ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1326


    ตอนที่ ๑๓๒๖

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑


    ท่านอาจารย์ แต่รู้ได้จะกินอะไร แมลงอย่างไร อยู่ที่ไหน ที่อยู่อย่างไร ก็รู้ได้โดยอาการนั้นๆ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่รู้ได้โดยอาการที่ปรากฏ คือบัญญัติ เพราะว่าความจริง ปรมัตถธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ใครรู้ปรมัตถธรรม รู้ได้โดยอาการที่ปรมัตถธรรมเกิดดับสืบต่อเป็นสีสันวรรณะต่างๆ รู้ว่าเป็นคน รู้ว่าเป็นเสื้อ รู้ว่าเป็นรองเท้า ถ้าไม่มีธรรมไม่มีทางที่จะมีอะไรปรากฏ แต่เมื่อมีธรรมซึ่งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วคราวแล้วดับแล้ว ไม่มีใครรู้ได้เลย เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น เร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้รู้อรรถคือความหมายของสิ่งนั้น ซึ่งภาษาบาลีจะใช้อีกคำหนึ่งคือคำว่านิมิต แต่ออกเสียงเป็นนิมิตตะ นิมิตคือรูปร่างสัณฐานที่ทำให้รู้ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้นจากปรมัตถธรรมซึ่งมีใครจะรู้หรือไม่รู้ จิตก็เป็นจิต เป็นสภาพรู้ที่กำลังเกิดขึ้น รู้ทางตา ทางหู เกิดดับไปเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้เลย แต่อาการที่รูปที่ถูกรู้เกิดดับด้วย และก็ปรากฏสืบต่อเร็วมาก เมื่อเห็นก็เป็นรูปร่างสัณฐานแล้ว อย่างนี้ แค่นี้ รูปร่างแล้ว กลมแล้ว ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องพูดว่ากลม ไม่ต้องอะไรเลย แต่มีนิมิต ให้รู้ว่าลักษณะนี้เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของธรรมทั้งหมด ไม่เว้นทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งโลภะ ทั้งมานะ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีในชีวิตทั้งหมด สืบต่อเร็วจนปกปิดไม่ให้เห็นการเกิดดับ ปรากฏแต่เพียงนิมิต เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกของนิมิต โดยที่มีสภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือสภาพจำ เกิดขึ้นจำทุกอย่างที่ปรากฏโดยจิตรู้ เพราะฉะนั้นสภาพจำไม่ใช่ตัวจิต เพราะจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฎ แต่สภาพจำเป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง เกิดกับจิต มีหน้าที่ที่เกิดแล้วจำทันทีเท่านั้น เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า กำลังจำ จำอะไร นิมิตรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าเมื่อได้ยินคำหนึ่งก็คิดว่าเข้าใจแล้ว ได้ยินคำว่าบัญญัติเหมือนเข้าใจ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่กว่าจะเป็นบัญญัติ และบัญญัติอะไรบ้าง สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจจริงๆ ถ้าเข้าใจแล้วเราจะลืมไหม แต่เราต้องไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจในแต่ละคำ สิ่งที่มีจริงนี้ ไม่ต้องเรียกว่าธรรมก็ได้ แล้วจะเรียกอะไร คนละภาษาให้เป็นภาษาเดียวกัน คือคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ก็เข้าใจคำในภาษามคธี ซึ่งดำรงพระศาสนาไว้ จึงใช้คำว่าปาละหรือปาลี เพราะฉะนั้นตอนนี้ เราก็เรียนภาษาบาลีทีละคำ ต้องรู้ว่าคำว่าธรรมนี้ไม่ใช่ภาษาไทย แต่คนไทยก็ใช้ภาษาบาลีจนกระทั่งไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่ก็กลายเป็นภาษาในความหมายของภาษาไทย เพราะฉะนั้นเวลาที่ศึกษาธรรม จะมีภาษาบาลี ซึ่งความหมายไม่ตรงกับที่เราเคยใช้มาก่อน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเข้าใจความหมายเดิมด้วย ความหมายจริงๆ ว่าเดิมทีเดียวหมายความว่าอะไร

