ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1209


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๐๙

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน

    วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ จิตเห็นก็ไม่ได้ปรากฏ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ปรากฏกับจิตเห็นด้วย ไม่ใช่ปรากฏกับใครสักคน แต่ปรากฎชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างต้องเกิด เกิดแล้วก็ต้องดับด้วย เพราะฉะนั้นขณะนี้จิตเห็นสืบต่อ โดยมีจิตอื่นคั่นจนไม่รู้เลยว่ามีจิตอื่นคั่น เหมือนมีเห็นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแสดงความรวดเร็ว และความไม่รู้อย่างยิ่งว่าไม่รู้อะไร ไม่รู้หมด แต่รับฟังเริ่มเข้าใจว่าจะเป็นเราไม่ได้เลยเพราะไม่ได้มีเห็นตลอดเวลา และเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏก็ต้องเกิด เกิดแล้วก็ต้องดับไป ไม่ได้มีแต่สิ่งที่ปรากฏอย่างเดียว เสียงก็มีในขณะที่เหมือนเห็นอยู่ตลอดเวลา ก็แสดงว่าเป็นธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดดับสืบต่อรวดเร็ว ทำไมกล่าวว่าเกิดดับ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ดับ ไม่มีอย่างอื่นปรากฏ ต้องมีสิ่งเดียวที่ถูกเห็น ถูกรู้ปรากฏจะมีสิ่งอื่นไม่ได้ แต่เมื่อมีสิ่งอื่นปรากฏ หมายความว่ามีธาตุรู้สิ่งอื่นเกิดขึ้น ไม่ใช่ธาตุรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ หมายความว่ามีธาตุรู้ ที่กำลังรู้สิ่งนั้น แต่ทั้งหมดก็ไม่เคยรู้เลย เป็นทุกขณะในชีวิต ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติด้วย ไม่เคยรู้ความจริงเลย แต่ความจริงต้องเป็นความจริง

    เพราะฉะนั้นเกิดแล้วต้องจากโลกนี้ไป ต้องตาย เกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดนึก ต้องสุข ต้องทุกข์ แล้วก็หมดไป หมดไป หมดไปไม่เหลือเลย ตายก็คือว่าจากทุกอย่าง ไม่มีอะไรติดตามไปในชาติต่อไปได้เลยทั้งสิ้น อย่างชาตินี้เมื่อวานนี้ยังอยู่ที่นี่ใช่ไหม วันนี้ก็ยังอยู่ที่นี่เหมือนที่เก่า แต่ความจริงไม่ใช่ แต่ว่าถ้าเกิดใหม่ จะไม่ใช่ที่นี่เลย ไม่ว่ากี่วันก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ที่นี่ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นความจริงแต่ละ ๑ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย หาอีกไม่ได้เลยสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นก็คือว่ามีแต่ไป ขณะเมื่อกี้นี้ยังเหลือไหม

    อ.ชุมพร เหลือไว้แต่ความจำว่ามี

    ท่านอาจารย์ ความจำเมื่อกี้นี้เหลือไหม

    อ.ชุมพร ไม่เหลือ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพูดถึงอะไร ทุกอย่างแต่ละ ๑ ต้องมีความเข้าใจมั่นคง เริ่มต้นว่าไม่ใช่เราแต่รู้ยาก เพราะไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แม้แต่คำที่ได้ฟังก็แสนยาก เพราะเหตุว่าความจริงนี้ถูกปกปิดไว้นานมาก เพราะฉะนั้นจะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่เกิดดับไม่ใช่เรา แต่เป็นความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ความเข้าใจเกิดแล้วก็ดับไป แล้ว ก็มีความสงสัย มีความไม่รู้ มีโลภะ มีทุกอย่างเป็นปกติ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าธรรมไม่ใช่เรา มั่นคงโดยการที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพียงแต่ว่าขณะนั้นเข้าใจหรือไม่เข้าใจ

