ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1263


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๒๖๓

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี

    วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ ทุกข์มีมากเยอะแยะเลย ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะแก้ทุกข์ได้ ก็ต้องรู้ความจริงของแต่ละ ๑ อย่างละเอียด แม้แต่คำว่าวัด เพราะฉะนั้นวัดต้องเป็นที่สงบใช่ไหม เพราะเป็นที่อยู่ของผู้สงบจากกิเลส ไม่ใช่ที่อยู่ของคฤหัสถ์คฤหัสถ์ชาวบ้านไม่ได้อยู่ที่วัด แต่ชาวบ้านก็บอกแล้วว่าอยู่บ้าน เพราะฉะนั้นผู้ที่ละบ้านละอาคารบ้านเรือน ละกิจภาระธุระทั้งหมด ละไปไหนแล้ว ละไปทำอะไร อยู่ดีๆ คนออกจากบ้านมีเยอะ ไปทำอะไรกัน ออกไปพเนจรร่อนเร่ก็มี ใช่ไหม แต่ว่าถ้าไปอยู่วัด หมายความว่า ต้องได้รับอนุญาตขออุปสมบทจากภิกษุในธรรมวินัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ที่จะอุปสมบทที่ออกจากบ้านเรือน จะไปอยู่วัดจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ไม่ใช่ใครๆ อยากไปอยู่วัดก็ไปอยู่ได้ใช่ไหม เพราะวัดเป็นที่สงบจากกิเลส เพราะฉะนั้นไปวัดสงบจากกิเลสไหม ไปวัดไปทำอะไร อยู่บ้านแล้วเขก็วัด ถ้าคนทำอะไรโดยไม่รู้ก็ไม่มีเหตุผลใช่ไหม แต่ชาวพุทธ พุทธะคือผู้รู้อีกนัยหนึ่งก็คือปัญญานั่นแหละเป็นสภาพรู้ถูกเห็นถูกเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นชาวพุทธต้องไม่เข้าใจผิด ต้องมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ให้เข้าใจทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง แค่ไปวัดยังตอบไม่ได้ แล้วยังไงถึงจะสงสัยว่า ทำไมชาวพุทธจะต้องฟังธรรม

    ผู้ฟัง ก็คือถ้าวันพระ หนูก็ไปหาอาหารใส่ปิ่นโต ไปถวายพระภิกษุสงฆ์

    ท่านอาจารย์ แม้แต่พระภิกษุกับสงฆ์เข้าใจความต่างไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ภิกษุเป็นบุคคลแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เพราะสังฆะ หมายความว่าหมู่หรือคณะ ต้องหมายความว่ามากกว่า ๑ ใช่ไหมรวมกัน เพราะฉะนั้นภิกษุแต่ละ ๑ ที่บวชแล้วเป็นภิกษุบุคคล ถ้าภิกษุนั้นทำผิดไม่ใช่สงฆ์ทำผิด ไม่ใช่คนอื่นทำผิด เฉพาะบุคคลนั้นคนเดียวที่ทำผิด เพราะฉะนั้นสงฆ์คือหมู่ของพระภิกษุ ที่ได้รับอนุญาติให้กระทำกิจหนึ่งกิจใด ซึ่งเป็นกิจของสงฆ์เช่นการอุปสมบท หรือว่ากฐินหรืออะไรก็ตามแต่ ที่ทรงบัญญัติไว้ว่าภิกษุคนเดียว หรือรูปเดียวทำไม่ได้ ต้องอาศัยหมู่คณะจึงจะทำได้ เพราะฉะนั้นภิกษุนี้ได้รับสมมุติเป็นสงฆ์ เพื่อที่จะทำสังฆกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อเสร็จสังฆกรรมแล้วก็เป็นภิกษุบุคคล รับผิดชอบตัวเองเป็นส่วนตัว แต่ละบุคคลทำดีทำชั่ว แต่สงฆ์ไม่ได้ทำผิด เพราะว่าสงฆ์เป็นหมู่คณะของภิกษุ ตามพระธรรมวินัย ด้วยเหตุนี้แม้แต่ชาวพุทธจะพูดก็ยังผิด ภิกษุสงฆ์ ภิกษุสงฆ์ ตลอดเวลา คนเดียวก็ภิกษุสงฆ์ ถึงแม้ว่าพูดไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่า ภิกษุคืออะไรและสงฆ์คืออะไร ต้องละเอียดอย่างยิ่ง เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ถ้าไม่ละเอียดจะไม่มีความเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรม เห็นไหม ของอะไรของธรรมไม่ใช่ของใครเลย เพราะอะไรเพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นไปวัดทำอะไร

