จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 063


    รูปภายใน เป็นรูปที่เกิดที่ตน สำหรับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เกิดในตน นั่นเป็นอัชฌัตตติกะ

    สำหรับภายนอก เป็นธรรมที่ตรงกันข้าม คือ ไม่ใช่ธรรมที่เป็นภายใน ที่ไม่ได้เกิดในตน

    สำหรับความหมายของหยาบ ละเอียด ทราม ประณีต ใกล้ ไกล

    รูปขันธ์ที่หยาบ ได้แก่ รูปขันธ์ที่กระทบและปรากฏ ทางตา รูปารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู สัททารมณ์ คือ เสียงที่ปรากฏเมื่อกระทบโสตปสาท ทางจมูก คันธารมณ์ คือ กลิ่นที่ปรากฏเมื่อกระทบฆานปสาท ทางลิ้น รสารมณ์ คือ รสที่ปรากฏเมื่อกระทบชิวหาปสาท ทางกาย โผฏฐัพพารมณ์ ๓ คือ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม ปรากฏเมื่อกระทบกายปสาท รวม ๗ รูป และปสาทรูป ๕ รวมเป็น ๑๒ รูป ชื่อว่ารูปหยาบ เพราะว่า ๗ รูป เป็นรูปที่รู้ได้เมื่อกระทบกับปสาท และปสาทรูป ๕ นั้นก็เป็นรูปหยาบ เพราะว่าเป็นรูปที่สามารถกระทบอารมณ์ได้ ส่วนรูปอื่นที่เหลือทั้งหมดเป็นรูปละเอียด

    ทั้งๆ ที่ทรงแสดงว่าเป็นรูปหยาบ และที่เป็นรูปหยาบเพราะว่าสามารถที่จะรู้ ได้ง่าย แต่ก็ยังไม่ง่ายสำหรับผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของรูปจริงๆ ซึ่งกำลังปรากฏ จนกว่าจะอบรมปัญญาจริงๆ จนเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ที่จะเห็นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุสิ่งต่างๆ นั่นจึงจะเป็นการรู้รูปหยาบตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสภาพธรรม ชนิดหนึ่งซึ่งปรากฏได้ทางตาเท่านั้น

    สำหรับความหมายของรูปทราม รูปประณีต ใน สัมโมหวิโนทนี อรรถกถา พระวิภังคปกรณ์ ขันธวิภังคนิทเทส มีข้อความว่า

    บทว่า อุญฺญาตํ แปลว่า ที่เขาดูหมิ่น

    บทว่า อวมญฺญาตํ แปลว่า ที่เขารู้จักกันอย่างข่มๆ คือ ที่ไม่ประกาศว่า รูปบ้าง คือ เป็นรูปที่ไม่ยอมรับ เพราะเหตุว่าเป็นรูปที่เล็กน้อย

    บทว่า ที่เขาชัง โดยอรรถว่า ที่เขาเหวี่ยง ที่เขาทิ้ง ด้วยอรรถว่า เป็นรูปที่ ใครๆ ไม่พึงถือเอา และอาจารย์ทั้งหลายก็กล่าวว่า เขาเกลียดบ้าง

    บทว่า ที่เขาตำหนิ คือ ที่เขาตำหนิด้วยวาจาว่า ประโยชน์อะไรด้วยรูปนี้ คือ ไม่เป็นที่ต้องการของใคร

    บทว่า ที่เขาไม่สนใจ คือ ไม่ใช่ที่เขาเคารพ

    บทว่า ทราม คือ ลามก

    บทว่า ที่สมมติว่าทราม คือ ที่เขาสมมติกันในโลกว่า เป็นรูปทราม หรือ ที่พวกคนทรามรู้กันดี เหมือนอย่างคูถที่สัตว์จำพวกมีคูถเป็นอาหารรู้กันดี ฉะนั้น