    อ.ชุมพร ก็เห็นปึ๊บ คิดไปแล้วแต่ ลวงให้เห็นว่ายังมีอยู่ ทั้งๆ ที่เกิดจากความคิด

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วรู้เลยว่าอีกนานไหม กว่าจะเข้าใจถูก และความเข้าใจถูกแล้วจะเกิดขึ้น และรวดเร็วไหม เพราะแค่คำแรกก็ยากละ สิ่งที่มีจริงมีจริงๆ กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่ใครไม่ใช่ของใคร แต่ละ ๑ ด้วย แยกจากกันรวมกันก็ไม่ได้ เพราะว่าแต่ละ ๑ มีลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นตามปัจจัย ที่จะต้องเป็นอย่างนั้นแต่ละ ๑

    อ.ชุมพร ถ้าถามว่าเมื่อวานมีไหม ก็ต้องตอบว่ามีจริงๆ ขณะที่บอกว่ามีจริงๆ ก็ไม่รู้ว่า ไปยึดสิ่งที่ไม่มีแล้วว่ามีอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่ต้องเมื่อวานนี้เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยึดถือสิ่งที่มีว่ามี ไม่เห็นดับเลย และเป็นอย่างนี้มานานแล้วด้วย ข้อสำคัญต้องรู้ว่าใครไปบังคับไม่ได้ จะให้รู้เร็วๆ เป็นไปไม่ได้เลย จะให้หมดกิเลสก็ไม่ได้ ตราบใดที่ไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดพอใจ ติดข้อง นำมาซึ่งเรื่องราวต่างๆ แล้วจะไปหมดกิเลสได้ยังไง โดยการไม่รู้

    อ.ชุมพร พอฟังท่านอาจารย์แล้ว มีความรู้สึกว่าทุกวันๆ ก็สะสมความไม่รู้ โอกาสที่จะ มีความเข้าใจสักนิดนึง ก็รู้สึกว่ายากแสนยาก ก็ยังสะสมไม่รู้อีกมากมายมหาศาล

    ท่านอาจารย์ หมิ่นเหม่ต่อการที่จะไปอบายไหม เพราะอบายเกิดจากความไม่รู้

    อ.ชุมพร ท่านอาจารย์ บอกว่าหมิ่นเหม่แต่ตัวเองแทบจะไม่มีที่ที่จะหมิ่นเหม่ไปเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์ทุกวัน

    ท่านอาจารย์ แต่อะไรนำมาสู่โลกนี้ ไม่ไปสู่อบาย ๕ เห็นไหม เรามาแล้วสู่โลกนี้ต้องมีสิ่งที่เป็นเหตุที่จะให้มาสู่โลกนี้ ไม่ไปสู่อบาย

    อ.ชุมพร ขอบคุณมากท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ มาจากไหนก็ไม่รู้ เพราะกรรมอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ยังมาได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นกุศลกรรม เป็นกรรมดีที่เห็นประโยชน์เห็นคุณค่าของการที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้นขณะที่มีความเข้าใจเกิดขึ้น ก็เป็นจิตที่ดีที่ประกอบด้วยโสภณเจตสิกไม่ไปอบาย

    อ.ชุมพร เมื่อก่อน ก็ห่วงว่าตัวเองจะไปไหน ตั้งใจจะฟังธรรมให้ได้กุศลเยอะๆ แต่ฟังท่านอาจารย์ หมิ่นเหม่เหลือเกิน แต่ก็ยังมีโอกาส เพราะท่านอาจารย์ให้ความสบายใจว่ามาโลกนี้ได้ยังไง ก็คงจะต้องดำเนินหนทางนี้ต่อ

    ท่านอาจารย์ มาโลกนี้ได้ยังไง แล้วยังได้ฟังธรรมด้วย ได้ยังไง มีใครบังคับมาหรือเปล่า หรือมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ได้ยินได้ฟัง รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และรู้ว่าชีวิตสั้นมาก สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดจะไม่มีอะไรเทียบเท่า กับการที่สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงจริง

    อ.ชุมพร ท่านอาจารย์พูดถึงทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย มาที่นี่ก็ได้เหตุปัจจัย

    ท่านอาจารย์ แต่ความเป็นตัวตน มันมีมากจนกระทั่ง มันจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่จะไปวันพรุ่งนี้ หรือภพหน้า เขาก็ยังจัดการไม่เลิก แม้แต่ฟังธรรม เข้ามาฟังธรรมเขาก็มาจัดการเรื่องฟังธรรมอีก

    ท่านอาจารย์ รู้แล้วจะประมาทไหม

    อ.ชุมพร ตอนนี้ไม่ประมาท แต่หลังจากฟังเสร็จแล้ว

    ท่านอาจารย์ แม้แต่คำว่าไม่ประมาทคำเดียว ความลึกซึ้งระดับไหน ถ้ามีความเป็นตัวตนไม่ประมาท รีบฟังธรรมเพื่อจะได้เข้าใจ มาแล้วหนีไม่พ้นบ่วงของกิเลส บ่วงใหญ่มาก คลุมทุกอย่างไว้ ไม่ว่าจะไปทางไหนอยู่ในบ่วง แต่ปัญญาเริ่มเห็นความจริงว่าไม่มีใคร เพราะฉะนั้นทำอะไรไม่ได้ แต่มีเหตุปัจจัยที่จะให้ความเข้าใจเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นความเข้าใจอันนี้ จะทำให้ไม่ละทิ้งโอกาส ที่จะฟังธรรมเพื่อเข้าใจ อย่าลืมเพื่อเข้าใจไม่ใช่เพื่อเรา รีบร้อนกลัวไปอบาย เลยฟังธรรมใหญ่ หนีไม่พ้นบ่วงกิเลส บ่วงโลภะ แต่ถ้าฟังเพราะรู้ว่าไม่เข้าใจมาตั้งแสนโกฏฏ์กัปป์ เกินกว่านั้นอีก สมัยที่พระโพธิสัตว์คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ กว่าจะได้รับคำพยากรณ์ แล้วต้องบำเพ็ญพระบารมี อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ เพราะฉะนั้นที่เกิดมาแล้วนานเท่าไหร่ ไม่จำเป็นต้องคิด เพราะคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่านานแสนนาน และถ้ายังคงไม่รู้ต่อไป ก็จะอยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำไม่เข้าใจทีละเล็กน้อย ก็เป็นตอในวัฏฏะ ออกไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์หรือไร้ค่า เพียงแต่ว่ามีกำลังไม่พอ ที่จะถึงความจริงของคำที่ได้ฟัง เช่นขณะนี้ไม่ใช่เรา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เห็นเกิดหลังเห็นแล้วดับ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย ค่อยๆ เข้าใจกว่าจะค่อยๆ ปรุงแต่ง จนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นเพราะได้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏอีกละ กำลังรับประทานอาหาร มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะมีการกระทบ เห็นไหม ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ทีละนิดทีละหน่อย ค่อยๆ ปรากฏจนกระทั่งพอได้ยินคำนี้ คนที่ได้ฟังมานานแสนนาน สามารถละความติดข้อง ที่ใช้คำว่าปล่อยวาง แล้วก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ว่าคนที่สะสมความเข้าใจธรรมมากเท่าไหร่ก็ตาม ตกนรกก็ได้ ถ้ายังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ ถ้ายังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ว่าสิ่งที่สะสมมาก็มีอัธยาศัยต่างๆ กัน ถ้าเราฟังเรื่องในชาดกในพระชาติต่างๆ เราก็เห็นได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งเห็นค่าของแต่ละคำ ที่ได้ฟัง และเข้าใจ แต่ไม่ใช่ไปเพื่อเราจะไปดับกิเลส จะเป็นพระโสดาบัน แต่ว่าขณะที่เข้าใจเป็นขณะเดียว ที่จะค่อยๆ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ตามที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ โอวาทปาฏิโมกข์ ละชั่ว ทำดี ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ทุกคำลึกมาก ลึกซึ้งมาก แล้วก็ต้องอาศัยความเข้าใจที่ไตร่ตรองมั่นคง เพื่อเข้าใจถูกต้อง เพื่อไม่คลาดเคลื่อน เพื่อไม่หลงผิดเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่เพื่อจะไปประจักษ์แจ้งการเกิดดับเดี๋ยวนี้ เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ของโลภะ ไม่ใช่หน้าที่ของความเห็นผิด ไม่ใช่หน้าที่ของความเป็นตัวตน แต่ว่าเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เห็นถูก ค่อยๆ เข้าใจความจริง จนสามารถที่จะถึงเวลา ที่สภาพธรรมไม่มีเครื่องกั้นเลย เพราะความเข้าใจ ค่อยๆ ละความติดข้องเพราะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้เมื่อเข้าใจขึ้น ความไม่รู้ค่อยๆ ละคลายไป จนกระทั่งสภาพธรรมปรากฏ ปิดกันไม่ได้ กับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา ไม่มีทางใครจะไปบังคับพยายามสักเท่าไหร่ ให้ปัญญาระดับนั้นเกิด ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นการฟังอย่างนี้ละคลายความต้องการไหม