    ผู้ฟัง อารธนาศีล อาราธนาธรรม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนอาราธนาคืออะไร ศีลคืออะไร ธรรมคืออะไร พูดแล้วต้องรู้จักจึงจะเป็นชาวพุทธ นี่ไง ทำไมชาวพุทธต้องฟังธรรม ทำไมชาวพุทธต้องสนทนาธรรม ถ้าไม่สนทนาธรรมเราจะเข้าใจไหมแต่ละคำ แล้วก็ต้องฟังธรรมด้วย เพราะฉะนั้นทุกคำชาวพุทธ เคยพูดด้วยความไม่เข้าใจเลย เพราะไม่ได้ศึกษา แต่คิดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ เพราะฉะนั้นชาวพุทธจริงๆ ต้องเข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว ด้วยเหตุนี้อาราธนาคืออะไร อาราธนาศีลคืออะไร อาราธนาธรรมคืออะไร นี่คือถ้าเป็นชาวพุทธต้องรู้ ขอเชิญคุณธีรพันธ์

    อ.ธีรพันธุ์ อาราธนาก็คือเชื้อเชิญให้ท่านแสดงธรรม ความจริงศีลก็เป็นธรรมนั่นเองคือความเป็นปกติ กายวาจาที่เป็นกุศลก็มีเป็นอกุศลก็มี ถ้าศึกษาโดยละเอียดที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศลก็มี เป็นกายวาจาของพระอรหันต์ที่ท่านหมดกิเลสแล้ว ถ้าไม่มีการศึกษาแล้วก็มีความเป็นเรา ที่เป็นเรารักษาศีล แต่ไม่รู้ว่าจะรักษายังไง ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีการเห็นโทษ ก็จะรักษาศีลไม่ได้ ก็เป็นการกล่าวชื่อความดี แล้วไปรับชื่อมาแล้ว คือได้ยินได้ฟังแล้วรับก็จบเรียบร้อย แต่กลับมาบ้านจะรักษาศีลได้หรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะเป็นผู้รู้ได้ต้องอาศัยการฟังจากผู้รู้ ก็คือเชื้อเชิญให้ท่านผู้มีความรู้ แสดงสิ่งที่ถูกต้อง ศีลคืออะไรธรรมคืออะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของ ความตรงและความจริง ไปทำไม ไปเพื่อฟังคำที่ทำให้เข้าใจขึ้นทุกคำ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าศีล มีความหมายว่าปกติ เห็นไหม เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยแต่ละคำ เราก็พูดศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ แต่ว่าความจริงจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่ง เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจธรรม และเข้าใจภาษานั้น ความลึกซึ้งก็มีเพิ่มขึ้นไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจเด้วยเผินๆ ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่ศึกษาธรรมโดยละเอียด คนไทยจะรู้จักแค่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ใช่ไหม แต่ศีลคืออะไร ไม่ได้คิดเลย แต่ถ้าเป็นผู้ที่ศึกษาจริงๆ ตรงตามพระธรรมวินัย พระไตรปิฏกที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ศีลคือปกติของจิตใจ กายทำอะไรได้ไหม แต่ใจต่างหากที่ทำให้กายเคลื่อนไหวไป ทำสิ่งต่างๆ เป็นบุญก็มีใช่ไหม ตั้งใจที่จะทำอาหารให้คนอื่น ก็ตื่นแต่เช้าปรุงอาหาร เพื่อที่จะนำไปให้คนอื่นได้บริโภค ได้รับประทาน ขณะนั้นที่เป็นความประสงค์ที่จะให้คนอื่น โดยไม่หวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบแทนเลย เป็นจิตที่ดีไหม จิตนั่นแหละเป็นศีล ใช่ไหม ความเป็นไปของจิต ในการที่จะทำสิ่งที่ดีงามก็เป็นกุศลศีล