    บทว่า ที่เขาไม่ปรารถนา คือ ไม่เป็นที่รัก หรือที่เขาไม่แสวงหาเพื่อต้องการ จะได้

    บทว่า อกนฺตํ แปลว่า ที่เขาไม่ใคร่ หรือที่ไม่มีสิริ

    บทว่า ที่ไม่น่าพึงใจ คือ ไม่เอิบอาบใจ

    อีกอย่างหนึ่ง ตั้งวิเคราะห์ว่า มนํ อปฺปายติ วฑฺเฒตีติ มนาปํ อารมณ์ใดที่ยังใจให้เอิบอาบ คือ ให้เจริญ เหตุนั้นอารมณ์นั้นชื่อว่ามนาปะ แปลว่า อันยังใจให้เอิบอาบ

    น มนาปํ อมนาปํ รูปไม่ใช่อารมณ์ที่ยังใจให้เอิบอาบ ชื่อว่าอมนาปะ คือ ไม่ใช่อารมณ์ที่ยังใจให้เอิบอาบ

    อีกนัยหนึ่ง รูปชื่อว่าที่เขาไม่ปรารถนา เพราะเว้นจากสมบัติ รูปชื่อว่าที่เขา ไม่ใคร่ เพราะไม่ใช่เป็นเหตุแห่งสุข รูปชื่อว่าที่ไม่น่าพึงใจ เพราะเป็นเหตุแห่งทุกข์

    สำหรับรูปที่ประณีตนั้น ก็โดยนัยที่ตรงกันข้ามกับรูปทราม

    สำหรับรูปใกล้ ได้แก่ รูป ๑๒ รูป เหมือนกับรูปหยาบ เพราะรู้ได้ง่ายและกระทบปสาทได้

    สำหรับรูปไกลก็เหมือนกับรูปละเอียด เพราะแม้อยู่ใกล้ก็ชื่อว่ารูปไกล เพราะมีลักษณะที่รู้ได้ยาก และไม่อาจจะรู้ได้ด้วยการกระทบ เพราะว่าความหมาย ใกล้หรือไกลมี ๒ อย่าง คือ โดยลักษณะที่รู้ได้ยากอย่างหนึ่ง และโอกาส คือ โดยที่ตั้งของรูปนั้น เพราะว่าบางรูปอยู่ใกล้จริง แต่ว่าลักษณะนั้นละเอียด เพราะฉะนั้น จึงเป็นรูปที่ไกลเพราะว่ารู้ยาก

    สำหรับเวทนา ในเรื่องของอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพราะว่าเป็นสภาพที่เกิดดับ ก็ไม่เป็นที่สงสัย แต่ในเรื่องที่เป็นเวทนาหยาบ เวทนาละเอียด เวทนาทราม เวทนาประณีต เวทนาใกล้ เวทนาไกล ข้อความใน สัมโมหวิโนทนี แสดงว่า

    เวทนาที่หยาบและละเอียดโดย ๔ ประการ คือ โดยชาติ ๑ โดยสภาพ ๑ โดยบุคคล ๑ โดยโลกียะ โลกุตตระ ๑

    ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและละเอียดเกินไป แต่ความจริงเป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดดับเป็นประจำ แต่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกันนั้นหรือเปล่าว่า สภาพธรรมแต่ละขณะนั้นต่างกันอย่างไร เช่น เวทนาที่หยาบ โดยชาติ คือ เวทนาที่เป็นอกุศล ที่เกิดกับอกุศลจิต หยาบ เพราะว่ามีความกระวนกระวาย และมีวิบากเป็นทุกข์ ซึ่งจะสังเกตพิจารณาได้ว่าต่างกับเวทนาที่เกิดกับกุศลจิต แต่ถ้าไม่อบรมเจริญ สติปัฏฐาน จะไม่เห็นความต่างกันของเวทนาหยาบซึ่งเป็นอกุศล กับเวทนาละเอียดซึ่งเป็นกุศล ถ้าต่อไปเป็นผู้ที่สติระลึกรู้ลักษณะของเวทนาซึ่งเป็นความรู้สึกในขณะที่เป็นอกุศลชนิดหนึ่งชนิดใด จะสังเกตเห็นลักษณะสภาพของเวทนาหยาบได้ว่า ต่างกับสภาพของเวทนาที่ละเอียดที่เป็นกุศล