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ ซึ่งเราใช้คำว่าจิต เมื่อพูดถึงจิต เราไม่ได้หมายความถึงฟัน ถึงผม ถึงอะไร ถึงแข็ง ถึงหวาน ถึงร้อน นั่นไม่ใช่สภาพรู้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเลย อะไรก็ไม่ปรากฏ กว่าจะไปถึงตัวธาตุรู้จริงๆ ได้ ถูกปกปิดไว้นานมาก เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ที่เราจะฟังธรรม ก็คือว่าขอให้เข้าใจ เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ตั้งแต่ต้นเลย เราจะสับสน ฟังไปเหมือนดี เราเป็นกุศล เรามาฟังธรรม แต่ก็เพียงได้ยินคำ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเป็นได้ นอกจากเราจะรู้จริงๆ ว่ากว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ อาศัยกาลเวลานานเท่าไหร่ แม้ว่าสิ่งนั้นมีก่อนการทรงตรัสรู้ ตั้งแต่สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ และก่อนนั้นก็มี แต่ก็ไม่มีการที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีได้ แต่คนเราคิดไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้มีผู้ที่คิดว่าสิ่งที่มีจริงนี้ มีได้อย่างไร ทำไมถึงได้เกิดมีขึ้นได้ และความจริงของสิ่งนี้คืออะไร กว่าจะบำเพ็ญบารมีจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง ตรัสรู้ ไม่ได้หมายความว่ารู้โดยคิด ไตร่ตรอง แต่รู้ความจริงโดยประจักษ์แจ้งต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ นั่นคือประจักษ์แจ้ง ถ้ามีใครพูดถึงอะไรสักอย่างหนึ่ง อธิบายสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่เรายังไม่เห็น ไม่มีวันหมดสงสัย พูดถึงใครสักคนหนึ่ง ซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย แล้วเราจะพบเขาได้อย่างไร คนหนึ่งก็อธิบายว่า เขารูปร่างอย่างนี้ ผิวพรรณอย่างนี้ หน้าตาอย่างนี้ อะไรอย่างนี้ ก็ไม่มีทาง ยังไม่หายสงสัย ยังไม่หมดสงสัย จนกว่าพบเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นธรรมนี้ก็เหมือนกัน กำลังมีจริง อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายมหาศาล ๔๕ พรรษา แล้วลองให้คนที่เขาไม่สนใจได้ยินได้ฟัง ไม่รู้เรื่อง พูดทำไม เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ป่วยไข้ได้เจ็บก็เป็นของธรรมดา ไม่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความมั่นคงจริงๆ ว่า ปัญญาประเสริฐสุด เพราะเหตุว่าสามารถจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาได้ ตามความเป็นจริง ซึ่งอวิชชาไม่มีทางเลย

    เพราะฉะนั้นเราจะฟังธรรมสักเท่าไหร่ สิ่งที่เราได้บ้าง ก็คือแต่ละคำ ซึ่งทำให้เราเริ่มคิดว่าเราฟังธรรม แต่ว่าความเข้าใจจริงๆ จะต้องลึกกว่านั้นอีกเท่าไร เพราะเหตุว่าต้องรู้ว่านี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำจริง เปลี่ยนไม่ได้ เป็นความจริงถึงที่สุด และคนที่ฟังสามารถจะค่อยๆ เข้าใจด้วยความอดทน เริ่มเห็นบารมี ถ้าเราไม่มีความอดทนที่จะรู้ว่า สิ่งที่ไม่เห็นเกิดดับเลย แต่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่าแต่ละคำนี้ไม่ใช่เชื่อตาม แต่ไตร่ตรองว่าผู้ตรัสคำนี้ต้องเป็นผู้ที่ประจักษ์แจ้งจริงๆ และได้ทรงแสดงหนทางที่จะทำให้คนอื่นได้รู้ด้วย ไม่ใช่เพียงแต่บอกๆ บอก แต่ว่าไม่มีหนทางที่จะไปถึงความเข้าใจอันนั้นได้ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นคำจริง ไม่ต้องคิดว่าเราจะรู้มากรู้น้อย เมื่อไหร่จะรู้ เมื่อไหร่จะแทงตลอด เมื่อไหร่จะประจักษ์ นั่นเสียเวลาหมดเลย เพราะว่าคิดไปก็ไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจจริงๆ แต่ถ้าเราเห็นว่าเราไม่เคยรู้มาก่อนสักคำ สักเรื่อง แต่พอได้ฟังคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเริ่มรู้ความต่าง ว่าเรานี้ไม่รู้อะไรเลย เกิดมาก็ไม่รู้ว่าอะไร เกิดแล้วเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ก็ไม่รู้อะไร จนถึงว่าที่แน่ๆ คือทุกคนรู้ว่าต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีใครสงสัย แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร ทั้งๆ ที่จากไป ก็ยังเป็นเราด้วยความไม่รู้ทุกชาติ ปิดบังด้วยการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรม ซึ่งกำลังเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ต้องห่วงกังวล ว่าเมื่อไหร่ คำถามนี้ไม่มี เพราะว่าต้องเข้าใจ ไม่เข้าใจแล้วไปถามว่าเมื่อไหร่จะรู้ เมื่อไหร่จะประจักษ์การเกิดดับ ได้อย่างไร เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจ แล้วจะไปประจักษ์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องมีความเข้าใจมั่นคงในแต่ละคำ