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เราจะไม่เผินต่อคำที่ได้ฟังว่า ทุกคำเข้าใจถึงที่สุด ใครไม่เข้าใจสนทนากัน เพื่อที่จะได้รักษาความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เราได้เข้าใจ เพื่อคนอื่นจะได้เข้าใจ รักษาคำของพระองค์ให้ถูกต้องมั่นคงต่อไป เวลาที่ทำสิ่งที่ไม่ดี กายทำหรือเปล่า ร่างกายไม่รู้อะไรเลย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จะลืมตาได้ไหม ต้องมีจิตแม้เพียงแค่จะลืมตา ก็ยังต้องมีจิต พูดทุกคำถ้าไม่มีใจพูดไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำซึ่งออกมาทางวาจา โดยอาศัยกายก็เกิดจากจิต ถ้าเป็นจิตที่ดีวาจาดีก็เป็นกุศลศีล ถ้าพูดไม่ดีใจขณะนั้นดีหรือเปล่า ไม่ดีก็เป็นอกุศลศีล และชาวพุทธเคยรู้ไหม นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องเคารพอย่างยิ่งในความจริง ซึ่งรู้ว่าถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดจริงๆ เข้าใจผิด พระศาสนาก็ลบเลือนไป เพราะเหตุว่าไม่มีใครเข้าใจอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษา มีกลุ่มของบุคคลที่รวมกัน ศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นมูลนิธิขึ้นก็เพราะเหตุนี้ เพราะเหตุว่ารู้ว่าพระธรรมเผินไม่ได้เลย แล้วถ้าไม่ศึกษาก็ไม่มีความเข้าใจ ไปวัดไปทำพิธีกรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพื่อให้เราทำพิธีกรรม หรือว่าเพื่อให้เข้าใจคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว จากการที่บำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ ถ้าพระองค์ไม่ตรัสแต่ละคำ แต่ละคำ ทุกคำ แม้แต่คำว่าศีล เพราะฉะนั้นเห็นไหมว่านี่เป็นเหตุที่เราต้องศึกษาธรรม เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ถ้าไม่พูดให้เข้าใจความจริงตามที่พระองค์ตรัสแล้ว คนนั้นเป็นชาวพุทธหรือเปล่า ขอศีลไปขอได้ยังไง นอกจากความเข้าใจคำนี้ เช่นคำว่าศีลขอความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าขอไปทำอะไร จะขอจากคนอื่นได้ไหม ขอคนอื่นให้มาบอกเราให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่ใจต่างหากที่จะทำให้กายเคลื่อนไหวเป็นการกระทำหรือเป็นวาจา

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ อีกคำหนึ่ง สมาทานศีล ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ สมาทานในภาษาบาลีในภาษาไทย ก็คือถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ถ้าเห็นใครฆ่าจะเป็นสุนัข จะเป็นแมว จะเป็นนก จะเป็นปลาก็ตาม คิดถึงสิ่งที่ถูกฆ่าไหม ใช่ไหม เลือดไหล ดิ้นรน กระสับกระส่าย ทุกข์แสนสาหัส และคนที่ถูกรถทับบ้าง ได้รับอุบัติเหตุต่างๆ บ้างก็อย่างนั้น มีใครชอบเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า เป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว เมื่อไหร่ที่คิดว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นจะไม่ฆ่า เพราะเห็นว่าการฆ่าทำความเดือดร้อน ให้คนอื่นแสนสาหัส ไม่มีใครอยากถูกฆ่า แม้เราเองก็ไม่อยากถูกฆ่า เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็เกิดคิดเราจะไม่ฆ่า ไม่ต้องมีใครมาบอกใช่ไหม แต่คิดขึ้นเองว่าต่อไปนี้จะไม่ฆ่า แค่นี้ก็คือสมาทานถือเอา เป็นข้อประพฤติปฏิบัติไม่ต้องบอกใครก็ได้ เพราะฉะนั้นสมาทานก็คือเจตนาที่ถือเอา ที่จะเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ เห็นการทุจริต เห็นการลักทรัพย์ เห็นการทุกสิ่งทุกอย่าง สมาทานถือเอาจะไม่ทำอย่างนั้นเป็นบุคคลนั้นที่คนอื่นบังคับไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปวัดเขาให้กล่าวพร้อมกัน แล้วไงคนที่ยังจะฆ่าต่อไป ยังจะพูดโกหกพูดไม่จริงต่อไป แต่ปากสมาทานศีลตามเขา เป็นการสมาทานหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะบอกให้สมาทานศีลได้หรือ นอกจากคนนั้นเองต่างหากที่มีจิตที่เห็นประโยชน์ ของการที่จะไม่เบียดเบียนคนอื่น เพราะฉะนั้นก็ตั้งแต่นั้นต่อไปก็จะไม่ฆ่าสัตว์ จะไม่พูดเท็จ จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะสมาทานอย่างไร