    นี่คือสภาพของเวทนาหยาบและละเอียดซึ่งต่างกันโดยชาติ

    เวทนาที่หยาบและละเอียดซึ่งต่างกันโดยสภาพ คือ ทุกขเวทนาเป็นเวทนาหยาบ เพราะขณะนั้นเป็นสภาพที่ไม่สบาย ไม่สำราญ และเป็นสภาพที่ทนได้ยาก ส่วนเวทนาอื่นเป็นเวทนาละเอียด พิสูจน์ได้ใช่ไหม เวทนาหยาบ คือ ทุกขเวทนานอกจากนั้นเป็นเวทนาละเอียด

    โดยบุคคล เวทนาของผู้ที่ไม่เข้าสมาบัติ เป็นเวทนาหยาบ ส่วนเวทนาของผู้ที่เข้าสมาบัติ คือ ผู้ที่ได้ฌาน และขณะนั้นจิตเป็นฌานจิตเกิดดับสืบต่ออยู่ ในระหว่างที่เป็นฌานจิต เวทนาก็ละเอียด

    โดยโลกียะ โลกุตตระ เวทนาที่มีอาสวะเป็นเวทนาหยาบ เวทนาซึ่งไม่มีอาสวะ เป็นเวทนาละเอียด

    เพราะฉะนั้น ก่อนการเจริญสติปัฏฐาน ไม่เคยสังเกตลักษณะของเวทนาว่า หยาบละเอียดอย่างไร แต่ถ้าสังเกตขึ้นๆ จะเห็นความต่างกันว่า เวทนาซึ่งเกิดกับอกุศลทั้งหมด หยาบ เป็นสภาพที่กระวนกระวาย มีวิบากที่เป็นทุกข์เดือดร้อน แต่เวทนาที่เป็นกุศลประณีตขึ้นตามขั้นจนกระทั่งถึงเวทนาที่ไม่มีอาสวะ ซึ่งย่อมละเอียดกว่าเวทนาที่มีอาสวะ ถึงแม้ว่าจะเป็นกุศล แต่ก็เป็นกุศลที่ยังมีอาสวะอยู่

    สำหรับเวทนาใกล้ไกล ก็เป็นการเทียบเคียงว่า เวทนาที่เป็นอกุศลไกลจากเวทนาที่เป็นกุศลและอัพยากตะ

    ผิดกันเหลือเกิน คือ ความไกล ลักษณะของความรู้สึก ความสุข ความติด ความพอใจในขณะที่เป็นอกุศล กับลักษณะของความปีติ ความโสมนัส ความยินดี ในกุศล เป็นสภาพธรรมที่ไกลกันมาก

    สำหรับเวทนาที่เป็นอกุศลใกล้กับเวทนาที่เป็นอกุศล ไม่ว่าจะเป็นอกุศลใน ภูมิไหน เช่น โลภมูลจิตที่เกิดในกามภูมิ ในมนุษย์ภูมิ เวทนาเจตสิกซึ่งเกิดกับ โลภมูลจิตก็เป็นเวทนาที่เป็นอกุศล และโลภมูลจิตที่เกิดกับรูปพรหมบุคคล โลภมูลจิตเป็นอกุศล เวทนาที่เกิดกับโลภมูลจิตก็เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเวทนาซึ่งเกิดกับโลภมูลจิตจะไกลกันโดยภูมิ คือ บุคคลหนึ่งอยู่ในกามภูมิ อีก บุคคลหนึ่งอยู่ในรูปพรหมภูมิ และโลภมูลจิตเกิด เวทนาที่เป็นอกุศลก็ใกล้กับเวทนาที่เป็นอกุศลด้วยกัน แม้ว่าจะต่างภูมิกัน

