด้วยเหตุนี้ยังคงมีความสนุกสนาน ร่าเริงตามสะสมมา แต่ปัญญาต้องรู้ ไม่ใช่ไปพยายามที่จะไม่มี นั่นคือผิด เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก เป็นเรื่องที่เห็นความเป็นอนัตตา โดยความที่ว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว แต่คนส่วนใหญ่จะไปรู้โดยจะไปทำให้เกิด แล้วสิ่งที่เกิดไม่รู้ แล้วจะเข้าถึงความเป็นอนัตตา และรู้ในความไม่ใช่เราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นธรรมต้องละเอียดมาก แล้วก็ต้องเป็นญาณปัญญาที่รู้จริงเป็นสัจจญาณที่มั่นคง จึงจะนำไปสู่การรู้จริงโดยการประจักษ์แจ้งได้ถึงที่สุดคือดับกิเลสได้

    อ.วิชัย ที่พระผู้มีพระภาคตรัสถึงว่า นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ชีวิตของบุคคลผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญาประเสริฐสุด

    อ.คำปั่น โดยสาระสำคัญก็ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ ก็แสดงถึงความเป็นจริงเพราะว่าชีวิตของแต่ละบุคคล ก็เป็นไปเพราะว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ยับยั้งไม่ได้ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญา ก็คือปัญญาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ก็จะอุปการะเกื้อกูลผู้นั้น ให้ชีวิตเป็นไปในทางที่ดีที่ถูกที่ควร คล้อยตามปัญญาที่เจริญขึ้น ไม่ว่าจะมีความทุกข์ ความเดือดร้อน ไม่ว่าจะประสบปัญหาใดๆ ก็ตาม ปัญญาเป็นที่พึ่งได้โดยตลอด อย่างชีวิตของบุคคลท่านหนึ่ง ก็คือ อุตรมานพเป็นบุคคลที่เกิดมาด้วยผลของกุศล ทำให้ท่านเป็นผู้ที่มีรูปงาม วัสสการพราหมณ์มีลูกสาวก็อยากจะยกลูกสาวของตนเองให้กับบุคคลคนๆ นี้ ก็คือมอบให้กับอุตรมานพ แต่อุตรามานพเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยน้อมไปในการบวช ก็คือในบรรพชา ก็คือไม่สมประสงค์ของวัสสการะพราหมณ์มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก็มีโจรขโมยสิ่งของแล้วก็เอาไปวางไว้ไหนบาตรของอุตรสามเณร ซึ่งตอนนั้นบวชแล้ว ทีนี้ก็มีคนจับตัวสมเณรไปให้กับวัสสการพราหมณ์ โดยเข้าใจผิดว่า คนนี้แหละคงจะเป็นโจรที่ขโมยของๆ คนอื่นมา เมื่อวัสสะการพราหมณ์ด้วยกำลังของความโกรธที่มีอยู่แล้ว เพราะว่าไม่ได้ดั่งใจที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรก ก็ตัดสิน ลงโทษสามเณรท่านนี้ ด้วยการเสียบหลาว พระสัมมาสัมพุุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลอุตรสามเณร แสดงความจริงให้ท่านฟังบรรลุธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ แล้วก็เหาะออกจากหลาวเลย เพราะว่าด้วยกำลังของฤทธิ์ที่ท่านมีด้วย นี่คือความเป็นไปของผู้ที่มีปัญญา ปัญญาเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง และผู้ที่มีปัญญานั่นแหละ คือนักปราชญ์ก็คือผู้มีปัญญาเฉียบแหลม กล่าวตามปัญญานั่นเอง ที่กล่าวถึงว่าชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา เป็นชีวิตที่เป็นอยู่อย่างประเสริฐ

    ท่านอาจารย์ รู้จริงๆ หรือยังว่าเป็นธรรม หรือเพียงฟังว่า

    อ.คำปั่น ฟังว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้จริงต้องเป็นอีกอย่างหนึ่งใช่ไหม เป็นการประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีโลภะไหม

    ผู้ฟังน มี

    ท่านอาจารย์ โดยการฟัง เห็นไหม ทั้งหมดโดยการฟัง โดยการคิด โดยการจำ โดยการเข้าใจขั้นฟัง ทำไมบอกว่าเดี๋ยวนี้มีโลภะ