    ส่วนใหญ่เราจะเห็นชาวพุทธที่ไม่มั่นคง ฟัง เผิน เข้าใจแล้วก็เปลี่ยนไป แสดงว่าไม่เข้าใจจริงๆ เลย แม้แต่คำว่าธรรมไม่ใช่เรา ก็มีตัวเราจะไปทำ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุปัจจัย ก็มีตัวเราจะไปทำปัจจัยอีก นี้อย่างไรต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ก็คิดไปต่างๆ นานา แต่ความจริงก็คือว่าไม่รู้จักธรรม ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าแต่ละคำที่ได้ฟังนี้ต้องตรง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ขณะนี้สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เว้นสักคำได้ไหม ธรรม ตา รวมกันเป็นธรรมดาในภาษาไทย แต่ภาษาบาลีจะไม่ใช้ ด.เด็ก ใช้ ต.เต่า เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมตา แต่คนไทยพูดว่าธรรมดา ธรรมดาเราก็พูดทุกวัน พอตื่นเช้าขึ้น แดดออกเป็นธรรมดา อะไรๆ ก็เป็นธรรมดาหมด แต่หารู้ไม่แต่ละหนึ่งๆ นั้นเป็นธรรม และ คำว่า"ตา"คือความเป็นไป ว่าความเป็นไปของธรรมก็ต้องเป็นอย่างนี้แต่ละหนึ่งธรรม ไม่สับสนกัน คืออะไร มีปัจจัยจึงได้เกิด เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ

    กว่าจะค่อยๆ เห็นว่าแล้วจะมีประโยชน์อะไร เกิดมาเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง มีลาภมียศ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ มีทุกอย่างแล้วก็ไม่เหลือ ไม่มีเลย ต้องจากไป มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเกิดมาสนุกแล้วก็หมด ทุกข์แล้วก็หมด ทุกอย่าง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วใครก็ให้ใครไม่ได้ แม้แต่การที่จะได้ยินได้ฟังว่ามีพระสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้ ไปเฝ้า พระองค์ก็ไม่สามารถที่จะเอาปัญญาของพระองค์นี้ไปให้ใครได้ แต่ด้วยความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วยพระญาณเหนือใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระองค์ ทำให้คนที่ได้ฟังเริ่มคิด เริ่มไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจ เป็นสาวกคือผู้ฟัง เพราะฉะนั้นแม้แต่การจะเป็นผู้ฟัง ก็ต้องรู้ว่าเราไม่ได้คิดเอง ได้ยินคำไหน ชัดเจนไหม เช่น คำว่าธรรมดา ตอนนี้ ทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมก็ต้องเป็นไปตามธรรมนั้นๆ เปลี่ยนไม่ได้ ก็เป็นธรรมดา