    เพราะฉะนั้น ถ้าเปรียบเทียบเวทนาที่เป็นอกุศล ย่อมไกลกับเวทนาที่เป็นกุศล แต่เวทนาที่เป็นอกุศลใกล้กับเวทนาที่เป็นอกุศล และเวทนาที่เป็นกุศลก็ใกล้กับเวทนาที่เป็นกุศล

    . ... (ได้ยินไม่ชัด)

    ท่านอาจารย์ ลักษณะต่างกัน ผิดกันมาก ไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันหมายความว่า ยังไม่รู้ความต่าง

    . ... (ได้ยินไม่ชัด)

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าสุขเวทนาที่เกิดร่วมกับสังขารขันธ์ที่เป็นอกุศล สุขนั้นเป็นความเศร้าหมอง เป็นความกระวนกระวาย เป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์

    สำหรับปรมัตถธรรม ๔ ที่ได้ศึกษาไปแล้วโดยนัยต่างๆ รวมถึงอกุศลจิตดวง ที่ ๑ เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังไม่ลืมสิ่งที่ได้ฟัง ขอให้ท่านผู้ฟังพิจารณาทบทวนโดยการตอบคำถามต่างๆ ซึ่งถ้าตอบได้ทั้งหมด ก็พร้อมที่จะศึกษาต่อไป

    คำถามทบทวน

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรม มีกี่อย่าง อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ปรมัตถธรรม มี ๔ อย่าง ได้แก่ จิตปรมัตถ์ ๑ เจตสิกปรมัตถ์ ๑ รูปปรมัตถ์ ๑ และนิพพานปรมัตถ์ ๑

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมอะไร เป็นสังขารธรรม

    ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป เป็นสังขารธรรม

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมอะไร เป็นอสังขตธรรม

    ผู้ฟัง นิพพานเป็นอสังขตธรรม

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นสังขารธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ สังขารธรรมเป็นจิตใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ สังขารธรรมไม่ใช่จิตอย่างเดียว เจตสิกและรูปก็เป็นสังขารธรรม เพราะเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ

    รูปเป็นสังขารธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ สังขารธรรมเป็นรูปใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่รูปอย่างเดียว จิตและเจตสิกเป็นสังขารธรรมด้วย

    ปรมัตถธรรมอะไรไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป

    ท่านอาจารย์ จิต เจตสิก รูป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นอนัตตาด้วย แต่นิพพานเที่ยง เป็นสุข

    วิญญาณขันธ์ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ได้แก่ จิตปรมัตถ์ ๘๙ โดยย่อ หรือ ๑๒๑ โดยพิสดาร (โดยนัยที่ โลกุตตรจิตเกิดร่วมกับองค์ฌานขั้นต่างๆ)

    ท่านอาจารย์ รูปขันธ์ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไร

    ผู้ฟัง รูปขันธ์ ได้แก่ รูป ๒๘ รูป

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมอะไรเป็นเวทนาขันธ์บ้าง

    ผู้ฟัง เจตสิกปรมัตถ์ ๑ ดวง คือ เวทนาเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมอะไรเป็นสัญญาขันธ์บ้าง

    ผู้ฟัง เจตสิกปรมัตถ์ ๑ ดวง คือ สัญญาเจตสิก

    ท่านอาจารย์ สังขารขันธ์ได้แก่ปรมัตถธรรมอะไร

    ผู้ฟัง ได้แก่ เจตสิกปรมัตถ์ ๕๐ ดวง (เว้นเวทนาเจตสิกและสัญญาเจตสิก)

    ท่านอาจารย์ รูปขันธ์เป็นรูปใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะเป็นธรรมที่ไม่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ รูปเป็นรูปขันธ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะรูปไม่รู้อารมณ์