    ผู้ฟัง กราบสวัสดีท่านที่เคารพ ในทางพุทธศาสนา เราคงจะได้ยินกันอยู่เป็นประจำว่าอนิจจังทุกขังอนัตตา คำที่ว่าอนัตตาซึ่งเข้าใจยาก อยากจะให้ท่านอาจารย์อธิบายคำว่าอนัตตาเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีคำว่าอัตตาเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถึงแม้ไม่บอกว่าเป็นเราหรือไม่ได้บอกว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ก็เป็นสิ่งนั้นในความคิดในความจำของเรา ใช่ไหม เช่นเรามีไหมเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง มีอยู่ ปัจจุบันมีอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่ไม่ใช่เราก็คือคำว่าอนัตตา ก็แค่สองคำอัตตาคือความเข้าใจว่าสิ่งที่มีนี่เป็นเรา แต่อนัตตาคือปัญญาที่รู้ความจริงว่า ที่ว่าเป็นเราก็คือแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งเกิดรวมกันแล้วก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าแยกออก อย่างคนอย่างนี้ มีตา หู จมูก ลิ้น มีแขน มีขา แต่ถ้าแยกออกไป เพราะว่ามีอากาศธาตุแทรกละเอียดยิบ แตกย่อยได้ละเอียดทันทีเลย ไหนเรา ตาก็ไม่มีละแขนก็ไม่มี แล้วทุกอย่างก็ไม่มีละเพราะเหตุว่าแตกย่อยออกไปหมดละ ทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมที่ยึดถือว่าเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ทั้งหมด เราเห็นรวมกันว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มีอากาศธาตุแทรกอย่างละเอียดยิบ แตกทำลายได้ เพราะฉะนั้นถึงยังไม่แตกทำลาย แต่ก็เข้าใจว่าแต่ละ ๑ ต้องเป็นเพียง ๑ เพราะเหตุว่ามีช่องว่างคืออากาศแทรกอยู่ เห็นด้วยไหม

    ผู้ฟัง ซึ่งมันละเอียดมาก เราจะทำยังไงจะได้เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นยังไง

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีจึงได้เห็นอย่างนี้ เราจะทำยังไงต้องไม่ลืม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี คุณความดีที่จะสละความติดข้องในความเป็นเรา จนกว่าปัญญาจะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นที่ถามว่าแล้วเราจะเป็นยังไง ก็ดูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างว่า ท่านประพฤติอย่างไรประกอบด้วยบารมีมากน้อย ระดับไหน จึงสามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้ เมื่อตรัสรู้ ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงความจริงนี้ เพราะเหตุว่าเหมือนเหลือวิสัยที่ใครจะรู้ได้ แต่ก็รู้ว่ามีผู้ที่มีปัญญาสะสมมา สามารถเข้าใจได้ ไม่เข้าใจว่าเป็นความจริง ไม่มีใครไปเปลี่ยนความจริง แต่ความจริงนั้นเป็นแต่เพียงขั้นเริ่มเข้าใจถูกต้อง แต่ยังจะต้องเข้าใจยิ่งกว่านี้ ละความยึดถือมากกว่านี้ เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้เห็นเป็นเราเห็นใช่ไหม แต่ความจริงเป็นเราหรือเปล่า ในปัจจุบันก็ยังนึกว่าเป็นเราอยู่ แต่ฟังความจริงว่า ตาไม่เห็น แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็ไม่เห็น แต่พอ ๒ อย่างนี้กระทบกันเป็นปัจจัยให้มีธาตุเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่ตาเห็น ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงแค่นี้ก็แสนยากแต่เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งประจักษ์แจ้งความจริงได้ แต่ไม่ใช่ด้วยการเพียรพยายามด้วยความเป็นเรา แต่เพราะว่าเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย พระธรรมทั้งหมดทุกคำเป็นไป เพื่อการละความยึดถือความติดข้อง เพราะรู้ว่าสิ่งที่มี ก่อนมี ไม่มี ก่อนเสียงปรากฏไม่มีเสียงปรากฏ ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน และก็มีปัจจัยทำให้ได้ยิน มีปัจจัยให้รู้ว่าเสียงมีแล้วหมดไป เพราะฉะนั้นเสียง เป็นของใคร ไปหาอีกสิไม่ได้ทำให้เกิดก็เกิด เกิดแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นไม่ใช่อัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่มีจริงๆ ชั่วคราวแสนสั้น รวดเร็วมาก แล้วก็มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ ก็จะยากไหมที่จะรู้ แต่ละ ๑ ถ่องแท้จนไม่ใช่เรา สักอย่างเดียว