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจคำที่เราพูด โดยที่ว่าตั้งแต่เกิดมาพูดคำที่ไม่รู้จักทั้งนั้นเลย เดี๋ยวนี้เริ่มรู้ว่าต้องรู้จักธรรมก่อน จึงจะเข้าใจธรรมดาได้ แต่คนไทยไม่รู้จักธรรม แต่รู้จักคำว่าธรรมดา เพราะฉะนั้นเผินมากเลย ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ด้วยเหตุนี้แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แม้จะเป็นภาษาไหนๆ ก็ตาม สามารถเข้าใจได้ในภาษาของตน เพราะมีธรรมที่มีลักษณะที่เปลี่ยนไม่ได้ ที่ว่าไม่ว่าจะใช้คำไหนก็ตาม ต้องมีความหมายให้ตรงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น มีจริงแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เท่านี้ กว่าจะมั่นคง กว่าจะลึกสะสมลงไปพอที่จะเห็นโทษ ตอนนี้ไม่เห็น "เห็น"เกิดดับ ก็ยังเห็นอยู่ อะไรๆ ก็ยังอยู่หมด ไม่เห็นโทษเลย เพราะเหตุว่าไม่ได้ประจักษ์ความจริง ซึ่งความจริงนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย กล่าวถึงคำว่าธรรมมีจริง รู้ได้ว่ามีจริงเพราะมีลักษณะเฉพาะของตนๆ อย่างเช่น เสียงมีจริง ไม่ต้องใช้คำว่าเสียงมีจริง เสียงก็มี แล้วเราก็พูดว่าเสียง ให้รู้ว่าเราไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น แต่หมายความถึงธรรมลักษณะนี้มีจริงๆ และเสียงก็เกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ที่ทุกคนไม่รู้ก็คือเกิดแล้วดับ ไม่มีการรู้เลย เกิดแล้ว ถ้าไม่เกิดไม่มี แล้วก็ดับด้วย

    เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมาก และความเป็นผู้ตรง จึงมีสัจจบารมี ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เห็นอย่างอื่นมีค่ายิ่งกว่าที่จะได้เข้าใจความจริง ซึ่งถูกต้อง ไม่ใช่หลอกลวง ไม่ใช่ว่าทำให้เข้าใจอีกอย่างหนึ่งไขว้เขวไป ต้องมีสำนักปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติไม่ได้ เช่นนั้น เช่นนี้ นั่นก็คือว่าผิดหมด แล้วสิ่งที่ผิด และไม่มีใครรู้ว่าผิด สมควรไหมที่จะกล่าวคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมดเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่ามีความเห็นผิด ก็มีจริงๆ มีความเห็นถูก ก็มีจริงๆ เราก็ไม่ได้ว่าใคร แต่แสดงให้รู้ว่าความเห็นผิดมี และเห็นอย่างไรจึงผิด และความเห็นถูกมี เห็นอย่างไรจึงถูก

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจธรรมก่อน และก็การเกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิตให้รู้ได้ เพราะว่าเพียงหนึ่งขณะนี้ ไม่มีใครจะไปรู้ความจริงนั้นได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงวิถีจิต ความเป็นไปของจิตแต่ละวาระ ไม่สามารถจะแทรกปัญญาเข้าไปรู้ ต้องแล้วแต่ขณะนั้น จบสิ้นวาระไหน อย่างไร ทรงแสดงไว้ทั้งหมด

    ด้วยเหตุนี้ธรรมเป็นธรรม เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคารพใคร อย่างเดียวเท่านั้นคือธรรม โพธิปักขิยธรรมที่สามารถที่จะนำไปสู่การรู้ความจริงได้ เพราะว่าถ้าขาดปัญญา ความเห็นถูกความเข้าใจถูก ไม่มีทางที่สิ่งที่ถูกปกปิดไว้แน่นมาก เปิดไม่ได้เลย เกิดดับไปกี่ภพกี่ชาติก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่ถ้าเริ่มเข้าใจ ต้องรู้ อะไรถึงจะเปิดได้ ไม่ว่าข้าวของใดๆ ก็ตามที่ปิดไว้แน่น ต้องมีสิ่งที่สามารถเปิดได้ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นธรรมที่ถูกปกปิดไว้แน่นมากนี้ สิ่งเดียวที่สามารถจะค่อยๆ เปิดได้ก็คือปัญญา ความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ละคำต้องมั่นคง ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นหนทางนี้ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ฟังเท่าไหร่ แล้วเราจะรู้เมื่อไหร่ นั่นก็คือยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส เพราะกล่าวออกมาเป็นวาจา แสดงถึงความต้องการ และเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ก็เมื่อรู้ และรู้แค่ไหน แค่นี้ก็ไม่พอ ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง ไม่ต้องมีใครบอก ต่อเมื่อไหร่ ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับขั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสถึงธรรมแต่ละขั้น ก็ปรากฏตามความเป็นจริง

