ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1261


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๖๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี

    วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    อ.วิชัย ถ้าฟังว่าก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน อย่างนี้เข้าใจธรรมหรือยัง

    ผู้ฟัง ขออนุญาตตอบ เข้าใจระดับขั้นฟังเท่านั้นเอง ก่อนเห็นไม่มีเห็น ก่อนได้ยินไม่ได้ยิน เป็นคนละขณะกัน

    อ.วิชัย แล้วระดับที่ยิ่งกว่าขั้นฟังคืออะไร

    ผู้ฟัง ระดับที่ประจักษ์แจ้งความจริง ประจักษ์เห็นที่แท้จริง ประจักษ์ได้ยินที่แท้จริง ยังอยู่ในขั้นปฏิบัติ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอย่างเราฟังว่า ก่อนเห็นไม่มีเห็น ถูกใช่ไหม แสดงว่าเห็นไม่ใช่เราทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจแล้วจะนำไปสู่การรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรา และสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ของเราด้วย เพราะฉะนั้นหลงคิดว่าเป็นเรามานานเท่าไหร่ในสังสารวัฎฏ์ พอมีเราแล้ว รักใครยิ่งกว่าเรามีไหม คิดให้ลึกซึ้ง รักใครยิ่งกว่าเราตัวนี้มีไหม ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นทำทุกอย่างเพื่อเราใช่ไหม แต่ไม่มีเรา เห็นไหมว่ากว่าจะเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ว่าให้พูดเล่นๆ แต่พูดให้ไตร่ตรอง จนกระทั่งรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นคุณด้วย เพราะว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่สามารถที่จะบันดาลได้ว่าไม่ให้เกิด เกิดแล้ว ญาติพี่น้องป่วยไข้เสียชีวิตโศกเศร้า ทรัพย์สมบัติสูญหายทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วใช่ไหม ไม่ใช่เราใช่ไหม ไม่ใช่ของเราใช่ไหม แต่ทำไมเสียใจ ทำไมร้องไห้ ทำไมเดือดร้อน เพราะหลงคิดว่าเป็นเรา แต่ถ้ารู้จริงๆ อย่างข้อความที่ว่า มีพ่อแม่พี่น้องแล้วก็คนรับใช้ แล้วก็บุตรชายก็สิ้นชีวิต ไม่มีใครร้องไห้คิดดู เพราะรู้ความจริงว่าเป็นธรรมดา เป็นของเราหรือเปล่าห้ามได้ไหม และที่กำลังรู้อย่างนั้นเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าเป็นเห็น และก็เป็นจำ และก็เป็นความผูกพัน แล้วก็เป็นการสูญเสีย ก็เป็นเหตุให้มีความโทมนัสเกิดขึ้น แม้ความรู้สึกโทมนัสก็ชั่วคราว มีใครร้องไห้ทั้งวันทั้งคืนทั้งเดือนทั้งปีบ้าง ไม่เห็นไม่ได้ยินมีแต่ร้องไห้อย่างเดียว ก็ไม่มีใช่ไหม มีทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดในชีวิต กล่าวได้ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    ซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงความเป็นปัจจัย ธรรมที่อาศัยกันและกันทำให้เกิดขึ้น โดยละเอียดไม่สามารถที่จะไถ่ถอนความที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่ว่าถ้าแสดงโดยละเอียด อย่างแค่เห็น ถ้าไม่มีตาใครจะทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม มีตาแต่ไม่มีอะไรมากระทบตา เห็นก็เกิดไม่ได้ แต่พอมีสิ่งที่กระทบตาได้ เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ตาไม่เห็น ตาเห็นไม่ได้สิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีในขณะนี้ ก็เห็นอะไรไม่ได้ แต่ว่าเพราะมี ๒ อย่างนี้ อาศัยธาตุรู้เกิดขึ้นไม่ให้ธาตุรู้เกิดได้ไหม มีแต่แข็งอ่อนเย็นร้อนเปรี้ยวหวานมันเค็ม ไม่มีอะไรจะปรากฏ แต่ที่ปรากฏ เพราะเหตุว่ามีธรรม ๑ ใช้คำว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ของใคร แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัยธรรมนี้เกิดแล้ว ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นเห็น ก็รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ ได้ยินก็เสียงอย่างนี้ไม่ใช่เสียงอื่น ถ้าเป็นกลิ่นอย่างหนึ่งอย่างใด ก็เฉพาะกลิ่นนั้นที่ปรากฏไม่ใช่กลิ่นอื่น เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ตั้งแต่เกิดจนตาย ขาดธาตุรู้ไม่ได้เลยจะหลับหรือจะตื่น ก็มีธาตุรู้เกิดขึ้นซึ่งเราคุ้นเคยกับคำว่าจิตในภาษาไทย มาจากคำว่า จิตตะ ในภาษาบาลีเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ธาตุคือสิ่งที่มีจริง มีลักษณะของตนใครเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้ เช่นแข็ง มีไหม มีแน่ๆ ใช่ไหม ใครไปทำให้แข็งเกิด ใครไม่ให้แข็งเกิดได้ไหม ทำให้เกิดก็ไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยให้เกิดก็เกิด เกิดเป็นอื่นก็ไม่ได้ก็เกิดเป็นแข็ง และเป็นกลิ่นจะให้กลิ่นหวานก็ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะให้เป็นกลิ่นเกิดขึ้นเป็นกลิ่น ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดนี้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงไม่ให้มีไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ให้หยุดไม่ให้เกิดไม่ให้มีไม่ได้เลย เพราะว่ามีเพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดไม่สิ้นสุด หลากหลายมาก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงความจริงของทุกอย่าง ให้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงที่หลากหลายมาก ความจริงก็คือมีธรรมที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ ประเภท ๑ ไม่รู้อะไรเลยมีไหม สภาพธรรมที่ไม่รู้ แข็งอย่างนี้ ไม่รู้ใครไปจับใครไปตีใครเอาไปเผาไฟ แข็งก็ไม่รู้สึกอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ว่าถ้ามีแต่ธรรมซึ่งมีแต่ไม่รู้อะไร อะไรก็ไม่ปรากฏใช่ไหม ไม่มีธาตุรู้และอะไรจะปรากฏ ต่อให้มีโลกมีพระอาทิตย์มีพระจันทร์ แต่ไม่มีธาตุรู้ที่จะเห็นที่จะได้ยิน ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าสิ่งนั้นมี เพราะฉะนั้นมีธรรมที่ต่างกัน ๒ อย่าง อย่าง ๑ เกิดแต่ไม่รู้อะไร แต่อีกอย่างเกิดแล้วต้องรู้ แล้วธรรมมีมาก เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำ ทุกคำ คือส่องถึงสิ่งที่พระองค์หมายถึง เช่นพอเราพูดคำว่า เสียงในภาษาไทย ทุกคนไม่ได้คิดถึงขนมใช่ไหม ได้ยินคำว่าเสียง เวลาพูดถึงอ่อนทุกคนก็ไม่ได้คิดถึงอร่อยใช่ไหม เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ก็แสดงถึงความหมายของคำนั้นๆ ให้รู้ว่าหมายความถึงสิ่งใดที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในโลกนี้ มากมายมหาศาล จึงมีคำแต่ละคำที่แสดงถึงว่า หมายความถึงอะไร และคำก็เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นตามสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ ด้วยเหตุนี้สภาพธรรมแม้มี แต่ถ้าไม่อาศัยคำหรือชื่อที่จะเรียก เราก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไร

    ด้วยเหตุนี้แต่ละเสียงของแต่ละภาษา จึงส่องถึงความหมายของสิ่งที่กล่าวถึงในแต่ละภาษาด้วย เพราะฉะนั้นพอพูดถึงธรรม ธรรมเยอะแยะมากมายหลากหลายมาก ก็ใช้คำที่กล่าวถึงธรรมแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นธรรมที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย รวมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งทั้งหมดใช้คำว่ารูปธรรม มาจากคำ ๒ คำรวมกัน ธรรมคือสิ่งที่มีจริง รูปะ สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ที่ตัวมีรูปธรรมไหม เห็นไหม ธรรมพิสูจน์ได้ เข้าใจได้ รู้ได้ด้วยว่ากำลังฟังอะไร ฟังเพื่อเข้าใจอะไร เข้าใจว่าสิ่งนั้นมีแต่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่มีใครไปดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย พ่อแม่มีลูกตั้งหลายคน ลูกไม่เห็นเหมือนกันเลย พ่อแม่ก็บันดาลไม่ได้รูปร่างหน้าตา ยังต่างกันไปอีกใช่ไหม ทุกอย่างแต่ละ ๑ ที่เกิดล้วนมีปัจจัยที่ละเอียดยิบ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้เราได้เข้าใจถูกต้องว่า คำที่พระองค์ตรัสแล้วเป็นคำจริง ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนได้ เพราะเป็นความจริงถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้ได้ยินคำว่ารูปธรรมจากไม่เคยได้ยิน รู้ละว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงที่ไม่รู้อะไร

    เพราะฉะนั้นที่ตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีรูปธรรมไหม มี บอกได้ใช่ไหมอะไรบ้างที่เป็นรูปธรรม ใช้คำเป็นเสียงที่แสดงความหมายของเสียงนั้นว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นพูดเลยเสียงแต่ละเสียง แสดงความหมายของสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้ ยกตัวอย่างได้ไหม ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจเท่านั้นเองเข้าใจขึ้นเหมือนวิชาใดๆ ที่เราต้องไปเรียนเพื่อจะเข้าใจวิชานั้นๆ เพราะฉะนั้นวิชาที่เป็นความเห็นถูกของสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้แล้วรู้จักคำว่าธรรม รู้จักคำว่ารูปธรรมแต่ต้องคิดเพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องว่า ที่ฟังแล้วถูกต้องไหม ถ้าถูกต้องก็คือว่าเข้าใจพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งหมดนี้มีในพระไตรปิฎก สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มีแต่สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นจึงมีถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วก็หลากหลายต่างกันไปมากแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีแต่รู้อะไรไม่ได้เลย ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่หิว ไม่โกรธมีเช่นแข็ง แข็งเป็นแข็ง แข็งไม่รู้ว่าใครจับ ใครตี หรือใครโยนเข้าไปในกองไฟแข็งก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเสียงก็มีจริง เกิดขึ้นจากการกระทบกันของของแข็ง กระทบแรงๆ เสียงก็ดัง เพราะฉะนั้นเสียงมีจริงแต่เสียงเกิดแล้วเสียงก็ไม่รู้อะไร แค่เกิดเพราะมีเหตุให้เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีแค่มีเกิดขึ้นมี เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นที่ตัวที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเรา ร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเลย มีแข็งอ่อนไหม นั่นแหละเป็นธรรมเพราะมีจริงแล้วก็เป็นรูปธรรมด้วย เพราะแข็งไม่รู้อะไร จับแขน แข็ง แข็งรู้ว่ามีคนเจ็บไหม แต่มีธาตุรู้แข็ง แข็งจึงปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นว่าเป็นเราเห็น เราได้ยิน เราคิด เราจำทั้งหมดก็เป็นธรรมที่เป็นธาตุรู้ ต่างกับธรรมซึ่งเกิดแต่ไม่รู้อะไร ก็ ๒ อย่าง ทั่วจักรวาลไม่ว่าที่ไหน สรุปแล้วก็มีธรรม ๒ อย่าง

    เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเราหรือเปล่า หรือว่าธรรมเป็นธรรม ต้องเป็นคนตรงต่อความจริง จึงจะได้สาระจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงเป็นสัจจะบารมี ที่จะตรงต่อความจริง ใครไปทำให้เกิดขึ้นไม่มีใครทำแต่เกิดแล้ว บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้บังคับให้หมดไปก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นธรรม ที่ตรัสไว้ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สภาพที่ไม่เที่ยงเราคิดว่าควรที่จะยินดีพอใจไหม เพราะแค่มีปรากฏให้ติดข้องแล้วก็หมดไป แต่จำว่ามีจำว่ายังอยู่ แม้แต่ความจำก็หมดไป เมื่อวานนี้เห็นอะไรจำแล้วใช่ไหมในขณะที่เห็นแล้ววันนี้ก็จำใหม่ลืมจำเก่าละ ทุกอย่างก็เป็นอย่างนี้ ชั่วคราวแสนสั้นไม่ใช่ของเราบังคับไม่ได้ ไม่ให้มีก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตแต่ละชีวิตก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย สุขหรือทุกข์ต่างๆ ก็ตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็หยุดไม่ได้ด้วย ไม่มีทางจนกว่าปัญญา ที่สามารถที่จะรู้ความจริง ละคลายความไม่รู้ จนดับหมดสิ้น ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก

    อ.วิชัย ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ประกาศศาสนาด้วยและได้ส่งสาวกไปประกาศพระศาสนาด้วย ก็เพื่อที่จะใหที่้บุคคลมีโอกาสได้เข้าใจในเข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ คงทราบแล้วว่าก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ ต้องเข้าใจทุกคำ สัตว์คือผู้ที่ติดข้อง โพธิคือปัญญา เพราะฉะนั้นผู้นั้นเป็นผู้ที่ข้องที่จะเข้าใจความจริง ไม่ติดข้องในอย่างอื่นเลย แต่ว่าสิ่งที่มีอย่างนี้ก่อนที่จะได้ตรัสรู้มีความสนใจที่จะรู้ว่า แล้วความจริงของสิ่งที่กำลังมีนี้คืออะไร อย่างเราเห็นเราก็เคยสนใจเรื่องอื่นใช่ไหม ไม่เคยคิดด้วยซ้ำไปว่าเห็นทำไมเกิดขึ้นมาเป็นเห็น แล้วทำไมไม่เป็นอย่างอื่น แต่ว่าพระโพธิสัตว์ข้องที่จะรู้ความจริงของเห็นว่าเห็นนี้ไม่ใช่ได้ยิน แล้วก็เห็นก็ต้องมีตาใช่ไหม ได้ยินก็ต้องมีหู เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างของความคิดที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เป็นสัจจะบารมีพร้อมด้วยวิริยะบารมี พร้อมด้วยอธิษฐานความมั่นคง ไม่ละเลยทอดทิ้งที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นคนที่ได้ฟังธรรมคิดว่า จะรู้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงง่ายไหม ในเมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีหลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ต้องพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๒๔ พระองค์ ได้ฟังนานเท่าไหร่ ไม่ใช่เพียงแค่ชั่วโมง ๒ ชั่วโมงอย่างที่เราฟัง แล้วก็แต่ละพระชาติบารมี อื่นต้องมีด้วย เพราะเหตุว่าคือการที่จะสละความติดข้องในความเป็นเรา ซึ่งเป็นเรามานานมากจะหมดไปได้ง่ายๆ อย่างไร ฟังแล้วฟังอีกเข้าใจ เห็นเกิดแล้วเห็นดับไม่ใช่เราได้ยินเกิดได้ยินก็ดับไม่ใช่เรา ไม่มีใครไปทำให้สิ่งต่างๆ เกิดได้เลย ฟังแล้วก็เข้าใจ แต่ความเป็นเราที่สะสมมานานแสนนาน ไม่ประจักษ์แจ้งเมื่อไหร่ ยังละคลายความเป็นเราไม่ได้เมื่อนั้น ใครรู้ เราใช่ไหมกำลังเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นเข้าใจก็เกิดดับด้วย เข้าใจก็ไม่ใช่เราด้วย เพราะฉะนั้นต้องมีความรู้ ว่าจะพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะรู้ความจริงที่มีแล้วมีเล่าในแต่ละชาติทุกชาติ หรือว่าจะปล่อยให้ไม่รู้ต่อไป ก็แล้วแต่แต่ละบุคคล แต่ว่าผู้ฟังธรรมขณะนี้เป็นสาวกโพธิสัตว์ แค่คำว่า โพธิ ปัญญา สัตว์ผู้ครองอยู่ในปัญญามีหลายระดับ ฟังแล้วมีใครจะสะสมบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง หรือว่าแค่สาวก บางคนบอกว่าแค่ถึง นามรูปปริจเฉทญาณก็ยังดี เห็นไหมหวังแต่รู้ไหมว่านามรูปปริจเฉทญาณคืออะไร แค่ได้ยินชื่อ คิดเองเดี๋ยวก็ถึง ไปนั่งอยู่ไม่กี่วันก็ได้นามรูปปริจเฉทญาณละ ไม่มีความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นปกติ แล้วจะประจักษ์การเกิดดับได้อย่างไร ตอนไหนกำลังเกิดดับทเดี๋ยวนี้ต่างหาก เพราะฉะนั้นถ้าละคลายความไม่รู้ ก็ต้องละคลายสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จากการฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น ที่เข้าใจนั้นก็เป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง เมื่อไตร่ตรองไม่ใช่ฟังเผินๆ ฟังแล้วเป็นประโยชน์ รู้ว่าสมควรไหมที่จะรู้ เรียนวิชาอื่นมาก็เยอะแยะมากมาย เสร็จแล้วก็กลับไปเป็นจิ้งจกนกหนูปูปลาก็ได้ ใช่ไหมชาติต่อไป ความรู้ที่มีชาตินี้ก็ไม่เหลือแล้ว ชาติก่อนเป็นใครอยู่ที่ไหนรู้อะไร ชาติหน้าจะเป็นอะไรไม่มีใครรู้ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เห็นว่าสิ่งที่ไม่มีอะไรประเสริฐเท่า ก็คือความเข้าใจถูกความเห็นถูก ด้วยเหตุนี้ข้อความในพระไตรปิฎก จึงมีว่าในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งปวง ปัญญาประเสริฐสุด เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่หลงเข้าใจผิด ไม่หลงติดข้อง ในสิ่งที่ดับแล้วไม่เหลือเลย หลงเข้าใจว่ามีแล้วจะพบไหม สิ่งที่มีอยากจะได้ในเมื่อไม่มีแล้ว มีแต่สิ่งใหม่ก็ดับอีกแล้วไม่เหลืออีกละ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม จึงต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของปัญญา ว่าเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ได้รู้ไม่เห็นเป็นอันตราย ไม่ทำร้ายอะไรเลย กลับเป็นประโยชน์