    ผู้ฟัง คือจากการฟังว่าโลภะ เป็นอนุสัย แต่ว่าถ้าตอบไปว่า ตอนนี้จิตกำลังเป็นกุศลอยู่ โลภะไม่มี

    ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นเรื่องคิดที่ยาว

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ก็ดูจากสภาพจิต

    ท่านอาจารย์ เป็นเราดู แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าเพราะไม่รู้ ความจริงของสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นจึงมีความยินดีติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ เห็นไหม นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าไม่ใช่ให้เราไปรู้โลภะซึ่งกำลังเกิดดับ เพราะว่าปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะประจักษ์อย่างนั้น แต่ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่ว่าขณะใดก็ตามที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ก็จะมีลักษณะของกิเลสประการต่างๆ ที่เกิดร่วมกับความไม่รู้ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสะก็เป็นโลภะ เพราะฉะนั้นก็คือรู้ว่ามีใช่ไหม แต่ไม่ใช่รู้ตัวธรรมที่กำลังเป็นโลภะที่เกิดขึ้น แต่ว่าสามารถจะรู้ได้ ปัญญารู้ได้จริงๆ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นแม้ปัญญาความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา ฟังด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรมเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรมมั่นคงเพิ่มขึ้น ก็จะมีตัวเรา และความเห็นผิด และความต้องการก็จะแทรกเข้ามา ขวนขวายทำสิ่งซึ่งไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะมีความเป็นตัวตนที่อยากจะเข้าใจ เดี๋ยวนี้มีโลภะไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่ายังรู้ไม่พอ

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏคือจากไม่มี แล้วก็มี อย่างเสียงยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ แล้วก็มีเสียงปรากฏ ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ เกิดแล้วเสียงอยู่ไหน ดับแล้วหมดแล้วไม่เหลือ เพราะฉะนั้นก่อนมีเสียงไม่มีเสียง พอเกิดขึ้นเป็นเสียงแล้วก็หมดไป ไม่ยั่งยืนทุกอย่าง ไม่ใช่แต่เฉพาะเสียง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็ละความติดข้อง ความยึดถือ ในสิ่งที่ปรากฏด้วยความไม่รู้ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดเวลา มีคุณคำปั่นมั้ย

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีคุณคำปั่นเพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ อะไรล่ะ

    ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ประจักษ์อย่างนี้ จะละการยึดถือว่ามีคุณคำปั่นแน่นอน ยั่งยืน มีมานานแล้วด้วย แล้วก็จะมีต่อไปด้วยซึ่งไม่ถูกต้องใช่ไหม ความจริงที่จะดับความติดข้องได้ก็โดยประจักษ์ว่าไม่มี เพราะฉะนั้นที่เคยติดข้องมา ติดข้องในสิ่งที่ไม่มีแล้วก็มีให้ติดข้อง แล้วก็หมดไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย สิ่งที่เกิดต่อไม่ใช่อันเก่าเลย อันเก่าที่เราเคยชอบเคยติดข้อง เคยพอใจ ดับแล้วไม่กลับมาอีกแล้วไม่เหลือด้วย เมื่อความจริงแท้แน่นอนเป็นอย่างนี้ ก็เห็นได้อีกนานไหม กว่าจะรู้ความจริงจริงๆ จนกระทั่งไม่มีคุณคำปั่น มีธรรมที่ปรากฏทางตาแล้วก็ดับไป แต่แม้ว่าสภาพธรรมจะเกิดดับ แต่สามารถที่จะรู้ความที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคุณคำปั่น ซึ่งแต่ก่อนนี้เป็นคุณคำปั่นตัวจริงๆ เลย ไม่เกิดไม่ดับมาเป็นคุณคำปั่น โดยเป็นสภาพธรรมที่รวมกัน ที่เกิด และดับไปไม่กลับมาอีกเลยแต่สืบต่อ จนกระทั่งจำไว้มั่นคงเป็นคุณคำปั่น แต่คนที่รู้ความจริงก็สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว เพราะฉะนั้นคุณคำปั่นจริงๆ ที่เป็นคุณคำปั่นที่เที่ยงไม่มี มีแต่ธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นความจริงก็คือความจริงอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด กว่าจะละการที่เคยยึดถือ อย่างมั่นคงที่สะสมมานานแสนนาน ปัญญาก็ต้องเข้าใจอย่างมั่นคง จนประจักษ์แจ้งความจริงถึงที่สุด จึงจะค่อยๆ ละความเป็นตัวตนได้ แล้วมีคุณสุพลไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องไม่มีด้วยใช่ไหม เพราะฉะนั้นความเข้าใจจริงๆ ที่พูดแล้วสามารถที่จะรู้จริงได้ แต่ไม่ใช่ด้วยการขวนขวาย พยายาม ด้วยความเป็นตัวตน แต่ด้วยกำลังของความเห็นที่ถูกต้องว่าค่อยๆ เพิ่มขึ้น โดยวิธีใดโดยเหตุใดเป็นปัจจัย เห็นก็เห็นอย่างนี้ เมื่อเช้าเราก็พูดเรื่องเห็น แล้วก็พูดเรื่องเห็นเกิดดับ กำลังเข้าใจเห็นหรือยัง