    ท่านอาจารย์ โดยนัย ๑๑ อย่าง คือ เป็นอดีต เป็นอนาคต เป็นปัจจุบัน เป็นภายใน เป็นภายนอก หยาบ ละเอียด ทราม ประณีต ไกล ใกล้ โดยนัยของขันธ์ซึ่งสามารถจำแนกออกได้โดยลักษณะ ๑๑ ประการ

    นิพพานเป็นขันธ์ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะนิพพานเป็นขันธวิมุตติ เพราะนิพพานเที่ยง ไม่เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ สังขารธรรมเป็นสังขารขันธ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ สังขารธรรมเป็นสังขารขันธ์ก็มี ไม่ใช่สังขารขันธ์ก็มี ที่เป็นสังขารขันธ์ ได้แก่ เจตสิก ๕๐ เท่านั้น นอกจากนั้นไม่ใช่สังขารขันธ์ เวทนาเจตสิก ๑ ดวง ไม่ใช่สังขารขันธ์ สัญญาเจตสิก ๑ ดวง ไม่ใช่สังขารขันธ์ รูปทั้งหมดไม่ใช่สังขารขันธ์ และจิตทั้งหมดไม่ใช่สังขารขันธ์

    สังขารขันธ์เป็นสังขารธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เวทนาขันธ์เป็นสังขารธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ สังขารธรรมเป็นเวทนาขันธ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ก็มี ไม่ใช่ก็มี

    ท่านอาจารย์ สังขารธรรมที่เป็นเวทนาขันธ์ มี ๑ คือ เวทนาเจตสิก สังขารธรรมอื่น คือ จิต เจตสิก ๕๑ และรูปไม่ใช่เวทนาขันธ์

    ปรมัตถธรรม ๔ เป็นขันธ์กี่ขันธ์

    ผู้ฟัง ปรมัตถธรรมทั้ง ๔ เป็นขันธทั้ง ๕ และมีขันธวิมุตติด้วย

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรม ๓ เป็นขันธ์ ๕ นิพพานปรมัตถ์ไม่ใช่ขันธ์

    ขันธ์ ๕ ได้แก่ ปรมัตถธรรมกี่ปรมัตถ์

    ผู้ฟัง ๓ ปรมัตถ์

    ท่านอาจารย์ คือ จิต เจตสิก รูป

    รูปปรมัตถ์ เป็นขันธ์กี่ขันธ์

    ผู้ฟัง ๑ ขันธ์

    ท่านอาจารย์ นามปรมัตถ์ เป็นขันธ์กี่ขันธ์

    ผู้ฟัง ๔ ขันธ์

    ท่านอาจารย์ นามปรมัตถ์ ๒ คือ จิตและเจตสิก เป็นนามขันธ์ ๔ นามขันธ์มีเท่าไร

    ผู้ฟัง นามขันธ์มี ๔

    ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    ท่านอาจารย์ นามปรมัตถ์มีเท่าไร

    ผู้ฟัง มี ๒ จิต เจตสิก

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมมีเท่าไร

    ผู้ฟัง

    ท่านอาจารย์ นามปรมัตถ์มีเท่าไร

    ผู้ฟัง โดยตรงมี ๒ ถ้าสงเคราะห์นิพพานก็เป็น ๓

    ท่านอาจารย์ ถ้าแยกโดยนามกับรูป นามปรมัตถ์มี ๓ คือ จิต เจตสิก นิพพาน แต่ สำหรับจิต เจตสิก เป็นสังขารธรรม นิพพานเป็นวิสังขารธรรม

    นามปรมัตถ์เป็นนามขันธ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ก็มี ไม่ใช่ก็มี

    ท่านอาจารย์ ใช่ ๒ ไม่ใช่ ๑ นามปรมัตถ์ ๒ คือ จิต เจตสิก เป็นนามขันธ์ แต่นิพพานซึ่งเป็นนามปรมัตถ์ ไม่ใช่นามขันธ์