    อ.ชุมพร ละคลาย

    ท่านอาจารย์ หนทางเดียว แทนที่จะไปหวัง จะรีบร้อนไปทำ อย่างนั้นอย่างนี้ ก็รู้ตามความเป็นจริง ว่าทุกอย่าง อาหารอร่อยปัญญาก็เกิดได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่เกิดเพราะความไม่รู้สะสมมา ถึงเวลาใดของสภาพธรรมใดจะเกิด สภาพธรรมนั้นเกิดแล้วใครยับยั้งไม่ได้เลย แต่ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นไม่มีการกีดกั้นโดยสถานที่ โดยสิ่งแวดล้อม หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ผู้ที่มีปัญญาเริ่มเกิดปัญญารู้ว่า ปัญญานี้เกิดจากที่ไหน ถ้าเราไปฟังเพลง จะมีใครมาพูดเรื่องธรรมไหมให้เราได้ฟังอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ใช่ไหม ถ้าเราไปเล่นกีฬาสนุกสนาน ก็ไม่มีใครมาพูดคำอย่างนี้ แต่เรารู้ว่าสามารถจะได้ยินได้ฟังคำนี้อีกเมื่อไหร่ นี่คือปัญญาที่รู้จักสัมปชัญญะ ว่าอะไรควร สาตถกสัมปชัญญะ อะไรเป็นสิ่งที่เหมาะควรแก่การที่ ความเข้าใจธรรมจะเกิดได้ ไม่มีการบีบคั้นตัวเองให้พยายาม นั่นคือความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นธรรมละเอียดมาก เป็นไปตามการสะสม ปัญญาที่เข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะฟังธรรมไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ไหนที่มีโอกาส หรือพอมีปัจจัยที่จะไม่ฟัง เครื่องพิสูจน์ปัญญา รู้ไหมว่านั่นไม่ใช่เรา ยังไม่พอที่จะรู้ก็รู้ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการที่ปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจซอกแซก เซาะไป ละเอียดจนกระทั่งรู้ว่าไม่ว่าอะไรก็เป็นธรรม ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่รู้ว่าเข้าใจคืออย่างไร ไม่ต้องใช้คำว่าปัญญาก็ได้ เห็นเดี๋ยวนี้เข้าใจเห็น พอพูดถึงเห็นไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย เสียงรถยนต์ เสียงอะไรก็ไม่ได้คิด พูดถึงเห็นกำลังมีเห็น เริ่มเข้าใจเห็นหรือยัง ฟังมานานเท่าไหร่ไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องไปตอบใคร ไม่ต้องไปเร่งรัด แต่ว่าจากการที่มีเหตุปัจจัยที่ได้ฟัง มีความเข้าใจขึ้น สามารถที่จะรู้ไหมว่า ขณะไหนไม่ใช่เพียงฟังเรื่องเห็น แต่กำลังเข้าใจเห็น แล้วมีอะไรอีก แข็งก็มี กำลังเริ่มเข้าใจแข็งหรือเปล่า กำลังคิดก็มีเริ่มเข้าใจคิดรึเปล่า ตั้งเยอะแยะไปหมด ยังไม่ได้เริ่มเข้าใจเลย ก็เป็นธรรมที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าใจได้ มีอย่างเดียวเข้าใจขึ้น จากการฟัง การไตร่ตรอง การพิจารณา โดยขณะนั้นต้องค่อยๆ เข้าใจในความเป็นธรรมก่อน จึงสามารถที่จะความเป็นเรา