    ผู้ฟัง ยัง

    ท่านอาจารย์ ยังก็ต้องยัง เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรงสัจจบารมี ถ้าไม่มีความเป็นผู้ตรงต่อความจริงของธรรม ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของธรรมได้ ต้องตรงจริงๆ

    ผู้ฟัง เท่าที่เรียนมาก็เป็นอย่างที่ท่านอาจารย์ว่า แต่ว่าในความรู้สึกจริงๆ คุณคำปั่นก็ยังเป็นคุณคำปั่นอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นเรา ไม่ใช่ปัญญาที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าที่มารวมกันเป็นคุณคำปั่น มีอะไรบ้าง ตาเป็นคุณคำปั่นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นเป็นคุณคำปั่นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นคนคำปันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น ในความรู้สึกจริงๆ รู้สึกว่าเป็น

    ท่านอาจารย์ แต่เวลาคิดเรื่องอื่นไม่ใช่คุณคำปั่นละ เพราะฉะนั้นแม้คิดก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นคุณคำปั่นจริงๆ ไม่มี ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้นแล้วดับสืบต่อจนปรากฏให้จำอย่างมั่นคงว่า ที่เห็นเป็นคุณคำปั่น แต่ต้องแยกความเป็นจริงก็คือว่า เห็นเกิดขึ้นจึงมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น รูปร่างสัณฐาน ทำให้จำได้ว่าเป็นใคร แต่ความจริงก็คือกว่าจะเป็นคุณคำปั่น ก็จะมีการเห็นมากมายหลายขณะ และก็มีการที่นึกถึงสิ่งที่เคยจำไว้แล้วด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่เหมือนอยู่ในความมืดหรือ อยู่ใต้มหาสมุทร มีคนบอกว่าใต้มหาสมุทรมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ความจริงก็คือจิตเจตสิกรูป เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไร ต้องเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป แต่ละ ๑ แต่ละ๑ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ จนกว่าจะรู้อย่างนั้น รู้ได้ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นพระสัมมาพระพุทธเจ้าดับกิเลสไม่ได้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่มีผู้ที่ฟังธรรม จนกระทั่งดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่เราเพียงแต่เรียนรู้ แต่ว่าเราไม่ได้รู้สึก