    นามขันธ์เป็นนามปรมัตถ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ คือ จิตและเจตสิก

    ปรมัตถธรรมอะไรไม่รู้อารมณ์

    ผู้ฟัง รูปปรมัตถ์ทั้งหมด และนิพพานด้วย

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรม ๔ กับขันธ์ ๕ จะต้องไม่ขาดการพิจารณาโดยรอบคอบ ถ้าถามว่าปรมัตถธรรมอะไรไม่รู้อารมณ์ ก็มีปรมัตถธรรม ๒ คือ รูปปรมัตถ์และนิพพานปรมัตถ์ นิพพานไม่ใช่จิต เจตสิก เพราะฉะนั้น นิพพานปรมัตถ์ก็เป็น ปรมัตถธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ และรูปปรมัตถ์ก็ไม่รู้อารมณ์ด้วย

    ขันธ์อะไรไม่รู้อารมณ์

    ผู้ฟัง รูปขันธ์

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถ์อะไรเป็นอารมณ์

    ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป ทั้งหมดเป็นอารมณ์ได้ นิพพานด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมทั้ง ๔ เป็นอารมณ์ ไม่มีอะไรที่จิตจะรู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจิต หรือเจตสิก หรือรูป หรือนิพพานก็ตาม สภาพธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นอารมณ์

    สภาพธรรมทุกอย่างเป็นอารมณ์ ถึงแม้ไม่ใช่ปรมัตถ์ เช่น สมมติบัญญัติต่างๆ ก็เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ทุกชนิด ทุกอย่าง

    ขันธ์อะไรเป็นอารมณ์

    ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป เป็นอารมณ์

    ท่านอาจารย์ ถามถึงขันธ์

    ผู้ฟัง ขันธ์ทั้ง ๕

    สุ. ต่อไปจะถามทบทวนเฉพาะเรื่องจิต

    จิตเป็นอภิธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นปรมัตถธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นสังขารธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นวิสังขารธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นสังขตธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นอสังขตธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นนิพพานใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นเวทนาขันธ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นสังขารขันธ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ โลกุตตรจิตเป็นอสังขตธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง อย่าลืมว่า จิตไม่ใช่นิพพาน เพราะฉะนั้น โลกุตตรจิตไม่ใช่อสังขตธรรม เฉพาะนิพพานเท่านั้นที่เป็นอสังขตธรรม เพราะไม่เกิดดับ แต่โลกุตตรจิตเป็นสังขารธรรม เป็นสังขตธรรม เพราะเกิดดับ

    จิตเป็นขันธวิมุตติ คือ พ้นจากขันธ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ นิพพานเป็นอารมณ์ของสังขตธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นอารมณ์เฉพาะสังขตธรรมที่เป็นจิต เจตสิก

    จิตเป็นอารมณ์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    สุ. ต่อไปเป็นเรื่องของวิบาก เรื่องของธรรมที่เป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม

    ขันธ์อะไรเป็นวิบากได้

    ผู้ฟัง วิญญาณขันธ์

    ท่านอาจารย์ ต้องคิดนิดหน่อย และต้องรอบคอบ คือ อย่าหลงลืม ถามถึงขันธ์ ขันธ์ ๕ ขันธ์ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ขันธ์อะไรเป็นวิบากได้

    ผู้ฟัง วิญญาณขันธ์

    ท่านอาจารย์ ท่านผู้ฟังมีคำตอบอย่างอื่นไหม ขันธ์อะไรเป็นวิบากได้ เพื่อความไม่ลืม ขันธ์ ๕ กับปรมัตถธรรม ๔

    ผู้ฟัง วิบากจิตกับเจตสิกที่ประกอบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นามขันธ์ ๔ ทั้งจิตและเจตสิกเป็นวิบาก