    ผู้ฟัง ยาก

    ท่านอาจารย์ นั่นคือสรรเสริญพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกครั้งที่รู้อย่างนี้ เห็นพระปัญญาคุณว่ายากแสนยาก ในสังสารวัฏฏ์ พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี ให้เราได้มีโอกาสเข้าใจ เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา

    ผู้ฟัง เมื่อเห็นว่ายากอย่างนี้ ยังมีวิธีไหนที่จะทำให้เราได้เห็นบ้างไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นวิธีของเราหรือว่าเป็นวิธีที่พระโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญมาแล้วก่อนตรัสรู้ความจริงนี้ ต้องไตร่ตรอง จะเป็นวิธีของเราหรือของคนหนึ่งคนใด หรือว่าเป็นหนทางเดียวที่ว่าที่ยึดถือว่าเป็นเรา เพราะไม่รู้เดี๋ยวนี้ เห็นเกิดดับก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเราเห็น ได้ยินทั้งๆ ที่เกิดแล้วดับไปชัดๆ ก็ไม่รู้ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นที่จะรู้อย่างนี้จริงๆ ทีละ ๑ ประจักษ์แจ้งหมดความสงสัยได้ มีหนทางอื่นไหม เร็วหนทางที่พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญแล้ว

    ผู้ฟัง ไม่ทราบเหมือนกันนะ

    ท่านอาจารย์ ลองไตร่ตรอง มีพระพุทธเจ้าได้พร้อมกันหลายๆ พระองค์ไหม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ถ้าเราจะ จะไปทางนั้นนะ

    ท่านอาจารย์ เรา เห็นไปได้ไง เห็นเกิดแล้วดับไหนเรา ได้ยินเกิดแล้วแล้วดับไหนเรา หาเราสิว่าอยู่ไหนที่จะไป

    ผู้ฟัง ถ้าในกรณีนี้หมายความว่า เราจะต้องไม่เห็นเป็นตัว เห็นแยก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา แต่ว่าให้รู้ว่าที่เข้าใจว่าเป็นเรานั้นคืออะไร จนกระทั่งรู้ว่าสิ่งนั้น เป็นเราไปไม่ได้เลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นหลงผิดเข้าใจผิดมานานมาก ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นถูกไม่ได้เลยว่าไม่ใช่เราเลยสักอย่างไม่ว่าอะไรทั้งหมด ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็เป็นธรรมสิ่งที่มีจริงชั่วคราวแต่ละอย่าง ซึ่งต้องเกิดขึ้นจึงมีได้ และใครเข้าไปทำให้เกิดไม่ได้ ใครจะไปทำให้ไม่ดับก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรมจะเป็นเราไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ที่สงสัยว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่มีใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดจึงเกิด เกิดแล้วก็ดับไปจริงไหม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าจริงก็มีคนทางเดียวคือ เข้าใจขึ้นอีกเข้าใจขึ้นอีก ค่อยๆ ละคลายการที่ยึดถือสภาพธรรม เพราะไม่รู้ ในการเกิดดับ ก็เข้าใจว่าเป็นเรา

    ผู้ฟัง ทีนี้เมื่อเข้าใจ อย่างนี้เราจะต้องมองอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีเราอีกแล้วใช่ไหม ก็จะเป็นหนทางของเราไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ทางที่จะรู้ความจริง เพราะความจริงอย่างนี้เป็นปกติ ที่ปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นเพียงฟังแค่นี้ ไม่ใช่ปัญญาที่สามารถจะแทงตลอด ถึงขณะเกิดแล้วดับของสิ่งที่กำลังเกิดดับ ต้องมีปัญญามากกว่านี้มาก ที่ค่อยๆ ละความเป็นเรา แล้วธรรมจึงจะปรากฏทีละ ๑ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครไปจัดทำอะไรเลยทั้งสิ้น ก็ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิด ทั้งจำ แต่ปัญญาที่ค่อยๆ ฟังความจริงของแต่ละ ๑ ว่าไม่ใช่สิ่งที่รวมกันเลย เห็นต้องเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน เห็นเกิดแล้ว ถ้ายังไม่ดับไปอย่างอื่นก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะใดที่ได้ยินขณะนั้นไม่ใช่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ ใครทำอะไรไม่ได้เลย แต่เข้าใจขึ้นว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เห็น จะไปบอกว่าละเสีย ไม่ใช่เรา ละได้ยังไง แต่เห็นขณะนี้รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น นี่คือความรู้ทีละเล็กทีละน้อย ว่าเห็นเป็นอย่าง ๑ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่าง ๑ เสียงเป็นอย่าง ๑ ได้ยินเป็นอย่าง ๑ เพราะฉะนั้น ๒ อย่างในขณะนี้ไม่ใช่เรา แม้สิ่งที่ปรากฏต่างๆ ก็เป็นเพียงสิ่งที่กระทบตา และมีเห็นเกิดขึ้นจึงเห็นสิ่งที่กระทบตาได้ ถ้าเห็นไม่เกิดสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ปรากฏไม่ได้เลย เพียงแค่หลับตามีดอกไม้บนโต๊ะไหม หลับตา