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา แม้ความเข้าใจก็ต้องเกิดจากการฟัง เพราะฉะนั้นความเข้าใจก็เกิดแล้วก็ดับ ไม่ได้เข้าใจตลอดเวลา ชั่วขณะที่ฟังเข้าใจ ขณะนั้นกำลังเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง และเข้าใจในสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ เพราะฟังเรื่องนั้น ชั่วขณะนั้นเท่านั้นแล้วก็ดับ แล้วสภาพธรรมก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมมานาน เป็นคิดเรื่องอื่น เป็นชอบเรื่องอื่น เป็นสนใจเรื่องอื่น ลืมเรื่องนั้นไปแล้ว ขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ สวยดี ดอกไม้ พวงมาลัยแค่หันไปทางอื่นหมดละ และความจริงที่เร็วกว่านั้นคือ ไม่ต้องหันไปไหน สภาพธรรมที่ปรากฏ ก็จะปรากฏตามความเป็นจริงกับปัญญาที่สามารถจะรู้ได้ เพราะได้สะสมมา ถึงความเป็นปัจจัยที่จะทำให้ปัญญานั้นสามารถเข้าใจความจริงได้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจคำว่าธรรมก่อน มั่นคงบริบูรณ์ สมบูรณ์โดยประการทั้งปวง ว่าธรรมมีจริงแต่ไม่ใช่ใครเลย แล้วก็ไม่ใช่ของใครด้วย แต่ละคำ เก็บไว้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งมีปัจจัยที่สามารถที่จะระลึกถึง ขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ มาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เหมือนขณะนี้ทุกคนฟังธรรมมานานด้วยกัน แต่มีการรู้ไหมว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีหรือไม่มี ไม่มีจนกว่าจะมี ก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้รู้อย่างนี้ จนกว่าจะรู้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้ไฟเกิดขึ้น อยู่ดีๆ ให้ไฟเกิดขึ้นได้ ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีปัจจัยเมื่อไหร่ ไฟก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นความเข้าใจก็เหมือนกัน หรือสภาพธรรมทุกอย่างก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้ อย่างคนตาบอด จะให้เขาเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง คุณตั้มบอกคงไม่ได้ แต่พูดถึงเรื่องธรรม

    ท่านอาจารย์ เหมือนกัน

    ผู้ฟัง เราค่อยๆ สอนไม่ได้หรือ

    ท่านอาจารย์ กำลังไง กำลังค่อยๆ ฟังทีละคำทีละคำ แล้วก็เข้าใจทีละคำนั่นคือค่อยๆ สอน ค่อยๆ พูด ค่อยๆ เข้าใจทีละ ๑ เข้าใจสิ่งนั้นจริงๆ นามธรรมเป็นสภาพรู้ รูปธรรมมีแต่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นสัตว์บุคคลสิ่งที่มีชีวิต เพราะมีธาตุรู้จิต และเจตสิกเกิดรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างเห็นอย่างนี้ โต๊ะเก้าอี้ไม่เห็นอะไร ต้นไม้ไม่เห็นอะไร แต่เห็นมีจริงๆ เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้ แต่ว่าเห็นเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นแล้วต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ๑ เห็นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น ได้ยินก็ต้องมีสิ่งที่ถูกได้ยินคือเสียง เวลากลิ่นปรากฏก็หมายความว่า มีสภาพที่กำลังรู้กลิ่นนั้นจึงปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุรู้โลกก็ไม่ปรากฏอะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดเมื่อมีปัจจัย ไม่ใช่เรา ให้เข้าใจว่าทุกอย่าง ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด เกิดไม่ได้เลย ใครก็ทำให้เกิดไม่ได้ แต่พอมีปัจจัยแล้วจะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ถ้าสะสมความเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย นานมาก กัปป์หนึ่ง ๑๐๐,๐๐๐กัปป์ ถึงเวลาจะไม่เข้าใจก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าสะสมมาจากการที่เข้าใจทีละน้อยมาก นิดๆ หน่อยๆ แต่นานจนกระทั่งความเข้าใจนั้นเข้าใจทั่ว เข้าใจเพิ่มขึ้นมั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นสภาพธรรมก็ปรากฏ ตามความเป็นจริงที่ได้ฟัง เกิดดับนี้แน่นอน ถ้าไม่ประจักษ์การเกิดดับ จะละกิเลสได้ยังไง ก็ยังรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และรวมๆ กันก็ไม่ปรากฏการเกิดดับ เพราะอันหนึ่งดับอันหนึ่งเกิด สืบต่ออยู่เรื่อยๆ จะปรากฏการเกิดดับได้ยังไง แต่เมื่อรู้สิ่งหนึ่ง ลักษณะนั้นจะรู้ถึงการเกิด และการดับ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นมองไปแล้วรู้สึกว่าสักวันหนึ่ง ศาสนาพุทธคงสูญไป