    ปัญญาไม่ได้ทำร้ายอะไรเลย แต่ว่าทำให้สามารถละความไม่รู้ได้ ด้วยเหตุนี้การฟังไม่เสียหายไม่เสียประโยชน์ ไม่ว่าจะฟังคำไหนเข้าใจว่า ที่ไม่รู้กันก็คือไม่รู้สิ่งซึ่งกำลังได้ยินได้ฟังนี่แหละแล้วค่อยๆ รู้ขึ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้มานานมาก แล้วก็เวลานี้พระพุทธศาสนาก็ถึงขั้นวิกฤต เพราะคิดว่าพระพุทธศาสนาเป็นเพียงสวดมนต์ เวียนเทียนหรือว่าประเพณีอื่นๆ เช่นการบวช แต่ไม่รู้ว่าบวชคืออะไร ทำไมบวชก็ไม่รู้ บางคนก็บอกว่าน้องสาวไม่สบายก็เลยบวช บางคนบอกไม่รู้จะทำอะไรก็บวช นั่นหรือเป็นผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่าบวช ก็จะบวชเท่านั้นเองแต่ไม่ใช่ปัญญา ด้วยเหตุนี้ต้องรู้ว่าปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในทุกอย่าง ตรงตามความเป็นจริง

    อ.วิชัย ดังนั้นชาวพุทธต้องเป็นผู้รู้ ถ้าชวนไปสวดมนต์ ชวนไปปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ ควรรู้ใช่ไหมว่าสวดมนต์คืออะไร ทำไมจึงสวดสวดอะไร มนต์คืออะไรทั้งหมดเป็นเรื่องของความรู้ หรือชวนไปปฏิบัติธรรม รู้ไหมว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร ดังนั้นถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย ไม่ใช่ชาวพุทธ