    ถ้าจิตเป็นวิบากเกิดขึ้น เจตสิกที่เกิดร่วมกันต้องเป็นวิบากด้วย

    . กุศลที่ทำเสร็จแล้วก็เป็นโสมนัสเวทนา อกุศลที่เกิดขึ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เมื่อได้รับสมความปรารถนาแล้ว โสมนัสเวทนาก็เกิดขึ้น ก็เป็นโสมนัสเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่เหมือน ถ้าพิจารณาจะทราบว่า ในขณะที่เป็นโลภะ กำลังติด กำลังสนุก กำลังพอใจอย่างยิ่งที่กล่าวว่าเป็นสุข แท้ที่จริงแล้วกระวนกระวาย ขณะที่กำลังติด กระวนกระวายมาก ห่างไกลกับเวทนาที่เป็นกุศล

    . ต่างกันอย่างไร กุศลสุขอย่างไร อกุศลสุขอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เคยสุขเวลาเป็นกุศลไหม เคยสุขเวลาเป็นอกุศลไหม เหมือนกันหรือต่างกัน

    . อาจารย์ว่าต่างกัน แต่ผมว่าเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ จริงหรือ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ไม่มีทางที่จะเหมือนกัน เป็นเพราะไม่ได้สังเกตลักษณะที่กระวนกระวายในขณะที่ติดด้วยความสุขนั้น ซึ่งไม่สงบเลย

    . ต่างกันที่กุศลปล่อยวาง แต่อกุศลเข้าไปติด

    ท่านอาจารย์ ความพอใจ ความตื่นเต้น ความยึด ในขณะนั้นเป็นความ กระวนกระวาย ไม่สงบ แม้จะพอใจและรู้สึกเป็นสุข แต่ไม่สงบ

    เพราะฉะนั้น ลองใหม่ พิจารณาดูว่าจะเหมือนหรือไม่เหมือน เพราะว่าลักษณะของเวทนาที่เป็นอกุศลไกลจากเวทนาที่เป็นกุศล เวทนาที่เกิดกับโลภะใกล้กับเวทนาที่เกิดกับโลภะ แต่ไกลเวทนาที่เกิดกับโทสะ

    พอสังเกตได้ว่า จริง ใช่ไหม โลภะทางตา โลภะทางหู เวทนาที่เกิดกับโลภะใกล้กับเวทนาที่เกิดกับโลภะ มีลักษณะที่คล้ายกัน เป็นความพอใจ เป็นความติด เป็นความกระวนกระวายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ในวัตถุอารมณ์ที่ต่างกัน แต่ลักษณะของความพอใจเหมือนกัน ลักษณะของเวทนาที่เกิดร่วมกับโลภะทางตา ลักษณะของเวทนาที่เกิดร่วมกับโลภะทางหู ลักษณะของเวทนาที่เกิดร่วมกับโลภะทางจมูก ลักษณะของเวทนาที่เกิดร่วมกับโลภะทางลิ้น ลักษณะของเวทนาที่เกิดร่วมกับโลภะทางกาย ใกล้กับเวทนาที่เกิดกับโลภะทางหนึ่งทางใดก็ตาม เหมือนๆ กัน คล้ายๆ กัน ใกล้ๆ กัน เพราะว่ามีความกระวนกระวาย อย่าลืม เป็นความติด เป็นความสุขที่กระวนกระวาย ถ้าไม่เคยสังเกต ก็ลองสังเกตเพื่อจะได้เห็นว่า ต่างกับเวทนาที่เป็นกุศล

    สำหรับเวทนาที่เกิดกับโลภะ ใกล้กับเวทนาที่เกิดกับโลภะ ไกลเวทนาที่เกิดกับโทสะ อันนี้ทุกคนซาบซึ้ง ใช่ไหม ความรู้สึกที่เกิดกับโลภมูลจิต กับความรู้สึกที่เกิดกับโทสมูลจิต ต่างกันแสนไกล


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 19
    15 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