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีลืมตาทำไมมี แค่นี้ก็หลอกลวง แล้วเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่มีใครไปทำ แต่ไม่เห็นให้เห็นดอกไม้บนโต๊ะก็ไม่ได้ เมื่อลืมตาก็ต้องเห็นแต่ไม่รู้ความจริงว่า เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เร็วแสนเร็วกว่าจะหลายๆ ขณะ หลายพันขณะ หลายหมื่นขณะ จะปรากฏว่ามีอะไรในห้องนี้รวมกันหมด เพราะฉะนั้นเห็นทีละ ๑ เกิดดับเกิดดับจนปรากฏเป็นสัณฐาน ใช้คำว่านิมิตตะหมายความว่า เป็นรูปร่างที่จะทำให้รู้ว่ารูปนี้เป็นอย่างนี้ วงกลมเป็นวงกลมใช่ไหม สี่เหลี่ยมโต๊ะเป็นสี่เหลี่ยม เพราะฉะนั้นกว่าจะมีแต่ละ ๑ มารวมกัน ก็ละเอียดมากลึกซึ้งมาก เกิดดับอยู่ตลอดเวลา มีปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นอย่างนี้ก็เป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างที่ปรากฏ ให้ทราบว่าไม่มีใครไปทำ แต่ยังไม่รู้ถึงปัจจัยว่าอะไรเป็นปัจจัย ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ก็ยังละคลายไม่ได้ เพราะฉะนั้นความรู้ต้องเพิ่มขึ้น มากขึ้น เข้าใจละเอียดขึ้น ขณะนั้นก็ค่อยๆ คลายความเป็นเรา คลายความหวังว่าจะรู้ คลายความต้องการที่จะประจักษ์แจ้ง เพราะเหตุว่าหวังตราบใดปิดกั้นทันที ต้องการที่จะรู้ความจริงแต่ไม่ได้ค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าเป็นเราไปไม่ได้เลย เห็นนี้จะเป็นเราได้อย่างไร ตอนหลับไม่เห็นมีเห็นเลย แล้วเห็นเกิดขึ้นจะเป็นเราไปได้ไง แต่มีปัจจัยให้เห็นเกิดและเห็นก็ดับ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจโดยไม่หวังเลย ว่าจะได้ประจักษ์แจ้งความจริงตามที่ได้ฟัง แต่เมื่อมีเหตุสมควร ท่านพระสารีบุตรฟังคำท่านพระอัสสชิ ก่อนฟังท่านก็ไม่รู้ว่าท่านจะสามารถรู้ความจริง ตามที่ได้ฟังจนละกิเลสไม่ยึดถือว่าแต่ละ ๑ เป็นตัวตนได้ วาม ถึงถึงเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเป็นพระโสดาบัน โดยไม่มีการเข้าใจอะไรเลย แต่ความเข้าใจที่ค่อยๆ สะสมไป ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย ไม่มีใครรู้แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อไหร่ ไม่ใช่ก่อนนั้นไม่ใช่หลังนั้น แต่ถึงกาลที่พร้อมสมบูรณ์ด้วยเหตุปัจจัยที่จะให้ตรัสรู้ ขณะนั้นจึงรู้ความจริงขณะนั้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็เป็นอนัตตา แต่ว่าสะสมความเข้าใจไปเพื่อละ ความไม่รู้และความหวัง เพราะไม่มีเราแต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นความเข้าใจถูก อวิชาเป็นความไม่เข้าใจที่กำลังไม่รู้ เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้จริงจริง จะไปเปลี่ยนสภาพไม่รู้ให้เป็นสภาพรู้ก็ไม่ได้ แต่พอมีความเข้าใจจะให้ไม่เข้าใจก็ไม่ได้ ก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ให้มีความมั่นคงว่าสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 188
    16 มี.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