    ชอบพูดกันว่าสติ ใช้สติ มีสติ ทำสติ สติเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ก็สติเป็นเราทำ แต่ไม่ใช่ธรรมที่เป็นสติ เพราะฉะนั้นทั้งหมดต้องละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ต้องคิดว่าคนนั้นจะคิดอย่างไร คนนี้จะคิดอย่างไร ชาวโลกจะว่าอย่างไร ความจริงต้องเป็นความจริง แล้วจะกลัวอะไรกับความจริง ควรกลัวความไม่จริงว่าเป็นโทษมากมายแค่ไหน ที่ไม่ควรจะมีเลย แต่สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นค่อยๆ ฟังทีละคำ ธรรมเกิดดับเร็วมาก ไม่มีใครสามารถรู้ทีละหนึ่งได้ แต่สามารถจะรู้นิมิต ภาษาบาลีออกเสียงนิมิตตะ เกิดดับจนปรากฏให้รู้ได้ว่ามี เห็นกี่ขณะ รู้ได้ว่ามีเห็น ถึงขณะนั้นดับไปแล้ว ก็มีเห็นโดยนิมิต เพราะว่าสิ่งหนึ่งดับ อีกหนึ่งก็เกิดสืบต่อทันที เพราะฉะนั้นตัวจริงๆ แต่ละหนึ่งนี้ไม่มีทางที่จะไปรู้ได้ แต่ตราบใดที่สิ่งนั้นยังปรากฏเป็นนิมิต ก็สามารถที่จะเข้าใจนิมิต ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะได้ยินคำอะไรทั้งนั้น เปลี่ยนได้ไหม ได้ยินคำว่ารูป รูปธรรม ธรรม ที่เกิดขึ้นมีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นรูปนิมิต เกิดดับเร็ว เพียงปรากฏเป็นนิมิต เฉพาะสิ่งนั้นปรากฏว่ามี แต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ไม่ใช่ว่าฟังมากๆ หรือบอกทำไมไม่พูดเรื่องนั้นสักที พูดแต่นี่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ยังไม่ถึงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพียงไปย้อนถึงสิ่งที่มี ก็จะต้องเข้าใจก่อนว่าหลากหลายอย่างไร นิมิตแล้วใช่ไหม ถ้าไม่มีปรมัตธรรม มีนิมิตไหม ไม่มี เมื่อมีนิมิตแล้ว อะไรรู้นิมิต ธาตุรู้ รู้นิมิต เห็นเป็นธาตุรู้ สิ่งที่เกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ดับสักอย่าง เพราะฉะนั้นรูปทุกรูป รูปมีทั้งหมดหลากหลายเป็น ๒๘ รูป แต่ละหนึ่งรูปปรากฏเป็นนิมิต ไม่สามารถที่จะปรากฏเพียงหนึ่งแท้ๆ ได้เลย เพราะฉะนั้นลองคิดให้ลึก เราอยู่ในโลกของนิมิต และสภาพธรรมที่เกิดดับมาตั้งแต่เกิด หรือว่าก่อนเกิดไปกี่แสนกัป ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำที่ทำให้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ได้ยินคำว่านิมิต ได้ยินคำว่าธรรม สงสัยไหม ไม่มีใครสามารถที่จะบอกเราได้ นอกจากตัวเราเอง เพราะคำว่าธรรม สงสัยไหม ไม่สงสัยแล้วใช่ไหม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดแต่ละหนึ่งๆ พอได้ยินคำว่านิมิต มีหลายความหมาย แต่ก็ต้องเริ่มจากนิมิตของธรรม ซึ่งเกิดดับปรากฏให้เป็นแต่ละหนึ่ง ตอนนี้ใครเจ็บบ้าง ไม่มี ใครคิดบ้าง ทุกคนคิด แต่คิดอะไร ตอบไม่ได้เลย หมดแล้ว จริงๆ ถามว่าคิดอะไร ลองตอบมา ความจริง แม้แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ คิดในสิ่งที่ปรากฏโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่คิดจะจำไม่ได้เลย จะไม่เลยว่าเป็นอะไร นี่คือความรวดเร็วที่ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ว่าอย่าไปคิดเรื่องการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมโดยไร้เหตุ มีแต่อยาก ซึ่งเป็นเครื่องกั้น เพิ่มเติมเข้าไปอีก แต่เหตุก็คือว่าต้องเป็นความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น