    ท่านอาจารย์ พระพุทธศาสนาถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็ดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ อิฐหินปูนทรายสวยงามเหลือเกิน ดำรงพระศาสนาไว้ได้ไหม ให้หิน ปูน ทราย สร้างเสียสวยเลยจะดำรงพระศาสนาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อมีความเข้าใจคำที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ค่อยๆ เข้าใจกันขึ้น พระศาสนาก็ไม่สูญหาย เพราะฉะนั้นพระศาสนาอันตรธานแล้วสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด แต่พระศาสนายังดำรงอยู่ ตราบใดที่มีความเข้าใจคำของพระองค์

    ผู้ฟัง ก็มีอยู่ทางเดียวคือสิ่งที่กำลังทำอยู่เดี๋ยวนี้

    ท่านอาจารย์ ที่กำลังให้ได้เข้าใจ มีไว้ทำไม ปรากฏทำไม ปรากฏให้ไม่รู้ต่อไป ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พอได้ฟังคำแล้ว สิ่งที่มีนี่แหละปรากฏให้เข้าใจว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ ตรงกับความเป็นจริงของสิ่งนี้ไหม ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีแค่นี้ แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับเพราะอะไร เพราะเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ และก็รวมกันจนเป็นนิมิต พอเห็นก็เป็นรูปร่างสัณฐาน จำไว้แต่ทรงแสดงโดยละเอียด แต่ละ ๑ ขณะจิต ว่าขณะหลับสนิทไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน แต่จะหลับตลอดไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีปัจจัยให้เห็นเกิดเห็นก็เกิด มีปัจจัยให้ได้ยิน ได้ยินก็เกิด เกิดแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เห็นตลอดเวลา หรือว่าไม่ใช่ได้ยินตลอดเวลา ทุกอย่างสั้นมาก แล้วถ้าไม่ประจักษ์การดับไปจริงๆ จะไม่รู้เลยว่าหลงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเข้าใจว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วมียั่งยืน ถ้ารู้ว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มี จะรู้ตัวเองเลยใช่ไหม ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าติดข้องในสิ่งที่ไม่มี คิดดู ระดับนั้นเลย ความไม่รู้ไม่มี แล้วยังติดข้อง ยังเข้าใจว่ายังอยู่ยังมี

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ ที่บอกว่าไม่มีคุณคำปั่น แต่เป็นจิตที่เกิดดับสืบสืบต่อ

    ท่านอาจารย์ มีคุณคำปั่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจแล้วใช่มั้ย ไม่มีคุณคำปั่น แต่มีอะไร

    ผู้ฟัง จิตที่เกิดดับสืบต่อ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตเกิดดับสืบต่อจะมีคุณคำปั่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจ ตามความเป็นจริง มั่นคงหรือยัง ว่าไม่มีคุณคำปั่น แต่มีธรรม

    ผู้ฟัง ตอนนี้ก็กำลังเรียนรู้ไป แต่ที่ถามว่าถ้าอย่างนั้นจิตที่เกิดดับสืบต่อ เราจะเรียกว่าเป็นอะไร เพราะว่าอย่างกรณี คุณคำปั่นกับคุณธิดารัตน์อย่างนี้ จิตที่เกิดดับสืบต่อของคุณคำปั่น มันก็เกิดจากกรรมกิเลสอะไรของคุณคำปั่น ไม่กระโดดข้ามมาที่จิตของคุณธิดารัตน์ อันนั้นแต่ละส่วนที่ไม่ใช่ของคุณคำปั่น จะเรียกว่าเป็นอะไร ที่เกิดดับสืบต่อ

    ท่านอาจารย์ ไม่เรียกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่เรียกก็ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่เรียกแล้วมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ใช่ไหม ว่าหมายความถึงไหน นี่หรือนั่น เพราะฉะนั้นธรรมเองไม่มีชื่อ ไม่ต้องเรียกชื่อเลย เกิดขึ้นทำหน้าที่การงานแล้วก็ดับไป แต่จะรู้ได้ยังไงว่าหมายความถึงธรรมอะไร ถ้าไม่เรียกชื่อต่างๆ ให้รู้ เพราะฉะนั้นชื่อมีเพื่อให้รู้ความหมายว่าหมายความถึงอะไร ถ้าเราพูดถึงจิตเจตสิก ทุกคนอยู่ที่นี่ ความจริงก็คือต้องมีจิต เจตสิก รูปเกิดดับสืบต่อ แต่ไม่รู้ว่าไหนล่ะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงต้องมีชื่อเพื่อให้เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นชื่อทุกชื่อ ส่องถึงหรือแสดงถึงหรือหมายถึงสิ่งที่มีในขณะนั้น เป็นแต่เพียงชื่อ ให้เข้าใจถูกต้องว่าหมายความถึงอะไร เปลี่ยนชื่อคุณธิดารัตน์เป็นคนคำปั่นก็ได้ แต่เพื่ออะไร หมายความว่าอะไร ให้รู้เท่านั้นเอง แต่เปลี่ยนสภาพธรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นชื่อสำหรับให้เข้าใจความหมาย