    ท่านอาจารย์ มีหนังสือพิมพ์จีนฉบับหนึ่ง นักเขียนเขาเขียนข้อความว่า ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูป หรือทำให้เกิดความถูกต้องขึ้น พระพุทธศาสนาก็สิ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นที่น่าสนใจ ใครคิดว่าพระพุทธศาสนาประเทศไทยรุ่งเรืองบ้าง มีผู้ที่กล่าวไว้รุ่งริ่งไม่ใช่รุ่งเรือง บางคนก็ไม่รู้จะว่ายังไงก็ ร่องแร่งหรืออะไร ก็บอกไปอีกหลายคำ แต่ไม่รุ่งเรืองแน่นอน เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจธรรม แล้วจะชื่อว่ารุ่งเรืองได้อย่างไร แม้แต่พุทธะ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ศาสนาคือคำสอน ถ้าคนไทยหรือว่าชาวพุทธไม่ได้ศึกษาด้วยความละเอียดให้เข้าใจจริงๆ แล้วจะรุ่งเรืองได้อย่างไร พระศาสนาเป็นคำสอนให้เข้าใจความจริง ไม่ใช่ให้ไปบวชกัน ๑๐๐ รูป ๑๐๐๐ รูป ๑๐,๐๐๐ รูปหรืออะไรเลย หรือไม่ใช่บวช สามเณร ซึ่งสามเณรเป็นผู้ที่ต้องมีความประพฤติ ตามแบบของพระภิกษุผู้สงบพระภิกษุก็ต้องประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าขออุปสมบทไม่ใช่ว่าใครก็ไปบวชได้แต่ได้รับอนุญาต เพราะว่าผู้นั้นมีความเข้าใจในพระธรรม แล้วก็สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องประพฤติปฏิบัติตามสิกขาบท ที่พระสัมมาสัมเจ้าทรงบัญญัติ ความต่างของคฤหัสถ์กับบรรพชิต คฤหัสถ์ฟังธรรม อบรมเจริญ ปัญญารู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน เช่น ท่านชีวกโกมารภัต วิสาขามิคารมารดา ท่านอนาถบิณฑิก คฤหัสถ์ทั้งหลายฟังธรรมเข้าใจธรรม อบรมเจริญปัญญาเป็นพระอริยะบุคคลเป็นสังฆรัตนะได้ แต่รู้ตัวเองว่าไม่ใช่สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศภิกษุ ซึ่งลองคิดดู สละชีวิตคฤหัสถ์ ออกจากบ้านไปไหน ต้องมีความมั่นคงระดับไหน มีที่อยู่ไหม ป่าเขาแล้วแต่ในครั้งนั้น ท่านไม่ได้กังวลเลย เพราะออกจากบ้านหมายความต้องไม่มีบ้าน และก็แล้วแต่จะอยู่อย่างไรก็ตามแต่ แต่ขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต รู้ไหมว่าขัดระดับไหน มีความละเอียดอย่างมากในพระธรรมวินัย ที่แสดงให้รู้ว่าการบวชเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของร่างกาย ถ้าจิตใจไม่เห็นคุณที่จะอุทิศชีวิตเพราะว่าชีวิตสั้นมาก แล้วก็เกิดมาแล้วตั้งเท่าไหร่ในสังสารวัฎฏ์ และจะเกิดต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ ถ้ายังคงไม่รู้ก็จะต้องเกิดอยู่นั่นแล้ว และผู้นั้นสะสมมาแต่ละคนอายุเท่าไหร่ แสนโกฏกัปป์ไม่เคยขาดเลย สืบต่อมาแต่ละขณะแต่ละชาติแต่ละชาติไม่เคยขาดไปเลย แล้วในแสนโกฏกัปป์นั้นเคยฟังพระธรรมมาบ้างไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    15 มี.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