    อ.วิชัย ปัจฉิมโอวาทที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุทั้งหลาย ว่าบัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ท่านอาจารย์ แสดงว่าคำที่พระองค์ตรัสทุกๆ คำ เป็นการเตือนให้เข้าใจความเป็นจริงของสังขารทั้งหลาย ที่จะเป็นเหตุให้ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม จะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ แต่พอได้ยินคำว่าสังขาร เข้าใจไหม ฟังมามาก เมื่อกี้เองไม่ใช้คำนี้ แต่เป็นคำนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดขึ้น เกิดขึ้นเองตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยปัจจัย เห็นต้องอาศัยตา ต้องอาศัยสิ่งที่กระทบตาได้ เพียงคำว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมดา ต้องอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น เกิดพร้อมกัน เกิดแล้วก็ดำรงตั้งมั่นไม่ได้ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เกือบจะกล่าวได้ว่าทันทีที่เกิดก็ดับ รวมความว่านี่คือสังขารคำเดียวในภาษาบาลี แต่ภาษาไทยเรา เราจะไปบอกใครว่าสังขารไม่เที่ยง เขาก็คิดว่าร่างกายใช่ไหม คนส่วนใหญ่ก็พูดถึงสังขาร ก็คิดถึงแต่ร่างกายอย่างเดียว นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะให้ไปคิดเอง เกิดแล้วก็ตายก็บอกว่าสังขาร ดอกไม้ไม่เห็นเป็นสังขารเลย โต๊ะก็ไม่เห็นเป็นสังขาร ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ใช่ไหม เพราะฉะนั้นในภาษาไทยที่เราเข้าใจ พอกลับไปถามว่า ใครรู้จักสังขารบ้าง ต้องรู้ว่าสังขารหมายความถึงสิ่งที่ได้ฟังนั่นแหละ คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเดี๋ยวนี้ที่มีเพราะเกิดแล้วโดยปัจจัย