    อ.ธิดารัตน์ กราบเรียนท่านอาจารย์ อธิบายว่านิมิต มีความหยาบละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าแค่คำสองคำ ประโยชน์มหาศาลอยู่ตรงไหน ตรงที่จริงๆ แล้วไม่มีเรา ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลย มีแต่สิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ เหมือนไฟ ก่อนมีไฟไม่มีไฟ พอไฟมีแล้วก็ดับ แล้วไฟเกิดอีก แล้วก็ดับอีก แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นกว่าจะเปรียบเทียบ จนกระทั่งความที่เคยติดข้อง ค่อยๆ รู้ความจริงว่าไร้ประโยชน์ ถ้าไม่ติดข้องเลย ไม่ต้องมานั่งเห็น นั่งได้ยิน นั่งขวนขวาย นั่งทำอะไรสารพัดอย่าง แต่เพราะไม่รู้จริงๆ จึงไม่มีใครสามารถที่จะละความติดข้อง และความไม่รู้ได้ นอกจากความเข้าใจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ฟังทำไม เรื่องบัญญัติ ทำไมต้องรู้ให้ละเอียด ทีละคำด้วย ยังไม่ต้องถึงกี่คำ เพราะถ้าเข้าใจ ๒ คำนี้แล้ว อย่างไรๆ ได้ยินต่อไปก็ต้องรู้ว่าหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ให้รู้ว่าไม่มีเรา ถ้าไม่มีเรา มีคนอื่นไหม ก็ต้องไม่มี

    เพราะฉะนั้นเราเกิดมาในโลกนี้ เราติดข้องในเรามากกว่าใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเมื่อมีความติดข้องในเรา จึงมีความติดข้องในคนอื่นที่เราชอบ ไม่พ้นเรา คนตั้งมากมาย ทำไมไม่ชอบให้หมดทุกคน แต่ชอบเกิดขึ้นเพราะเรา มีเราที่ชอบอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งๆ มีความลึกซึ้ง ซึ่งถ้าสามารถมีความเข้าใจขึ้นตามลำดับแต่ละชาติ ก็จะถึงวันหนึ่งที่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ว่าไม่มี เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่ผ่านมา คืออวิชชา คือความไม่รู้ความจริง จนกว่าวิชชาคือความรู้จะถึงความสมบูรณ์ที่ดับอวิชชาไม่เหลือเลย เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นอวิชชานี้มากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นอาศัยการฟังอย่างนี้ ยังไม่ต้องไปถึงไหน โลภะก็ยังต้องเกิด โทสะก็ยังต้องเกิด อาหารก็ยังต้องอร่อย ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่การได้ฟังเป็นปัจจัยที่ทำให้ยังคิดถึงเรื่องที่ฟังได้บ้าง แต่ไม่ใช่จะคิดได้ทั้งวัน บางโอกาสเมื่อมีปัจจัยจึงสามารถที่จะระลึกได้ เพราะสภาพที่ระลึกก็ไม่ใช่เรา มีความมั่นคงทุกอย่างไม่ว่าอะไรทั้งนั้นเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ต้องเรียกชื่อ ยังไม่ต้องรู้จักชื่อ แต่พอฟังบ่อยๆ ภาษาบาลีใช้คำว่าอะไร เราก็มีความชัดเจนขึ้นว่าไม่ผิด เพราะเหตุว่า เราไม่รู้ เราจึงเข้าใจผิด อย่างเช่น วิตักกะ คนไทยใช้คำว่า วิตก มีหรือไม่

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 189
    5 พ.ย. 2567