    ผู้ฟัง อย่างกรณีของคุณคำปั่นก็คือว่า เป็นการเกิดดับสืบต่อ จนกว่าจะพ้นจากสังสารวัฎฏ์

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เฉพาะคุณคำปั่น ทุกอย่างที่เกิดดับ แต่มีปัจจัยทำให้ธรรมเกิดสืบต่อ ไม่มีระหว่างคั่น จนปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานให้จำได้ เพราะฉะนั้นในเพื่อไตรปิฏก จะมีข้อความว่ารูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต เพราะทรงจำแนกธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้กับสภาพที่ไม่รู้ นามธรรม และรูปธรรม ตามความยึดถือ เช่นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่มีอะไรเลย นอกจากปรากฏยังติดข้อง คิดดูก็แล้วกัน เหลือหลายไหมความติดข้อง แค่ปรากฏติดละทันที เพราะฉะนั้นให้รู้ได้เลย ว่าตลอดเวลา อวิชชากับโลภะมากมายมหาศาล แม้แต่กำลังฟังอย่างนี้ ถ้ากล่าวโดยวิถีจิต ปัญญาที่กำลังค่อยๆ เข้าใจ เกิดท่ามกลางอกุศล เพราะอะไร หลังจากเห็นดับแล้ว จิตที่เกิดสืบต่อ ยังมีสิ่งที่กระทบตาเป็นอารมณ์ รูปนั้นยังไม่ดับ แล้วก็ปัจจัยที่สะสมมาที่จะมีความไม่รู้ อวิชชามีไหม เกิดแล้วดับแล้วก็ไม่รู้ แต่เพราะไม่รู้ จึงเป็นอาสวะ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ว่าเร็วปานนั้นยับยั้งไม่ได้เลย แม้รูปยังไม่ดับก็ติดข้องในรูปละ และยังจำไว้ และยังเกิดนึกถึงอีก ซ้ำเติมความติดข้องเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นรูปแต่ละรูป เป็นที่ยินดีต้องการอย่างยิ่ง ในภพภูมิหรือในโลกที่มีรูป เราจะยินดีในอะไรถ้าไม่ยินดีในรูป เพราะมีรูปให้เห็นมีรูปให้ได้ยิน เพราะฉะนั้นก็ทั้งๆ ที่เกิดดับไม่ปรากฏเป็นนิมิต เพราะฉะนั้นเราติดข้องในรูปนิมิต ในรูปนิมิตที่ปรากฏเป็นคนนั้นคนนี้

    ผู้ฟัง ขอบคุณมาก

    อีก.คำปั่น ความจริงแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งใช่ไหม แต่ว่าเมื่อกล่าวโดยประมวลก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ที่เป็นจิตเป็นเจตสิกแล้วเป็นรูป เมื่อสะสมมาต่างกัน มีเหตุต่างกัน การได้รับผลจึงแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงเป็นแต่ละ ๑ แม้แต่ที่กล่าวถึงท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี เป็นผู้ที่ถวายพระวิหารเชตวันไว้ในพระพุทธศาสนา เพราะมีธรรมที่เกิดขึ้น ถ้าบอกว่าเป็นจิตเป็นเจตสิกเป็นรูป หรือเป็นขันธ์โน้นขันธ์นี้ จะรู้ได้อย่างไรว่ากล่าวถึงใคร ก็ต้องกล่าวถึงบุคคลคนนั้น ซึ่งมีบุคคลคนนั้น ก็เพราะว่ามีธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปนั่นเอง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    17 ต.ค. 2567