    เพราะฉะนั้นสังขารธรรม ตลอดเวลาไม่เคยขาดเลย มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดดับสืบต่อ แต่ไม่รู้ว่าเป็นสังขาร เพราะฉะนั้นถ้าไปได้ยินปัจฉิมวาจาใช่ไหม เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ก่อนนั้นก็คือสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง คนฟังเป็นชาวมคธ ลองพูดภาษาไทยสิ เขาก็ไม่รู้เรื่อง แต่ในภาษาของเขาเอง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แม้แต่ความเกิดก็ต้องรู้ว่าเป็นธรรมดา นี่ไม่ใช่มีใครไปทำ แต่เป็นธรรมดาของสิ่งนั้นที่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ได้ยินคำนี้เข้าใจไหมว่าดับ คำว่าไม่เที่ยง เห็นไหม ก็แสดงว่าปัญญานี่ สามารถที่จะไตร่ตรอง สามารถที่จะเข้าใจ แม้คำซึ่งคนอื่นอาจจะไม่ชินหู เพราะฉะนั้นคำว่าไม่ชินหู ทำให้ไม่เข้าใจอย่างมั่นคง เทียบการสะสมความเข้าใจในอดีต ท่านพระสารีบุตรได้ยินอย่างนี้ ภาษาไหนก็ตามแต่เข้าใจถึงระดับขั้นอย่างนั้น เพียงฟัง ปัญญาที่ได้สะสมมาพร้อมที่จะเกิดรู้แจ้งอริยสัจจธรรม วิปัสสนาญาณปรากฏ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมอย่างนั้นแหละ อย่างที่คนอื่นเขาอาจจะได้ฟังอย่างท่านพระสารีบุตรฟังพร้อมๆ กัน คำเดียวกัน เสียงเดียวกัน แต่คนที่ปัญญาสะสมมา พร้อมที่จะประจักษ์แจ้งสภาพธรรม สามารถประจักษ์แจ้งความจริงโดยที่ว่า ตามที่ได้สะสมปัญญาที่สมควร แก่การที่จะประจักษ์แจ้งความจริงนั้นระดับไหน ก็คือสิ่งธรรมดา เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ขณะนี้สิ่งธรรมดาที่ยังไม่ปรากฏ ตามคำที่ได้ฟัง ไม่ใช่เพราะอะไรเลย เพราะความไม่รู้ของแต่ละ ๑ ที่สะสมมาในสังสารวัฎฏ์ โทษใครได้ไหม

    อ.วิชัย ดังนั้นความเข้าใจขึ้น ก็แสดงถึงความไม่ประมาท ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงพร้อม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจากไม่เคยฟังเลย ไม่ประมาท ที่เห็นประโยชน์ ฟังแล้วยังไม่ประมาททุกคำ ที่จะเข้าใจให้ตรง ไตร่ตรองให้ถูกต้อง ตามเหตุตามผล เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าใครก็ตาม ไม่มีความรู้อะไรเลย ไปสำนักปฏิบัติ คิดว่าเดินนั่งยืนนอนทำนั่นดูนี่แล้วจะรู้สภาพธรรม แม้แต่สิ่งที่ปรากฏ ก็ไม่รู้ ไม่มีทางจะรู้เลย เพราะฉะนั้นการที่กล่าวให้เข้าใจตามความเป็นจริง ก็เป็นการอนุเคราะห์ให้ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไตร่ตรองว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้ไม่หลงผิด แต่ละคำไม่ประมาทจริงๆ ธรรมดาอย่างนี้เลยปกติ อย่าไปคิดทำอะไร เพียงแต่ว่าฟังแล้วเข้าใจขึ้น ปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา เกิดเมื่อไหร่ก็รู้ว่าขณะนั้นเข้าใจ ไม่เกิดก็รู้ว่าไม่เข้าใจ ก็เป็นปกติเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นไม่มีการผิดปกติ

    ผู้ฟัง ฟังธรรมที่ท่านอาจารย์แสดงเรื่องอภิธรรมจิตเจตสิก ขณะที่ฟังท่านอาจารย์เข้าใจ ขณะนั้นเป็นขั้นคิด ไม่ใช่ขั้นรู้จริงๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่ก็ได้ประโยชน์มากมาย ตามความคิดของกิน

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความรู้ถูกต้อง ที่รู้ว่าธรรมลึกซึ้งละเอียด และยังไม่รู้ ถ้าใครหลงเข้าใจว่ารู้แล้ว ผิดทันที ประมาทในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าแต่ละคำที่ตรัส จากการที่ตรัสรู้ ปัญญาระดับไหนที่สามารถที่จะกล่าวคำนั้นได้ เพราะฉะนั้นเพียงแต่รู้ว่าทุกอย่างที่มีเป็นสิ่งที่มี แปลคำว่าธรรมออกมา มีจริงๆ แล้วต้องเกิดขึ้นด้วย ไม่มีใครไปทำให้เกิด ก็เข้าใกล้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าไม่ใช่ไปมีคนที่ทำให้เกิดได้เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นแต่ละคำ นำไปสู่ความเข้าใจความจริง ซึ่งเป็นอนัตตาทั้งหมด อย่างจิตเป็นธาตุรู้ไม่ให้เกิดได้ไหม เกิดแล้วไม่ให้ดับได้ไหม แค่นี้ก็เห็นความเป็นธรรมแล้ว ว่าเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้มีมาก ที่รู้ว่าไม่รู้นั้นถูกต้อง บางคนไม่รู้แต่จะไปทำให้รู้ขึ้น ผิดทันที ไม่รู้แล้วจะไปทำให้รู้ได้ยังไง ทำยังไง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี นานเท่าไหร่ก่อนได้ตรัสรู้ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ได้ยินได้ฟังธรรมด้วย ไม่ใช่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แล้วปัญญาของพระโพธิสัตว์ ซึ่งจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับปัญญาของเรา ในแสนโกฏฏ์กัปป์ที่ผ่านมาจะเท่ากันหรือ

    เพราะฉะนั้นความไม่รู้ต้องมีมาก เพราะฉะนั้นเพียงฟังแล้วเข้าใจว่า ทุกอย่างที่มีจริง มีจริงๆ โดยที่ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น เป็นบันไดก้าวแรกที่มั่นคงที่จะไม่ไปผิด แต่ถ้าคิดจะทำให้รู้ขึ้นกว่านี้เมื่อไหร่ ผิดทันที เพราะว่าตอนที่ไม่เคยฟังเลยไม่รู้เลยทั้งสิ้นใช่ไหม แต่พอฟังอย่างน้อยก็มีความรู้ ว่าสิ่งที่มีนี่แหละเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เห็นอย่างนี้แหละ เสียงอย่างนี้แหละ กลิ่นอย่างนี้แหละปกติธรรมดา แต่คนอื่นถ้าไม่อาศัยการฟัง ก็เป็นเราเห็น เราชอบ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดรวมกัน ไม่ได้เป็นธรรมแต่ละ๑ ซึ่งเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ ค่อยๆ หมดไปเมื่อมีความเข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราจะไปทำให้เกิดความเข้าใจ เป็นไปไม่ได้เลย ความเข้าใจต้องเข้าใจที่มั่นคง ในแต่ละคำที่ได้ยิน แล้วตรงต่อคำนั้น ถ้ารู้ว่าทำให้เกิดเห็นไม่ได้ แล้วจะไปทำให้เกิดปัญญารู้ความจริงของธรรมได้ยังไง แค่นี้ก็ชัดเจน ในความเป็นผู้ตรงต่อเหตุผล ว่าที่เราไม่เคยรู้เลยว่าเห็นเกิด แต่อาศัยการฟังพระธรรมค่อยๆ เข้าใจขึ้น เห็นคือสภาพรู้ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้รู้ ค่อยๆ เข้าใจทีละนิดทีละหน่อย ไม่ใช่ว่ามีตัวตน ที่พยายามที่จะไปเร่งรัด เพราะอยาก ก็หลงข่ายของโลภะ ติดข่ายของโลภะอีก ธรรมดาปกติรับประทานอาหารอร่อยโลภะเกิด ทุกอย่างที่ไม่ใช่ความเข้าใจ ธรรมเกิดก็ขณะนั้นมีปัจจัยจะเกิดก็ต้องเกิด ไปห้ามไม่ให้เกิดได้ยังไง แต่เวลาพอเข้าใจโลภะก็เกิดไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอนัตตา เข้าใจความเป็นอนัตตาดีกว่าไปบังคับ โกรธเกิดขึ้นอยากไม่โกรธ หาทางไม่โกรธ กับโกรธเกิดแล้วรู้ว่าโกรธ ไม่ใช่เรา อะไรจริงอะไรถูก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 187
    22 ต.ค. 2567